เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2561 กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร จัดกิจกรรม “ล่องเจ้าพระยา ใคร่ครวญอนาคตประเทศไทย” มีคณะผู้บริหารร่วมพูดคุยกับสื่อมวลชน นายบรรยง พงษ์พานิช ประธาน บริษัทหลักทรัพย์ภัทร จำกัด (มหาชน) บรรยายในหัวข้อ “วิเคราะห์จุดอ่อนประเทศไทย แก้ไม่ได้ไปต่อยาก” ว่าติดกับดักการเติบโตร่วม 10 ปี
Cr : ThaiPublica
นายบรรยงกล่าวว่า เมื่อเร็วๆ นี้ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีนซึ่งมีรายได้ประชากรต่อหัว 9,000 ดอลลาร์สหรัฐ ได้ออกมาบอกประชาชนว่าให้อดทน แต่ประเทศไทยที่มีรายได้ประชากรต่อหัว 6,600 ดอลลาร์สหรัฐ กลับมีการออกมากบอกว่า เศรษฐกิจไทยขยายตัวดี สบายใจ เพราะเศรษฐกิจไทยจะโตในอัตรา 4% เป็นครั้งแรก หลังจากในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยโตเฉลี่ย 3% มาเป็นเวลานาน
นอกจากนี้ ไตรมาส 3 ปีนี้เศรษฐกิจเติบโตแค่ 3.3% ซึ่งชะลอตัวลงมาจากไตรมาส 1 และไตรมาส 2 อย่างมีนัย อีกทั้งรายละเอียดของการเติบโตเศรษฐกิจก็ยังมีข้อกังขา
นายบรรยงกล่าวต่อว่า สรุปประเทศไทยในทางเศรษฐกิจ ติดกับดับมาเกือบ 20 ปี ตั้งแต่วิกฤติเศรษฐกิจ 2540 เศรษฐกิจก็ไม่ได้ขยายตัวดี เศรษฐกิจเติบโตเพียง 4-5% เท่านั้นเอง ถ้าเทียบกับที่เคยเติบโต 7% โดยเฉลี่ย มา 40 ปี ในช่วงปี 2500-2540 ซึ่งยุคนั้นมีการเรียกประเทศไทยว่า มหัศจรรย์ของเอเชีย หรือ Miracle of Asia
“ถามว่าที่เราเติบโตเฉลี่ยมา 3-4% มาต่อเนื่องยาวนานเกือบ 10 ปี มีการอัดฉีดเงินทุกด้าน ยังโตมาได้แค่ 4% อะไรคือปัญหา”
10 ปีที่ผ่านมาไม่ใช่เฉพาะในประเทศอาเซียน ประเทศไทยเป็นประเทศที่อัตราการเติบโตต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศพัฒนาด้วยกันเกือบทั้งโลก ยกเว้นประเทศที่มีปัญหาเศรษฐกิจในช่วงนั้น ถ้าไปในอัตรานี้ประเทศที่เป็นเพื่อนบ้านไทย เช่น เมียนมา ลาว กัมพูชา อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ที่มีอัตราการเติบโตเกือบ 6% จะโตล้ำหน้าไทยไปชั่วชีวิตของเยาวชนรุ่นนี้
ถามว่าปัญหาคืออะไร ประเทศไทยมีปัญหาเยอะแยะมากมายเกือบทุกด้าน ที่ทำให้ประเทศเราขึ้นชื่อว่าเป็น “sick man of Asia คนป่วยของเอเชีย” ในการวิเคราะห์ทั่วไปจะเห็นปัญหาหนึ่ง คือ แก่ก่อนรวย คือการขาดแคลนทรัพยากรที่สำคัญ คือ ทรัพยากรมนุษย์ที่จะสร้างเสริมเศรษฐกิจต่อไปในอนาคต ปัญหาคือคนไทยมีอายุสูงพ้นวัยทำงาน ขณะที่ตัวประเทศไทยเพิ่งพัฒนามาได้ครึ่งเดียว คือ 6,600 ดอลลาร์สหรัฐต่อคน ตามเป้าหมายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วต้องมี 12,500 ดอลาร์ ประเทศไทยจะเอาทรัพยากรที่ไหนที่จะมาทำให้เติบโตต่อไปได้ ในเมื่อทรัพยากรมนุษย์ขาดแคลน การส่งเสริมให้คนไทยมีลูกเพิ่มขึ้นก็ต้องใช้เวลาอีก 20-30 ปี กว่าจะเพิ่มขึ้นได้
ประเทศไทยมีอัตราการเกิดต่ำสุดในโลก 1.4 ต่อผู้หญิง 1 คน ต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วในกลุ่มยุโรป สวีเดนยังสูง 1.7 แต่ประเทศไทยต้องอยู่กับปัญหานี้ ซึ่งยังแก้ไม่ได้ ต้องรับคนเข้ามาในประเทศ แต่คนที่ต้องการจะเข้ามาอยู่ในประเทศไทยยังไม่มีคุณภาพที่จะเพิ่มผลิตภาพได้มากมาย ส่วนใหญ่เป็นแรงงานทักษะต่ำเกือบทั้งนั้น ที่ผ่านมารัฐบาลไม่เคยมีนโยบายที่จะชักจูงโน้มน้าวให้คนที่มีทักษะสูงเข้ามา เพราะคนที่มีทักษะสูงในประเทศกีดกันไว้ผ่านนโยบายต่างๆ โดยที่ไม่รู้ตัว
ปัญหาต่อไปคือ ด้านการศึกษา เป็นสิ่งที่พูดกันมา เป็นสิ่งที่รู้และยอมรับกันทั่วว่า การศึกษาล้มเหลว ไม่สามารถยกระดับบุคคลากรของประเทศให้ขึ้นมามีคุณภาพพอที่จะเพิ่มผลิตภาพโดยรวมของประเทศขึ้นมาได้ ส่วนการปฏิรูปการศึกษาที่เริ่มวันนี้จะเห็นผลในอีก 10-20 ปีข้างหน้า
คอร์รัปชัน อุปสรรคใหญ่ฝังรากลึก
นายบรรยงกล่าวต่อในด้านอุปสรรค อุปสรรคใหญ่ของไทยคือคอร์รัปชันที่ฝังรากลึกในสังคม ระบาดไปทั่ว นอกจากจะเอาทรัพยากรไปแล้ว ยังทำให้นโยบายบิดเบือน ส่งผลกระทบในวงกว้าง ในทางวิชาการบอกว่า ถ้าคนโกงไป 1 ล้านบาทจะส่งผลลบต่อระบบทั้งระบบ 10 เท่า ไม่ใช่แค่ตัวเงินที่เอาไป แต่ส่งผลต่อเนื่องยาวนาน ตัวอย่าง สมมติให้พ่อค้าสามารถไปซื้อการผูกขาดมาได้ ไม่ว่าจะจ่ายเงินไป 1 พันล้านบาท 2 พันล้านบาท 3 พันล้านบาทก็ตาม แต่ผลประโยชน์ที่เขาได้กลับมาเป็นแสนล้านบาทจากการผูกขาด ซึ่งแสนล้านบาทเอาไปจากไหน ไปจากผู้บริโภคทั้งหลาย จากศักยภาพการแข่งขัน ทำให้ทุกอย่างบิดเบือนไปหมด
เวลาเราพูดถึงการปฏิรูปซึ่งพูดกันมานานตั้งแต่ปี 2557 จะปฏิรูปไปไหน มีทิศทางอะไร รูปแบบเป็นอย่างไร ก็ชวนมองไปว่า เวลาพัฒนาไปแล้ว อย่างประเทศที่พัฒนาแล้ว ประชากรจะมีความสุขไปด้วย เพราะการกระจุกตัวไม่มาก มีทั้งความมั่งคั่งและการกระจายที่ทั่วถึง ก็พบว่ามีเงื่อนไข 3 อย่าง
หากไปดูดัชนีหรือตัววัด 3 อย่าง ประเทศที่อยู่อันดับต้นของดัชนี ด้านแรก ความร่ำรวย ที่วัดจาก GDP per capita พบว่า 20 ประเทศแรกที่มีความร่ำรวยที่สุดในโลก สอง ความเป็นประชาธิบไตย ซึ่งดัชนีที่ได้รับการยอมรับกันมากที่สุด democracy index ที่จัดทำโดย Economic Intelligent Unit (EIU) พบว่าประเทศ 20 ประเทศที่มีประชาธิปไตยสูง มีการพัฒนามายาวนาน (ซึ่งประชาธิปไตยไม่ได้แปลว่าเลือกตั้ง)
“ประเทศไทยก่อนที่จะมีปฏิวัติอยู่ที่อันดับ 60 ไม่ได้อยู่ในกลุ่มประชาธิปไตยเต็มใบหรือ full democracy ปัจจุบันนี้อยู่อันดับ 102 แต่หากไม่มีการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์นี้ อันดับของไทยคงไปอยู่เหนือเกาหลีเหนือนิดเดียว การพัฒนาประชาธิปไตยมีองค์ประกอบอื่นเยอะแยะ ไม่ใช่มีแค่การเลือกตั้ง ต้องมีภาคประชาสังคมที่เข้มแข็ง มีหลักนิติธรรม (rule of law) เป็นต้น”
ดัชนีตัวที่ 3 คือ Corruption Perception Index ดัชนีชี้วัดความโปร่งใส
“ที่ผมยก 3 ดัชนีนี้ขึ้นมา เพราะมีคำถามง่ายๆ ว่า ประเทศเหล่านี้ที่ร่ำรวย เคารพสิทธิมนุษยชน ถึงเลิกโกง หรือเพราะเคารพสิทธิมนุษยชน แล้วไม่โกง ประเทศถึงรวย ซึ่งค่อนข้างชัด ว่าไม่ใช่รวยแล้วถึงเลิกโกง ไม่ใช่ว่ารวยแล้วถึงเป็นประชาธิปไตย แต่เป็นประชาธิปไตยที่พัฒนาต่อเนื่องยาวนาน เพราะมีกลไกที่ทำให้เกิดความโปร่งใสทำให้พัฒนาไปได้”
ไทยจะเดินแนวไหน
ทีนี้ เวลาพูดอย่างนี้ แล้วคำถามต่อมาคือ จะทำอะไร อะไรคือธีม อะไรคือแนวที่ไทยควรไป
ในด้านเศรษฐกิจเป้าหมายมี 3 ข้อ คือ มั่งคั่ง แบ่งปันและยั่งยืน โดย มั่งคั่ง คือ รายได้ต่อหัว ไม่ใช่กระจุกเฉพาะกลุ่ม ต้องแบ่งปันมีการกระจายที่ดี เรื่องความมั่งคั่งประเทศไทยมาได้ครึ่งทางแล้ว แต่การกระจายยังน้อย
ประเทศไทยติดอันดับที่การกระจายความมั่งคั่งแย่ อยู่อันดับ 3 ของโลก รองจากรัสเซียและอินเดีย คนรัสเซีย 1% แรกถือทรัพย์สินรวม 74% คนอินเดีย 1% แรกถือทรัพย์สินรวม 58.8% คนไทย 1% แรกหรือประมาณ 600,000 คน ถือทรัพย์สิน 58.0% และจะแซงอินเดียได้ในเร็วๆ นี้ ขณะที่ประเทศอื่นไม่ถึง 50% สหรัฐอเมริกา 42%
นอกจากนี้ จากการวัดทุกมุมประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำสูงมาก แนวทางที่ทำมาในการกระจายความมั่งคั่งไม่ประสบความสำเร็จ ทั้งมาตรการที่พยายามจะเสริมเข้าไป เช่น นโนยายประชานิยม ที่จะมีส่วนช่วยลดความเหลื่อมล้ำ หรือการพยายามเก็บภาษีจากผู้มีรายได้มากให้ได้มากขึ้น โดยภาษีที่ออกมาคือภาษีมรดก ซึ่งมีผลมา 3 ปีแล้ว เก็บได้ประมาณ 10 ล้านบาท ส่วนภาษีที่ดิน มีทั้งวิธีเลี่ยงวิธีใช้ดุลยพินิจมากมาย ทั้งหมดนี้จะเป็นก้าวที่บอกว่าจะเดินอย่างไร
ด้านความยั่งยืนหมายถึง ต้องมีการพัฒนาเติบโตไปได้อย่างมีเสถียรภาพทั้งในแง่เศรษฐกิจและสังคม ในระยะสั้นเศรษฐกิจเสถียรมาก แต่ความยั่งยืนจะหยุดอยู่กับที่ จะอย่างยั่งยืนไปตลอดหรือไม่
รัฐต้องทำในสิ่งจำเป็น ปล่อยกลไกตลาดทำงาน
นายบรรยงกล่าวต่อว่า “จากประสบการณ์ 40 ปีในการทำงานหลายเรื่อง ธีมอย่างหนึ่งที่ประเทศไทยไม่เคยมีใครพูดถึง ผมคิดว่าธีมที่เหมาะสมที่สุดของไทยคือนีโอลิเบอรัล (เสรีนิยมใหม่) ความเป็นรัฐสวัสดิการ”
รัฐสวัสดิการ ส่วนใหญ่ยังสับสนระหว่าง welfare กับสังคมนิยม ประเทศที่ประสบผลสำเร็จมากในเรื่องรัฐสวัสดิการ เช่น ประเทศในยุโรปเหนือ จะพบว่าใช้ระบบตลาดเต็มที่ แต่มีกระบวนการที่จะย้ายทรัพยากรจากภาคส่วนที่ไม่จำเป็นมาสู่ภาคส่วนที่จำเป็น รวมทั้งย้ายจากภาคส่วนที่มั่งคั่งไปสู่ภาคส่วนที่ต้องการความช่วยเหลือ
welfare ของประเทศยุโรปเหนือไม่เกี่ยวกับความมั่งคั่งหรือไม่มั่งคั่ง เช่น สวัสดิการด้านการมีบุตร คนรวยคนจนได้รับทุกคน รวมทั้งการรักษาพยาบาล ยกตัวอย่าง สวีเดนโรงพยาบาลรัฐมีสัดส่วนเพียง 14% เท่านั้นอีก 86% เป็นโรงพยาบาลเอกชน โรงเรียนก็เหมือนกัน คือไม่ใช่โรงเรียนรัฐ เป็นประเทศรัฐสวัสดิการ แต่ไม่ได้สร้างโรงเรียน สร้างโรงพยาบาล แต่ให้ตลาดทำงาน รัฐให้คูปองไป ประชาชนไปเลือกใช้บริการเอง ให้ตลาดทำหน้าที่ทั้งการกำหนดราคาและการแข่งขัน นี่คือ welfare ในความหมายของเสรีนิยมใหม่ ไม่ใช่สังคมนิยมที่เป็นระบบที่รัฐทำทุกอย่าง แต่เมืองไทยยังไม่มีเส้นแบ่งชัดระหว่างสวัสดิการกับสังคมนิยม
แนวคิดของเสรีนิยมใหม่จริงๆ คือ รัฐทำแต่สิ่งที่จำเป็น รัฐปล่อยให้ตลาดทำงานให้ได้มากที่สุด รัฐจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวในกรณีที่ตลาดล้มเหลว หรือเกิดผลกระทบต่อสิ่งที่ปกป้องตัวเองไม่ได้ เช่น สิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ
รัฐจะมีบทบาทต่อเมื่อเกิด market failure หรือ เกิด externalities ซึ่งตัวอย่างของ market failure คือ หน้าที่ของรัฐคือการวางกลไก วางโครงสร้างการตลาดเพื่อให้เกิดการแข่งขันอย่างเต็มที่โดยสมบูรณ์ แต่เมื่อไรก็ตามที่เกิดเหตุการณ์ที่ตลาดทำงานไม่ได้ เช่น กรณีที่ต้องมีการพัฒนาในพื้นที่ที่เอกชนยังไม่ทำ ตรงนี้รัฐต้องเข้าไปเกี่ยว วิธีการเข้าไปเกี่ยวมีหลายวิธี แต่วิธีการที่เลวร้ายสุดคือรัฐลงไปทำเอง
market failure ที่สำคัญอีกอันหนึ่งคือ เมื่อไรก็ตามที่มีการเกิดผูกขาด มีการแข่งขันน้อยราย รัฐจะต้องทำลายการผูกขาดนั้นถ้าทำได้ หรือในกรณีที่การผูกขาดนั้นไม่สามารถที่จะทำลายได้ เพราะเป็น national monopoly รัฐต้องเข้าไปควบคุมไม่ให้ใครก็ตาม ไม่ว่ารัฐวิสาหกิจ หรือเอกชนเอาพลัง monopoly นั้นไปเอารัดเอาเปรียบตลาดแล้วทำให้เกิดการบิดเบือน และรัฐจะต้องไม่สร้างการผูกขาดเสียเอง เช่น เปิดประมูล duty free แบบ single operator เป็นต้น
ในประเทศไทยชัดเจนมาก รัฐบาลเราใหญ่เกินไปทั้งขนาด บทบาท อำนาจ วิธีการที่ดีที่สุด คือ การลดทั้งขนาด บทบาท และอำนาจของรัฐ ผ่านหน่วยงานของรัฐ ผ่านกฎหมายที่รัฐถืออยู่ และผ่านรัฐวิสาหกิจที่รัฐเป็นผู้ควบคุมการดำเนินงาน
“หลักง่ายๆ คือ ลดให้มากที่สุด เช่น การปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ แต่คงไม่เกิดขึ้น เพราะการปฏิรูปทำให้ผู้ที่สูญเสียผลประโยชน์ไปด้วย หรือ การทำ regulatory guillotine เป็นความพยายามที่จะลดกฎหมาย กฎระเบียบ”
นายบรรยงกล่าวต่อว่า ประเทศไทยมีกฎหมาย 7 แสนฉบับ ซึ่งแยกเป็นของท้องถิ่น 5 แสนฉบับ ขณะนี้มีความพยายามที่จะจัดการยกเลิกกฎหมายเหลือ 1 แสนฉบับ แต่ต้องใช้เวลา เพราะกฎหมายทั่วไป การแก้ไขต้องใช้เวลาฉบับละ 2 ปี ถ้าจะแก้ทั้งหมดใช้เวลานาน เป็นหมื่นปี ดังนั้นควรเป็นกระบวนการต่อเนื่อง และหน่วยงานของรัฐควรแยกเอาไปทำ ขณะนี้มีหน่วยงานที่บางแห่งเริ่มทำแล้ว เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ทำเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนไปแล้ว และกำลังจะทำกับกฎหมายด้านสถาบันการเงิน
ส่วนกระบวนการต่อต้านคอร์รัปชันมีความสำคัญมาก จากการทำงานกับองค์การต่อต้านคอร์รัปชัน ที่ก่อตั้งมาแล้ว 7 ปี ก็เห็นความคืบหน้าในหลายจุด แต่การขจัดคอร์รัปชันในทันทีเป็นไปไม่ได้ เพราะมีจำนวนมหาศาล มีคนพูดว่า คอร์รัปชันเป็นหนึ่งในสายเลือดที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย แต่อนาคตต้องกำจัดให้ได้ ไม่เช่นนั้นประเทศจะไม่มีอนาคตที่รุ่งโรจน์ไปได้
อนาคตประเทศไทย โดย บล ภัทร
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อนาคตประเทศไทย โดย บล ภัทร
โพสต์ที่ 2
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้างานวิจัยลูกค้าบุคคล บริษัทหลักทรัพย์ภัทร จำกัด (มหาชน)
Cr:Thaipublica
เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2561 กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร จัดกิจกรรม “ล่องเจ้าพระยา ใคร่ครวญอนาคตประเทศไทย” มีคณะผู้บริหารร่วมพูดคุยกับสื่อมวลชน โดย ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้างานวิจัยลูกค้าบุคคล บริษัทหลักทรัพย์ภัทร จำกัด (มหาชน) บรรยายในหัวข้อ “โหมโรง 2019 เศรษฐกิจเราจะไปทางไหน” ว่า
ดร.พิพัฒน์เกริ่มนำก่อนว่า “เมื่อสักครู่ฟัง “คุณบรรยง พงษ์พานิช”พูดแล้วนึกถึงคำที่ ดร.อนุชิต [อนุชิตานุกูล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ประธานสายพัฒนาระบบงาน ช่องทางขายและผลิตภัณฑ์ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน)] เล่าให้ฟังว่า ปัญหาเมืองไทยคือ แก่ เจ็บ จบ คนน้อย ด้อยศึกษา ปัญหาเหลื่อมล้ำสูง คุณบรรยงก็ไล่มาเกือบหมดแล้วเราก็ได้เห็นประเด็นปัญหาอนาคตประเทศที่ค่อนข้างน่าใคร่ครวญอยู่พอสมควร วันนี้ผมก็ขออนุญาตมองภาพใกล้ขึ้นมาสัก 3 ประเด็น ประเด็นแรก คือ ประเด็นอะไรบ้างที่น่าจะเกี่ยวข้อง น่าสนใจ น่าติดตามกับเศรษฐกิจในช่วงปีนี้ปีหน้า ประเด็นที่ 2 คือ แนวโน้มเศรษฐกิจไทยช่วงถัดไปจะเป็นอย่างไร และประเด็นสุดท้าย คือ เรื่องแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะยาวขึ้นบ้างเล็กน้อย”
จับตา “เศรษฐกิจโลกชะลอ-ดอกเบี้ยขึ้นสวนทาง-สงครามการค้า”
ประเด็นแรก คือ เรื่องที่น่าจะมีผลต่อเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป คิดว่าน่าจะมีอยู่ 3 เรื่องใหญ่ข้างนอก เรื่องแรก เราเห็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจโลกอาจจะผ่านจุดที่ดีที่สุดไปแล้ว ต้นปีที่แล้วเราพูดถึงการกลับมาเติบโตอย่างพร้อมเพรียงของเศรษฐกิจต่างๆ ในโลก หรือ syncronized recovery หรือ syncronized growth เราเห็นหลายประเทศฟื้นตัวกลับมาพร้อมกัน กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่กลับมาดีพร้อมๆ กัน ผ่านไปไม่นานสักครึ่งปี ตอนนี้เรากลับมาใช้คำว่า syncronized slowdown อีกแล้ว ฉีกตัวออกไปอีกด้านเลยว่าเราเริ่มเห็นเศรษฐกิจเกือบทุกประเทศหมุนช้าลง เติบโตช้าลง
แล้วปัญหาสำคัญเมื่อเศรษฐกิจหมุนช้าลงคือการค้าโลกและการส่งผ่านข้อดีของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมันทำให้อานิสงส์ของการที่ทุกคนดีพร้อมๆ กันมันเริ่มจะชะลอตัว เราเริ่มเห็นการส่งออกของหลายประเทศแถวเอเชียชะลอพร้อมกันหมด ไต้หวัน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น เราดูตัวเลขดัชนีผู้จัดการซื้อ หรือ Puchaser Manager Index (PMI) ซึ่งคนส่วนใหญ่ใช้วัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจก็เริ่มชะลอพร้อมๆ กัน จากที่เดิมดัชนีเคยเกิน 50 หมดคือทุกประเทศโตพร้อมกัน ตอนนี้ทุกประเทศลงมาใกล้ๆ ปริ่มๆ เติบโตช้า
“อาจจะเหลือสหรัฐอเมริกาที่เดียวที่วันนี้เศรษฐกิจยังเติบโตพีคอยู่ แต่ว่าตอนนี้คนเริ่มพูดกันว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจจะมีแนวโน้มค่อยๆ ชะลอเหมือนกัน วันนี้อาจจะยังเห็นอัตราว่างงานของสหรัฐอเมริกาอยู่ 3.7-3.8% ซึ่งต่ำที่สุดตั้งแต่ปี 1949 ต่ำที่สุดในรอบหลายทศวรรษ แต่ก็เห็นสัญญาณว่ามันเริ่มอ่อนตัวลง ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจที่ขยายตัวเป็นระยะเวลานานจนอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้องปรับตัวสูงขึ้น อาจจะเห็นผลกระทบตลาดบ้าน ราคาบ้านชะลอลง ดังนั้น เศรษฐกิจมันเริ่มมีสัญญาณชะลอตัว”
อันนี้คือเรื่องแรก ภาพที่เห็นข้างนอกอาจจะไม่ได้สวยหรูแบบเมื่อปลายปีที่แล้วหรือต้นปี 2561 พอเราเริ่มเข้าสู่ปี 2562 เราจะเข้าไปด้วยบรรยากาศของการชะลอตัวลง หลายคนตั้งคำถามไปถึงว่าจะมีการถดถอยทางเศรษฐกิจอีกหรือไม่ หลายคนเริ่มมองว่าในปี 2563 อาจจะมีโอกาสเกิดอีก เป็นสิ่งที่นักวิเคราะห์และนักเศรษฐศาสตร์หลายคนเริ่มมองข้ามไปแล้ว มองข้ามปี 2563 ไปแล้ว เพราะในการคาดการณ์ส่วนใหญ่มองว่าปีหน้าอาจจะชะลอตัวแต่ยังไม่ถึงกับถดถอย แต่จะมีหรือไม่ก็ต้องรอดูต่อไป
ประเด็นที่สอง คือ เราเริ่มเห็นอัตราดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น ซึ่งมันแปลกดีเหมือนกันว่าทำไม่เรามาเจอดอกเบี้ยขาขึ้นในบรรยากาศที่เศรษฐกิจส่วนใหญ่เริ่มชะลอตัวลง อาจจะเป็นเพราะเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกายังดีอยู่มาก อัตราการว่างงานยังต่ำ เงินเฟ้อเริ่มไต่ขึ้นมา เขาต้องอาศัยโอกาสที่จะเริ่มปรับดอกเบี้ยนโยบายกลับไปภาวะปกติ แต่ปัญหาคือว่าคำว่า “ปกติ” ของเขามันหมายถึงการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกค่อนข้างมากในอีก 12 เดือนข้างหน้า เรากำลังพูดถึงการขึ้นดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% ระหว่าง 3-5 ครั้ง คือจะขึ้นอีก 0.75-1.25% ในอีก 12 เดือนข้างหน้า ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเขาอยู่ที่ 2% กว่าๆ แปลว่าอีก 12 เดือนข้างหน้าถ้าเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์และระบบธนาคารสหรัฐฯ หรือเฟด คาดการณ์ เราจะเห็นดอกเบี้ยระยะสั้นในสกุลดอลลาร์สหรัฐขึ้นไปอยู่ที่ 3% มากกว่า 2% ตอนนี้
แล้วมันเป็นปัญหาอะไร อย่างแรก มันจะยิ่งทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกที่พึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐเริ่มตึงขึ้นในแง่ของสภาพคล่อง และใครที่กู้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐมากๆ ต้นทุนการกู้ยืมจะแพงขึ้น เราจะเริ่มเห็นอาการออกว่าความผันผวนของการไหลเข้าออกของเงินทุนเริ่มเป็นประเด็นในหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศเกิดใหม่ที่มีปัจจัยพื้นฐานไม่ค่อยดีเท่าไหร่ กลายเป็นความเสี่ยงที่ประเทศหลายประเทศเริ่มกังวล ถ้าเราลองเริ่มนึกภาพดูว่าอัตราดอกเบี้ยของเฟดขึ้นไป 3% กว่า ความน่าสนใจของเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐก็จะมากขึ้น สมัยก่อนที่ทำคิวอีกันมากๆ สภาพคล่องหลายส่วนมันไหลมาที่ประเทศเกิดใหม่ทั้งหลาย วันนี้คำถามคือมันจะไหลกลับหรือไม่ เป็นความเสี่ยงที่อาจจะก่อให้เกิดความผันผวนของค่าเงินทั้งในแง่ของค่าเงิน สภาพคล่อง ปริมาณเงินที่ไหลอยู่ในระบบ และต้นทุนทางการเงิน
แต่ว่าอาจจะมีหลายประเทศ เช่น ยุโรปและญี่ปุ่น ที่ยังคงทำคิวอีอยู่ในปัจจุบัน อาจจะเหลือ 2 ประเทศที่ทำอยู่ 2 ประเทศนี้ก็ทำมานานมากแล้ว สหรัฐอเมริกาจะเลิกทำแล้ว เปลี่ยนจากคิวอี หรือ quantitative easing เป็น quantitative tightening แล้ว คือเริ่มลดงบดุลของเฟด แต่ยุโรปยังคงทำและอาจจะต้องทำต่อไปอีกสักพัก ซึ่งก็มีปัญหาอีกว่าเขาก็ไม่สามารถทำไปได้ตลอดเวลา เขาเริ่มประกาศแล้วว่าปลายปีนี้คงต้องเลิก อันนี้คนก็มองข้ามไปว่าดอกเบี้ยจะขึ้นด้วยหรือไม่
ประเด็นที่สาม คือ เรื่องสงครามการค้าที่จะมีความไม่แน่นอนค่อนข้างมาก หลายคนถามว่าตกลงสหรัฐอเมริกาคุยกับจีนรู้เรื่องหรือไม่ วันเสาร์อาทิตย์ที่จะถึงนี้ควรจะติดตามการประชุมที่เรียกว่าคนติดตามมากที่สุดในโลกครั้งหนึ่ง คือการประชุมสุดยอดผู้นำโลก 20 ประเทศ หรือประชุม G20 ที่อาร์เจนตินา ที่ผมว่าปกติคนไม่ค่อยดูเท่าไหร่ แต่ครั้งนี้จะมีคนมาขโมยซีนคือนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศเจอกับสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ที่เป็นมวยรุ่นใหญ่ คนก็คงเลิกดูการประชุมทั่วไป คงมาจับตาดูนัดนี้แทน
ปัญหามันคือว่ามันมีความไม่แน่นอนค่อนข้างมากว่าทรัมป์จะทำอะไร? ถ้าเราฟังสิ่งที่พูดที่ทำที่อยากจะทำ แล้วถ้าฟังดูเจ้าหน้าที่ของเขาแต่ละคน ภาพมันไม่ค่อยชัดเจนเลย ถ้ายังจำได้ Steven Mnuchin รัฐมนตรีกระทรวงการคลังไปตกลงกับจีนแล้วรอบหนึ่ง แต่พอกลับมาสหรัฐอเมริกา ทรัมป์ยกเลิกหมดเลยบอกว่าที่ตกลงไปล้อเล่น ทำเอาจีนโกรธมาก วันนี้ก็ยังนั่งคุยกันอยู่
แล้วการที่สหรัฐอเมริกาขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน จริงๆแล้วมันเป็นยุทธศาสตร์หรือคุยกันใน 3 เรื่องใหญ่ อันแรกมันคือเกี่ยวกับเศรษฐกิจ เพราะการขึ้นภาษีทำให้ของที่ผลิตในอีกประเทศหนึ่งและนำเข้ากลับมาในประเทศแพงขึ้น ทำให้ความน่าสนใจของการผลิตในประเทศนั้นคือจีนน้อยลง โดยจุดมุ่งหมายเขาคือว่าใครก็ตามที่ผลิตอะไรก็ตามอยู่ในจีนต้องย้ายฐานการผลิตกลับมาสหรัฐอเมริกา เพื่อ Make America Great Again อันนี้เป็นประเด็นเรื่องของเศรษฐกิจ ถ้าเราดูสหรัฐอเมริกาขาดดุลการค้ากับจีนปีละ 370,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สหรัฐอเมริกานำเข้าจากจีนปีละ 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จีนนำเข้าเพียงแค่ 100,000 กว่าล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้นเอง ดังนั้น สหรัฐอเมริกามองว่าการขาดดุลการค้ามากๆ เป็นประเด็นว่าเขาเสียหายทางเศรษฐกิจ
แต่ปัญหาคือว่า การแก้ปัญหาขาดดุลการค้าและความเสียหายทางเศรษฐกิจด้วยการขึ้นภาษีมันก็เป็นการยิงตัวเองด้วยเหมือนกัน ลองนึกดูว่าไอโฟนตอนนี้ออกแบบในแคลิฟอร์เนียก็จริง แต่มันไปประกอบในจีนหมดเลย ถ้าไอโฟนโดนภาษี ใครจะซวยก็คือคนที่ซื้อ ดังนั้นกลายเป็นว่าต้นทุนในการซื้อของของผู้บริโภคหรือแม้แต่การผลิตอื่นๆ ที่อยู่ในสหรัฐอเมริกาจะเสียความสามารถในการแข่งขันไปโดยปริยาย ในแง่ของเศรษฐกิจมันก็ไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่ที่ใครจะทำสงครามการค้ากัน
อันที่ 2 มันมีแง่มุมอื่นอย่างปัญหาการเมืองที่ทรัมป์ชนะเลือกตั้งมา ส่วนหนึ่งเพราะว่าเขาชูปัญหาตรงนี้ แล้วยิ่งด่าจีนเท่าไหร่ความนิยมมันก็ขึ้นเท่านั้น แต่คนลืมไปว่ามันมีต้นทุนเกิดขึ้น คือความจริงที่ว่าเขาต้องจ่ายเงินมากขึ้น ความจริงว่าความสามารถในการแข่งขันจะน้อยลง หลายที่เริ่มบอกว่าถ้าจะทะเลาะกันนานๆ เขาจะเริ่มย้ายฐานการผลิตออกจากสหรัฐอเมริกาด้วย เพราะถ้าเขาจะเอาไปขายที่อื่น ตลาดจีนก็ไม่ได้เล็ก
นี่เป็นเรื่องกลยุทธ์ระยะยาว เพราะแน่ๆ เลยที่สหรัฐอเมริกาคงทนไม่ได้ที่จะเห็นจีนขึ้นมาเป็นมหาอำนาจอันดับ 2 และก้าวข้ามสหรัฐอเมริกาในอีก 10 ปีข้างหน้าด้วยประชาชนพันล้านคน เทียบกับสหรัฐอเมริกาที่ 300-400 ล้านคน ดังนั้น ถ้าจีนเติบโตแบบนี้ไปเรื่อยๆ รับรองแซงแน่ๆ วันนี้สิ่งที่สหรัฐอเมริการู้สึกว่าจีนเอาเปรียบมากที่สุดคือเรื่องของเทคโนโลยี เพราะลองนึกภาพว่าไอโฟนใช้กัน 20,000 บาท 40,000 บาท จีนมาแป๊บเดียว เสี่ยวมี่ หัวเว่ย เครื่องละ 4,000 บาท ทำได้เหมือนกันเกือบทุกอย่างเลย เพราะว่าต้นทุนการลอกและพัฒนาถูกกว่าวิจัยและพัฒนามหาศาล สหรัฐอเมริกาก็มองว่าไม่ยุติธรรมและต้องการให้การค้ายุติธรรมมากขึ้น จีนก็ออกนโยบาย Made in China 2025 ที่ต้องการเป็นเจ้าของเทคโนโลยีเอง แต่มันก็ไม่ง่ายนัก
ประเด็นที่เป็นปัญหาทุกวันนี้และอาจจะเกิดขึ้นไปข้างหน้าด้วยคือความตึงเครียดที่จะเปลี่ยนจากสงครามการค้าเป็นสงครามเย็น คือไม่ได้รบกันซะทีเดียวแต่มีความตึงเครียดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และเป็นปัญหาอันสุดท้ายที่ทำให้โครงสร้างห่วงโซ่การผลิตของทั้งโลกอาจจะถูกปั่นป่วนไปได้ วันนี้ทุกคนตั้งโรงงานในจีนแล้วส่งออกไปสหรัฐอเมริกา วันนี้ต้องคิดหนักแล้วว่าจะทำอย่างไรกับโรงงานดี จะส่งกลับมาก็ไม่ได้ถ้าโดนภาษี แต่จะย้ายโรงงานก็ไม่รู้ ถ้าเกิดวันเสาร์นี้คุยกันรู้เรื่อง ยกเลิกหมด แล้วจะย้ายไปทำไม
วันนี้คำว่าความไม่แน่นอนทำให้การตัดสินใจต่างๆ มันคิดลำบาก มันก็กระทบกันหมดเป็นลูกโซ่ และหลายคนคิดว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ค่อนข้างสำคัญกับเศรษฐกิจโลก แล้วยิ่งทะเลาะกันหนักขึ้น มูลค่าการค้าหายไป ยิ่งทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกวางแผนได้ยากขึ้น การเติบโตต่างๆ คนก็คาดการณ์ได้ยากลำบากมากขึ้น เหล่านี้เป็น 3 ประเด็นข้างนอกประเทศที่ต้องจับตาดู นอกเหนือไปจากประเด็นเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ที่เราต้องติดตามกันตลอด ไม่ว่าจะเรื่องเกาหลีเหนือจะเลิกทำนิวเคลียร์หรือไม่ ปีหน้ากลับมาอีกหรือไม่ หรือทางซาอุดีอาระเบียจะทำอะไรกับเรื่องราคาน้ำมันอีกหรือไม่ อาจจะมีเรื่องการเมืองอย่างการออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษ ก็อาจจะมีผลกระทบได้ค่อนข้างมาก
เศรษฐกิจไทย 2562 ชะลอกลับสู่ศักยภาพ 3%
กลับมาดูเมืองไทยว่าจะเป็นอย่างไร เรามองว่าหลังจากครึ่งปีแรกที่เติบโตได้ 4.8% แล้วในไตรมาสแรกที่โตไป 4.9% เป็นการเติบโตที่เร็วที่สุดในรอบหลายปีหลังจากติดหล่มทางเศรษฐกิจมา ไตรมาส 3 ของปี 2561 เหลือ 3.3% ทำให้ 9 เดือนแรกเติบโตได้ 4.3% ทั้งปีที่เหลือก็มองว่าจะเติบโตได้ 4% ต้นๆ แต่เราเชื่อว่าโมเมนตัมกำลังจะบอกเราว่าเศรษฐกิจปีหน้าน่าจะเติบโตช้าลง แต่อาจจะยังไม่ใช่การถดถอยทางเศรษฐกิจขนาดนั้น
ทำไมเราคิดว่ามันจะเติบโตช้าลง เพราะว่าเครื่องยนต์ในการเติบโต หรืออะไรที่เป็นตัวผลักดันเศรษฐกิจในปีนี้มันเริ่มหายไป ต้นปีเรามีคำใหญ่ที่ใช้คือแข็งนอกอ่อนใน คือการเติบโตมาจากภายนอกหมดเลย ทั้งการส่งออกและการท่องเที่ยว ขณะที่ภายในยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ตอนต้นปีก็มีคำว่าแข็งบนอ่อนล่าง คือเราเริ่มเห็นการฟื้นตัว แต่ฟื้นตัวของคนกลุ่มบนเป็นการบริโภคสินค้าคงทนอย่างรถยนต์ ส่วนการบริโภคสินค้าไม่คงทน อาหารเครื่องดื่มทั่วไปไม่ค่อยเติบโต ติดลบอีกต่างหาก บ่งบองปัญหาความเหลื่อมล้ำที่อาจจะมีอยู่ เรายังเห็นประเด็นพวกราคาสินค้าเกษตร การบริโภคของต่างจังหวัด ที่บอกว่าเคยดีกว่านี้ มันดีขึ้นแต่ไม่ได้ดีขนาดนั้น
พอมาดูไตรมาส 3 เราก็เห็นว่า ที่พูดมาทั้งหมด เครื่องยนต์การเติบโตอย่างการส่งออกและท่องเที่ยวแค่ชะลอและติดลบไปแค่เดือนกันยายนเดือนเดียว เราเห็นจีดีพีชะลอลงมาเร็วมาก ปัญหาคือว่า contribution to growth หรือสิ่งที่การส่งออกและท่องเที่ยวดันจีดีพีให้เติบโตมันเป็นสัดส่วนค่อนข้างใหญ่ ลองนึกภาพของการท่องเที่ยววันนี้คิดเป็นสัดส่วน 15% ของจีดีพีทั้งหมด ที่ผ่านมาเติบโต 10% ถ้าคูณเอาง่ายๆ คือว่าถ้าการท่องเที่ยวไม่เติบโตเลย จีดีพีจะหายไปประมาณ 1% กว่าๆ นั่นคือสิ่งเราเห็นชัดเจนในไตรมาสที่ 3 เลย คือการท่องเที่ยวหยุดเติบโตแล้วจีดีพีจากที่เคยเติบโต 4% กว่ามาเหลือ 3% กว่า
การส่งออกเหมือนกัน คิดเป็นประมาณ 70% ของจีดีพี ถ้าหักการนำเข้าไปสักครึ่งหนึ่งแสดงกว่ามีความสำคัญ 20-30% ของจีดีพี แล้วเติบโตปีที่แล้วประมาณ 8-9% แต่ปีหน้าด้วยเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง ความไม่แน่นอนของสงครามการค้า เราเชื่อว่าคงไม่ได้เห็น 8-10% อย่างที่เคยเห็น อาจจะลดลงมา 5-6% แต่สังเกตว่าเครื่องยนต์ต่างๆ มันเติบโตช้าลง ดังนั้น ความสำคัญของการท่องเที่ยวและการส่งออกมีความสำคัญค่อนข้างมาก
คำถามที่จะเป็นภาระของเศรษฐกิจไทยในปีหน้าคือว่าใครจะมาเป็นเครื่องยนต์ใหม่ที่จะมาดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโตมากขึ้นอย่างที่เห็นในปีนี้ คำตอบตอนนี้ก็ยังหาไม่ค่อยเจอ อย่างการบริโภคภายในประเทศ ตอนนี้เติบโตจาก 3% กว่าเป็น 5% ในไตรมาสล่าสุด แต่ถ้าดูไส้ใน 1% กว่าของการบริโภคมาจากการขายรถยนต์อย่างเดียว ไตรมาสที่สามเติบโตไป 18% เทียบกับปีก่อนหน้า ไม่รู้ว่าใครซื้อไปเหมือนกันนะ แต่ว่าเติบโตไปขนาดนั้น เราก็เห็นเป็นวัฏจักรที่ค่อนข้างยาวนาน เพราะมันติดลบมาตลอดหลายปี เพิ่งจะมาฟื้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แล้วฟื้นค่อนข้างเร็ว แต่อาจจะมีประเด็นว่ายอดขายลงบัญชีไปแล้วมันถึงมือคนซื้อหรือไม่ ก็ต้องติดตามดูต่อไป ปัญหาคือเราก็ไม่เชื่อว่ายอดขายรถยนต์มันจะเติบโตได้แบบนี้ไปเรื่อยๆ ดังนั้น เครื่องยนต์นี้ก็อาจจะอ่อนตัวลงไปอีกเหมือนกัน
มันก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เรามองว่าจีดีพี 4% ในปีนี้จะลดลงเหลือ 3% ปลายๆ ในปีหน้า ซึ่งเข้าใกล้กับสิ่งที่หลายคนเชื่อว่าเป็นศักยภาพของไทยที่ไม่น่าจะใช่ 4% อีกแล้ว เราก็เชื่อว่าน่าจะเป็นการอ่อนตัวลงไปแบบนั้น ภาพรวมอาจจะไม่ได้แย่มาก แต่คงแย่กว่าปีนี้ หลายคนก็บอกว่าปีนี้ดีแล้วหรือ เศรษฐกิจยังไม่ดีเลยปีนี้
ติดตามความเสี่ยง-โอกาสในปีหน้า
ถามว่าปัจจัยเสี่ยงคืออะไร ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตาดูมากเลยคือเรื่องราคาสินค้าเกษตรที่แย่ต่อเนื่อง แม้ว่าเราเห็นรายได้เกษตรกรเป็นบวก แต่เป็นเพราะปริมาณการผลิตมันเพิ่ม แต่ราคามันลดลงต่อเนื่องหลายเดือนติดต่อกัน เราก็เห็นคนออกมาบ่นมากขึ้น ราคายางพารา ราคามันสำปะหลัง ราคาอ้อย ทำให้การบริโภคต่างจังหวัดอาจจะไม่ได้หวือหวามาก และอาจจะทำให้ฐานการบริโภคของไทยไม่ได้รู้สึกดีขึ้น เพราะว่าการกระจุกตัวของการฟื้นตัวมันอยู่แค่บางกลุ่ม
ประเด็นที่สอง ที่เป็นความเสี่ยงของไทยคือเศรษฐกิจภายนอก ถ้าเศรษฐกิจโลกชะลอมากกว่าที่คิด ถ้าเกิดส่งออกแย่กว่าที่คาด ถ้านักท่องเที่ยวไม่มา แล้วสิ่งที่ต้องติดตามมากๆ คือจีน ถ้าเศรษฐกิจจีนชะลอตัวลไป ท่องเที่ยวที่เราเห็นอาจจะแย่ไปมากกว่านี้หรือไม่ หรือมีปัญหาอะไรต้องลดค่าเงินหยวน ค่าเงินบาทจะเป็นอย่างไร หรือถ้าเขามีปัญหามากๆ จนเริ่มแตะเบรกไม่ให้คนออกมาท่องเที่ยว เพราะวันนี้เงินที่ไหลออกของจีนก้อนใหญ่สุดอันหนึ่งคือเอามาท่องเที่ยว ถ้าเกิดเขาเริ่มหยุดตรงนั้นก็อาจจะมากระทบเราเหมือนกัน
ประเด็นที่สาม คือ การเมืองของไทย ว่าจะเปลี่ยนผ่านได้สงบเรียบร้อยหรือไม่ ความมั่นใจเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องการลงทุนของเอกชนจะปรับตัวดีขึ้นได้หรือไม่
ส่วนปัจจัยด้านบวกของไทยคืออะไร เราอาจจะพูดถึงการลงทุนว่ามาแน่ๆ การเลือกตั้งจะมาแล้ว อีอีซี จะเดินหน้าแล้ว แต่ต้องระวังว่าการลงทุนอย่างอีอีซีอาจจะยังไม่เห็นเม็ดเงินจนกระทั้ง 1-2 ปีข้างหน้า กว่าจะเริ่มประมูลได้ เริ่มทำอะไรได้ การลงทุนตอกเข็มจริงๆ เงินที่ลงทุนกว่าจะเข้าเศรษฐกิจอาจจะอีกนาน วันนี้ก็มีคนถามว่าเวลามีสงครามการค้ามันก็มีทั้งข้อดีข้อเสีย ข้อเสียคือเราอาจจะไปอยู่ในห่วงโซ่การผลิตที่ถูกปั่นป่วน แต่มันก็มีสิ่งที่เรียกว่า trade diversion คือการที่เขาไม่ค้าขายกันก็หันมาค้าขายกับเราแทนก็ได้ และมันก็มีผลกระทบทางลบที่ไทยอาจจะถูกทุ่มตลาดด้วยราคาลงมา เพราะเขาขายกันไม่ได้ก็เอาสินค้ามาระบายที่ไทย
อีกอันที่คนตั้งหน้าตั้งตารอคือการจัดสรรทรัพยากรหรือการตั้งโรงงานใหม่ คือถามว่าถ้าสหรัฐอเมริกาไม่นำเข้าสินค้าจีน นักลงทุนไต้หวัน สหรัฐอเมริกา หรือจีนเองที่มีโรงงานในจีนแล้วส่งไปขาย มีสิทธิหรือไม่จะย้ายมาที่อาเซียนมาไทยที่ต้นทุนการผลิตถูกกว่าและอาจจะไม่โดนภาษีจากสหรัฐอเมริกา เราก็รอดูตัวเลขอยู่ แต่พอความไม่แน่นอนมันสูง คนก็ไม่กล้าตัดสินใจ คนที่ย้ายอาจจะเป็นกลุ่มที่มีโรงงานอยู่แล้วทั้ง 2 ที่แล้วย้ายการผลิตหรือเพิ่มประเภทการผลิตเข้ามา แต่เราก็ยังไม่เห็นตัวเลขชัดเจน ซึ่งมันอาจจะเป็นโอกาสได้ถ้าเรามีความน่าสนใจจริงๆ แต่คนก็เริ่มบอกอีกว่าเวียดนามจะน่าสนใจมากกว่าหรือไม่ หรือไทยจะสามารถจะไปผลิตทดแทนจีนได้หรือไม่
คาด กนง. ฉวยโอกาสเศรษฐกิจยังดีขึ้นดอกเบี้ย
ดร.พิพัฒน์กล่าวต่อไปถึงเรื่องอัตราดอกเบี้ยของไทยว่าเป็นเรื่องน่าสนใจว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะทำอย่างไร เพราะสหรัฐอเมริกาคาดว่าจะขึ้นอีก 3-5 ครั้ง แต่เมืองไทยเราเชื่อว่าด้วยการเติบโตที่อาจจะไม่ได้ดีมาก อ่อนตัวลงมา เงินเฟ้อที่แทบจะไม่ได้มี ตอนนี้อยู่ที่ 1% เท่านั้น เราก็เชื่อว่าโอกาสที่ กนง. จะขึ้นดอกเบี้ยอาจจะมีไม่มาก ถ้าอ่านรายงานการประชุมจะเห็นว่าความเสี่ยงมีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ผลออกมาคงดอกเบี้ย 4 ต่อ 3 ก็อาจจะงงๆ ว่าจะขึ้นหรือไม่
แต่เรื่องหนึ่งคือ กนง. กังวลเรื่องของเสถียรภาพการเงินค่อนข้างมาก แสดงความกังวลมาตลอด เราจึงเชื่อว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่การเติบโตของเศรษฐกิจยังพอไปได้ คือดีกว่าสิ่งที่ กนง. เชื่อว่าเป็นศักยภาพของไทย คืออยู่แถวๆ 3.5-4% ไม่ได้แย่มาก กนง. ก็น่าจะอยากขึ้นดอกเบี้ย เราเชื่อว่ามีโอกาสค่อนข้างมากที่การประชุมครั้งสุดท้ายของปีในเดือนธันวาคมจะขึ้นดอกเบี้ยและในปีหน้าอาจจะมีโอกาสขึ้นอีกครั้ง ไม่เช่นนั้นจะมีส่วนต่างดอกเบี้ยค่อนข้างมาก และมีผลต่อเงินทุนเคลื่อนย้ายได้มาก
วัตถุดิบ” ใหม่
ดร.พิพัฒน์กล่าวถึงประเด็นสุดท้ายเรื่องประเทศไทยจะไปทางไหนว่ามีอยู่ 2 เรื่องใหญ่ๆ เรื่องแรก คือ ภาวะประชากรที่จะลดลงในอนาคต ดังนั้นการเติบโตของทั้งประเทศก็เติบโตไม่ได้ ถ้าเรามองประเทศเป็นเครื่องจักรเครื่องหนึ่งที่ใส่วัตถุดิบเข้าไปคือแรงงานกับทุน เครื่องจักรนี้จะมีวัตถุดิบน้อยลงไปเรื่อยๆ เพราะจากวันนี้ประชากรวัยทำงานเราจะลดลง ไม่ใช่เติบโตช้าด้วย ดังนั้น ถ้าเราทำงานไปแบบเดิม ประสิทธิภาพของเครื่องยนต์แบบเดิม การเติบโตก็จะแย่ลงไปเรื่อยๆ เหมือนที่เราเห็นว่าเราเคยเติบโตจาก 7% มาเหลือ 5% มาเหลือ 3% ส่วนหนึ่งเพราะวัตถุดิบที่ใส่ไปน้อยลง แล้วที่ใส่ลงไปก็มีปัญหาด้านคุณภาพอีก แล้วเราจะทำอย่างไรให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นได้ ก็ต้องลดบทบาทของรัฐ และทำให้การใช้ทรัพยากรมีคุณค่ามีประโยชน์มากขึ้น
ประเด็นที่สองที่เป็นความท้าทายของเศรษฐกิจไทย คือ เรื่องเทคโนโลยี เรากำลังเข้าสู่บรรยากาศที่เศรษฐกิจทั่วโลกพร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งรูปแบบธุรกิจและรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่คำถามคือเรามีทรัพยากร เรามีความพร้อมในแง่ของสถาบัน ในแง่ของคุณภาพของคน เพียงพอหรือไม่ ก็ต้องทิ้งเอาไว้เป็นประเด็นที่บอกว่าเป็นความท้าทายที่หนักอยู่ในประเทศไทย
Cr:Thaipublica
เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2561 กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร จัดกิจกรรม “ล่องเจ้าพระยา ใคร่ครวญอนาคตประเทศไทย” มีคณะผู้บริหารร่วมพูดคุยกับสื่อมวลชน โดย ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้างานวิจัยลูกค้าบุคคล บริษัทหลักทรัพย์ภัทร จำกัด (มหาชน) บรรยายในหัวข้อ “โหมโรง 2019 เศรษฐกิจเราจะไปทางไหน” ว่า
ดร.พิพัฒน์เกริ่มนำก่อนว่า “เมื่อสักครู่ฟัง “คุณบรรยง พงษ์พานิช”พูดแล้วนึกถึงคำที่ ดร.อนุชิต [อนุชิตานุกูล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ประธานสายพัฒนาระบบงาน ช่องทางขายและผลิตภัณฑ์ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน)] เล่าให้ฟังว่า ปัญหาเมืองไทยคือ แก่ เจ็บ จบ คนน้อย ด้อยศึกษา ปัญหาเหลื่อมล้ำสูง คุณบรรยงก็ไล่มาเกือบหมดแล้วเราก็ได้เห็นประเด็นปัญหาอนาคตประเทศที่ค่อนข้างน่าใคร่ครวญอยู่พอสมควร วันนี้ผมก็ขออนุญาตมองภาพใกล้ขึ้นมาสัก 3 ประเด็น ประเด็นแรก คือ ประเด็นอะไรบ้างที่น่าจะเกี่ยวข้อง น่าสนใจ น่าติดตามกับเศรษฐกิจในช่วงปีนี้ปีหน้า ประเด็นที่ 2 คือ แนวโน้มเศรษฐกิจไทยช่วงถัดไปจะเป็นอย่างไร และประเด็นสุดท้าย คือ เรื่องแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะยาวขึ้นบ้างเล็กน้อย”
จับตา “เศรษฐกิจโลกชะลอ-ดอกเบี้ยขึ้นสวนทาง-สงครามการค้า”
ประเด็นแรก คือ เรื่องที่น่าจะมีผลต่อเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป คิดว่าน่าจะมีอยู่ 3 เรื่องใหญ่ข้างนอก เรื่องแรก เราเห็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจโลกอาจจะผ่านจุดที่ดีที่สุดไปแล้ว ต้นปีที่แล้วเราพูดถึงการกลับมาเติบโตอย่างพร้อมเพรียงของเศรษฐกิจต่างๆ ในโลก หรือ syncronized recovery หรือ syncronized growth เราเห็นหลายประเทศฟื้นตัวกลับมาพร้อมกัน กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่กลับมาดีพร้อมๆ กัน ผ่านไปไม่นานสักครึ่งปี ตอนนี้เรากลับมาใช้คำว่า syncronized slowdown อีกแล้ว ฉีกตัวออกไปอีกด้านเลยว่าเราเริ่มเห็นเศรษฐกิจเกือบทุกประเทศหมุนช้าลง เติบโตช้าลง
แล้วปัญหาสำคัญเมื่อเศรษฐกิจหมุนช้าลงคือการค้าโลกและการส่งผ่านข้อดีของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมันทำให้อานิสงส์ของการที่ทุกคนดีพร้อมๆ กันมันเริ่มจะชะลอตัว เราเริ่มเห็นการส่งออกของหลายประเทศแถวเอเชียชะลอพร้อมกันหมด ไต้หวัน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น เราดูตัวเลขดัชนีผู้จัดการซื้อ หรือ Puchaser Manager Index (PMI) ซึ่งคนส่วนใหญ่ใช้วัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจก็เริ่มชะลอพร้อมๆ กัน จากที่เดิมดัชนีเคยเกิน 50 หมดคือทุกประเทศโตพร้อมกัน ตอนนี้ทุกประเทศลงมาใกล้ๆ ปริ่มๆ เติบโตช้า
“อาจจะเหลือสหรัฐอเมริกาที่เดียวที่วันนี้เศรษฐกิจยังเติบโตพีคอยู่ แต่ว่าตอนนี้คนเริ่มพูดกันว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจจะมีแนวโน้มค่อยๆ ชะลอเหมือนกัน วันนี้อาจจะยังเห็นอัตราว่างงานของสหรัฐอเมริกาอยู่ 3.7-3.8% ซึ่งต่ำที่สุดตั้งแต่ปี 1949 ต่ำที่สุดในรอบหลายทศวรรษ แต่ก็เห็นสัญญาณว่ามันเริ่มอ่อนตัวลง ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจที่ขยายตัวเป็นระยะเวลานานจนอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้องปรับตัวสูงขึ้น อาจจะเห็นผลกระทบตลาดบ้าน ราคาบ้านชะลอลง ดังนั้น เศรษฐกิจมันเริ่มมีสัญญาณชะลอตัว”
อันนี้คือเรื่องแรก ภาพที่เห็นข้างนอกอาจจะไม่ได้สวยหรูแบบเมื่อปลายปีที่แล้วหรือต้นปี 2561 พอเราเริ่มเข้าสู่ปี 2562 เราจะเข้าไปด้วยบรรยากาศของการชะลอตัวลง หลายคนตั้งคำถามไปถึงว่าจะมีการถดถอยทางเศรษฐกิจอีกหรือไม่ หลายคนเริ่มมองว่าในปี 2563 อาจจะมีโอกาสเกิดอีก เป็นสิ่งที่นักวิเคราะห์และนักเศรษฐศาสตร์หลายคนเริ่มมองข้ามไปแล้ว มองข้ามปี 2563 ไปแล้ว เพราะในการคาดการณ์ส่วนใหญ่มองว่าปีหน้าอาจจะชะลอตัวแต่ยังไม่ถึงกับถดถอย แต่จะมีหรือไม่ก็ต้องรอดูต่อไป
ประเด็นที่สอง คือ เราเริ่มเห็นอัตราดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น ซึ่งมันแปลกดีเหมือนกันว่าทำไม่เรามาเจอดอกเบี้ยขาขึ้นในบรรยากาศที่เศรษฐกิจส่วนใหญ่เริ่มชะลอตัวลง อาจจะเป็นเพราะเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกายังดีอยู่มาก อัตราการว่างงานยังต่ำ เงินเฟ้อเริ่มไต่ขึ้นมา เขาต้องอาศัยโอกาสที่จะเริ่มปรับดอกเบี้ยนโยบายกลับไปภาวะปกติ แต่ปัญหาคือว่าคำว่า “ปกติ” ของเขามันหมายถึงการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกค่อนข้างมากในอีก 12 เดือนข้างหน้า เรากำลังพูดถึงการขึ้นดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% ระหว่าง 3-5 ครั้ง คือจะขึ้นอีก 0.75-1.25% ในอีก 12 เดือนข้างหน้า ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเขาอยู่ที่ 2% กว่าๆ แปลว่าอีก 12 เดือนข้างหน้าถ้าเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์และระบบธนาคารสหรัฐฯ หรือเฟด คาดการณ์ เราจะเห็นดอกเบี้ยระยะสั้นในสกุลดอลลาร์สหรัฐขึ้นไปอยู่ที่ 3% มากกว่า 2% ตอนนี้
แล้วมันเป็นปัญหาอะไร อย่างแรก มันจะยิ่งทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกที่พึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐเริ่มตึงขึ้นในแง่ของสภาพคล่อง และใครที่กู้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐมากๆ ต้นทุนการกู้ยืมจะแพงขึ้น เราจะเริ่มเห็นอาการออกว่าความผันผวนของการไหลเข้าออกของเงินทุนเริ่มเป็นประเด็นในหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศเกิดใหม่ที่มีปัจจัยพื้นฐานไม่ค่อยดีเท่าไหร่ กลายเป็นความเสี่ยงที่ประเทศหลายประเทศเริ่มกังวล ถ้าเราลองเริ่มนึกภาพดูว่าอัตราดอกเบี้ยของเฟดขึ้นไป 3% กว่า ความน่าสนใจของเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐก็จะมากขึ้น สมัยก่อนที่ทำคิวอีกันมากๆ สภาพคล่องหลายส่วนมันไหลมาที่ประเทศเกิดใหม่ทั้งหลาย วันนี้คำถามคือมันจะไหลกลับหรือไม่ เป็นความเสี่ยงที่อาจจะก่อให้เกิดความผันผวนของค่าเงินทั้งในแง่ของค่าเงิน สภาพคล่อง ปริมาณเงินที่ไหลอยู่ในระบบ และต้นทุนทางการเงิน
แต่ว่าอาจจะมีหลายประเทศ เช่น ยุโรปและญี่ปุ่น ที่ยังคงทำคิวอีอยู่ในปัจจุบัน อาจจะเหลือ 2 ประเทศที่ทำอยู่ 2 ประเทศนี้ก็ทำมานานมากแล้ว สหรัฐอเมริกาจะเลิกทำแล้ว เปลี่ยนจากคิวอี หรือ quantitative easing เป็น quantitative tightening แล้ว คือเริ่มลดงบดุลของเฟด แต่ยุโรปยังคงทำและอาจจะต้องทำต่อไปอีกสักพัก ซึ่งก็มีปัญหาอีกว่าเขาก็ไม่สามารถทำไปได้ตลอดเวลา เขาเริ่มประกาศแล้วว่าปลายปีนี้คงต้องเลิก อันนี้คนก็มองข้ามไปว่าดอกเบี้ยจะขึ้นด้วยหรือไม่
ประเด็นที่สาม คือ เรื่องสงครามการค้าที่จะมีความไม่แน่นอนค่อนข้างมาก หลายคนถามว่าตกลงสหรัฐอเมริกาคุยกับจีนรู้เรื่องหรือไม่ วันเสาร์อาทิตย์ที่จะถึงนี้ควรจะติดตามการประชุมที่เรียกว่าคนติดตามมากที่สุดในโลกครั้งหนึ่ง คือการประชุมสุดยอดผู้นำโลก 20 ประเทศ หรือประชุม G20 ที่อาร์เจนตินา ที่ผมว่าปกติคนไม่ค่อยดูเท่าไหร่ แต่ครั้งนี้จะมีคนมาขโมยซีนคือนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศเจอกับสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ที่เป็นมวยรุ่นใหญ่ คนก็คงเลิกดูการประชุมทั่วไป คงมาจับตาดูนัดนี้แทน
ปัญหามันคือว่ามันมีความไม่แน่นอนค่อนข้างมากว่าทรัมป์จะทำอะไร? ถ้าเราฟังสิ่งที่พูดที่ทำที่อยากจะทำ แล้วถ้าฟังดูเจ้าหน้าที่ของเขาแต่ละคน ภาพมันไม่ค่อยชัดเจนเลย ถ้ายังจำได้ Steven Mnuchin รัฐมนตรีกระทรวงการคลังไปตกลงกับจีนแล้วรอบหนึ่ง แต่พอกลับมาสหรัฐอเมริกา ทรัมป์ยกเลิกหมดเลยบอกว่าที่ตกลงไปล้อเล่น ทำเอาจีนโกรธมาก วันนี้ก็ยังนั่งคุยกันอยู่
แล้วการที่สหรัฐอเมริกาขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน จริงๆแล้วมันเป็นยุทธศาสตร์หรือคุยกันใน 3 เรื่องใหญ่ อันแรกมันคือเกี่ยวกับเศรษฐกิจ เพราะการขึ้นภาษีทำให้ของที่ผลิตในอีกประเทศหนึ่งและนำเข้ากลับมาในประเทศแพงขึ้น ทำให้ความน่าสนใจของการผลิตในประเทศนั้นคือจีนน้อยลง โดยจุดมุ่งหมายเขาคือว่าใครก็ตามที่ผลิตอะไรก็ตามอยู่ในจีนต้องย้ายฐานการผลิตกลับมาสหรัฐอเมริกา เพื่อ Make America Great Again อันนี้เป็นประเด็นเรื่องของเศรษฐกิจ ถ้าเราดูสหรัฐอเมริกาขาดดุลการค้ากับจีนปีละ 370,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สหรัฐอเมริกานำเข้าจากจีนปีละ 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จีนนำเข้าเพียงแค่ 100,000 กว่าล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้นเอง ดังนั้น สหรัฐอเมริกามองว่าการขาดดุลการค้ามากๆ เป็นประเด็นว่าเขาเสียหายทางเศรษฐกิจ
แต่ปัญหาคือว่า การแก้ปัญหาขาดดุลการค้าและความเสียหายทางเศรษฐกิจด้วยการขึ้นภาษีมันก็เป็นการยิงตัวเองด้วยเหมือนกัน ลองนึกดูว่าไอโฟนตอนนี้ออกแบบในแคลิฟอร์เนียก็จริง แต่มันไปประกอบในจีนหมดเลย ถ้าไอโฟนโดนภาษี ใครจะซวยก็คือคนที่ซื้อ ดังนั้นกลายเป็นว่าต้นทุนในการซื้อของของผู้บริโภคหรือแม้แต่การผลิตอื่นๆ ที่อยู่ในสหรัฐอเมริกาจะเสียความสามารถในการแข่งขันไปโดยปริยาย ในแง่ของเศรษฐกิจมันก็ไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่ที่ใครจะทำสงครามการค้ากัน
อันที่ 2 มันมีแง่มุมอื่นอย่างปัญหาการเมืองที่ทรัมป์ชนะเลือกตั้งมา ส่วนหนึ่งเพราะว่าเขาชูปัญหาตรงนี้ แล้วยิ่งด่าจีนเท่าไหร่ความนิยมมันก็ขึ้นเท่านั้น แต่คนลืมไปว่ามันมีต้นทุนเกิดขึ้น คือความจริงที่ว่าเขาต้องจ่ายเงินมากขึ้น ความจริงว่าความสามารถในการแข่งขันจะน้อยลง หลายที่เริ่มบอกว่าถ้าจะทะเลาะกันนานๆ เขาจะเริ่มย้ายฐานการผลิตออกจากสหรัฐอเมริกาด้วย เพราะถ้าเขาจะเอาไปขายที่อื่น ตลาดจีนก็ไม่ได้เล็ก
นี่เป็นเรื่องกลยุทธ์ระยะยาว เพราะแน่ๆ เลยที่สหรัฐอเมริกาคงทนไม่ได้ที่จะเห็นจีนขึ้นมาเป็นมหาอำนาจอันดับ 2 และก้าวข้ามสหรัฐอเมริกาในอีก 10 ปีข้างหน้าด้วยประชาชนพันล้านคน เทียบกับสหรัฐอเมริกาที่ 300-400 ล้านคน ดังนั้น ถ้าจีนเติบโตแบบนี้ไปเรื่อยๆ รับรองแซงแน่ๆ วันนี้สิ่งที่สหรัฐอเมริการู้สึกว่าจีนเอาเปรียบมากที่สุดคือเรื่องของเทคโนโลยี เพราะลองนึกภาพว่าไอโฟนใช้กัน 20,000 บาท 40,000 บาท จีนมาแป๊บเดียว เสี่ยวมี่ หัวเว่ย เครื่องละ 4,000 บาท ทำได้เหมือนกันเกือบทุกอย่างเลย เพราะว่าต้นทุนการลอกและพัฒนาถูกกว่าวิจัยและพัฒนามหาศาล สหรัฐอเมริกาก็มองว่าไม่ยุติธรรมและต้องการให้การค้ายุติธรรมมากขึ้น จีนก็ออกนโยบาย Made in China 2025 ที่ต้องการเป็นเจ้าของเทคโนโลยีเอง แต่มันก็ไม่ง่ายนัก
ประเด็นที่เป็นปัญหาทุกวันนี้และอาจจะเกิดขึ้นไปข้างหน้าด้วยคือความตึงเครียดที่จะเปลี่ยนจากสงครามการค้าเป็นสงครามเย็น คือไม่ได้รบกันซะทีเดียวแต่มีความตึงเครียดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และเป็นปัญหาอันสุดท้ายที่ทำให้โครงสร้างห่วงโซ่การผลิตของทั้งโลกอาจจะถูกปั่นป่วนไปได้ วันนี้ทุกคนตั้งโรงงานในจีนแล้วส่งออกไปสหรัฐอเมริกา วันนี้ต้องคิดหนักแล้วว่าจะทำอย่างไรกับโรงงานดี จะส่งกลับมาก็ไม่ได้ถ้าโดนภาษี แต่จะย้ายโรงงานก็ไม่รู้ ถ้าเกิดวันเสาร์นี้คุยกันรู้เรื่อง ยกเลิกหมด แล้วจะย้ายไปทำไม
วันนี้คำว่าความไม่แน่นอนทำให้การตัดสินใจต่างๆ มันคิดลำบาก มันก็กระทบกันหมดเป็นลูกโซ่ และหลายคนคิดว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ค่อนข้างสำคัญกับเศรษฐกิจโลก แล้วยิ่งทะเลาะกันหนักขึ้น มูลค่าการค้าหายไป ยิ่งทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกวางแผนได้ยากขึ้น การเติบโตต่างๆ คนก็คาดการณ์ได้ยากลำบากมากขึ้น เหล่านี้เป็น 3 ประเด็นข้างนอกประเทศที่ต้องจับตาดู นอกเหนือไปจากประเด็นเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ที่เราต้องติดตามกันตลอด ไม่ว่าจะเรื่องเกาหลีเหนือจะเลิกทำนิวเคลียร์หรือไม่ ปีหน้ากลับมาอีกหรือไม่ หรือทางซาอุดีอาระเบียจะทำอะไรกับเรื่องราคาน้ำมันอีกหรือไม่ อาจจะมีเรื่องการเมืองอย่างการออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษ ก็อาจจะมีผลกระทบได้ค่อนข้างมาก
เศรษฐกิจไทย 2562 ชะลอกลับสู่ศักยภาพ 3%
กลับมาดูเมืองไทยว่าจะเป็นอย่างไร เรามองว่าหลังจากครึ่งปีแรกที่เติบโตได้ 4.8% แล้วในไตรมาสแรกที่โตไป 4.9% เป็นการเติบโตที่เร็วที่สุดในรอบหลายปีหลังจากติดหล่มทางเศรษฐกิจมา ไตรมาส 3 ของปี 2561 เหลือ 3.3% ทำให้ 9 เดือนแรกเติบโตได้ 4.3% ทั้งปีที่เหลือก็มองว่าจะเติบโตได้ 4% ต้นๆ แต่เราเชื่อว่าโมเมนตัมกำลังจะบอกเราว่าเศรษฐกิจปีหน้าน่าจะเติบโตช้าลง แต่อาจจะยังไม่ใช่การถดถอยทางเศรษฐกิจขนาดนั้น
ทำไมเราคิดว่ามันจะเติบโตช้าลง เพราะว่าเครื่องยนต์ในการเติบโต หรืออะไรที่เป็นตัวผลักดันเศรษฐกิจในปีนี้มันเริ่มหายไป ต้นปีเรามีคำใหญ่ที่ใช้คือแข็งนอกอ่อนใน คือการเติบโตมาจากภายนอกหมดเลย ทั้งการส่งออกและการท่องเที่ยว ขณะที่ภายในยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ตอนต้นปีก็มีคำว่าแข็งบนอ่อนล่าง คือเราเริ่มเห็นการฟื้นตัว แต่ฟื้นตัวของคนกลุ่มบนเป็นการบริโภคสินค้าคงทนอย่างรถยนต์ ส่วนการบริโภคสินค้าไม่คงทน อาหารเครื่องดื่มทั่วไปไม่ค่อยเติบโต ติดลบอีกต่างหาก บ่งบองปัญหาความเหลื่อมล้ำที่อาจจะมีอยู่ เรายังเห็นประเด็นพวกราคาสินค้าเกษตร การบริโภคของต่างจังหวัด ที่บอกว่าเคยดีกว่านี้ มันดีขึ้นแต่ไม่ได้ดีขนาดนั้น
พอมาดูไตรมาส 3 เราก็เห็นว่า ที่พูดมาทั้งหมด เครื่องยนต์การเติบโตอย่างการส่งออกและท่องเที่ยวแค่ชะลอและติดลบไปแค่เดือนกันยายนเดือนเดียว เราเห็นจีดีพีชะลอลงมาเร็วมาก ปัญหาคือว่า contribution to growth หรือสิ่งที่การส่งออกและท่องเที่ยวดันจีดีพีให้เติบโตมันเป็นสัดส่วนค่อนข้างใหญ่ ลองนึกภาพของการท่องเที่ยววันนี้คิดเป็นสัดส่วน 15% ของจีดีพีทั้งหมด ที่ผ่านมาเติบโต 10% ถ้าคูณเอาง่ายๆ คือว่าถ้าการท่องเที่ยวไม่เติบโตเลย จีดีพีจะหายไปประมาณ 1% กว่าๆ นั่นคือสิ่งเราเห็นชัดเจนในไตรมาสที่ 3 เลย คือการท่องเที่ยวหยุดเติบโตแล้วจีดีพีจากที่เคยเติบโต 4% กว่ามาเหลือ 3% กว่า
การส่งออกเหมือนกัน คิดเป็นประมาณ 70% ของจีดีพี ถ้าหักการนำเข้าไปสักครึ่งหนึ่งแสดงกว่ามีความสำคัญ 20-30% ของจีดีพี แล้วเติบโตปีที่แล้วประมาณ 8-9% แต่ปีหน้าด้วยเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง ความไม่แน่นอนของสงครามการค้า เราเชื่อว่าคงไม่ได้เห็น 8-10% อย่างที่เคยเห็น อาจจะลดลงมา 5-6% แต่สังเกตว่าเครื่องยนต์ต่างๆ มันเติบโตช้าลง ดังนั้น ความสำคัญของการท่องเที่ยวและการส่งออกมีความสำคัญค่อนข้างมาก
คำถามที่จะเป็นภาระของเศรษฐกิจไทยในปีหน้าคือว่าใครจะมาเป็นเครื่องยนต์ใหม่ที่จะมาดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโตมากขึ้นอย่างที่เห็นในปีนี้ คำตอบตอนนี้ก็ยังหาไม่ค่อยเจอ อย่างการบริโภคภายในประเทศ ตอนนี้เติบโตจาก 3% กว่าเป็น 5% ในไตรมาสล่าสุด แต่ถ้าดูไส้ใน 1% กว่าของการบริโภคมาจากการขายรถยนต์อย่างเดียว ไตรมาสที่สามเติบโตไป 18% เทียบกับปีก่อนหน้า ไม่รู้ว่าใครซื้อไปเหมือนกันนะ แต่ว่าเติบโตไปขนาดนั้น เราก็เห็นเป็นวัฏจักรที่ค่อนข้างยาวนาน เพราะมันติดลบมาตลอดหลายปี เพิ่งจะมาฟื้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แล้วฟื้นค่อนข้างเร็ว แต่อาจจะมีประเด็นว่ายอดขายลงบัญชีไปแล้วมันถึงมือคนซื้อหรือไม่ ก็ต้องติดตามดูต่อไป ปัญหาคือเราก็ไม่เชื่อว่ายอดขายรถยนต์มันจะเติบโตได้แบบนี้ไปเรื่อยๆ ดังนั้น เครื่องยนต์นี้ก็อาจจะอ่อนตัวลงไปอีกเหมือนกัน
มันก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เรามองว่าจีดีพี 4% ในปีนี้จะลดลงเหลือ 3% ปลายๆ ในปีหน้า ซึ่งเข้าใกล้กับสิ่งที่หลายคนเชื่อว่าเป็นศักยภาพของไทยที่ไม่น่าจะใช่ 4% อีกแล้ว เราก็เชื่อว่าน่าจะเป็นการอ่อนตัวลงไปแบบนั้น ภาพรวมอาจจะไม่ได้แย่มาก แต่คงแย่กว่าปีนี้ หลายคนก็บอกว่าปีนี้ดีแล้วหรือ เศรษฐกิจยังไม่ดีเลยปีนี้
ติดตามความเสี่ยง-โอกาสในปีหน้า
ถามว่าปัจจัยเสี่ยงคืออะไร ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตาดูมากเลยคือเรื่องราคาสินค้าเกษตรที่แย่ต่อเนื่อง แม้ว่าเราเห็นรายได้เกษตรกรเป็นบวก แต่เป็นเพราะปริมาณการผลิตมันเพิ่ม แต่ราคามันลดลงต่อเนื่องหลายเดือนติดต่อกัน เราก็เห็นคนออกมาบ่นมากขึ้น ราคายางพารา ราคามันสำปะหลัง ราคาอ้อย ทำให้การบริโภคต่างจังหวัดอาจจะไม่ได้หวือหวามาก และอาจจะทำให้ฐานการบริโภคของไทยไม่ได้รู้สึกดีขึ้น เพราะว่าการกระจุกตัวของการฟื้นตัวมันอยู่แค่บางกลุ่ม
ประเด็นที่สอง ที่เป็นความเสี่ยงของไทยคือเศรษฐกิจภายนอก ถ้าเศรษฐกิจโลกชะลอมากกว่าที่คิด ถ้าเกิดส่งออกแย่กว่าที่คาด ถ้านักท่องเที่ยวไม่มา แล้วสิ่งที่ต้องติดตามมากๆ คือจีน ถ้าเศรษฐกิจจีนชะลอตัวลไป ท่องเที่ยวที่เราเห็นอาจจะแย่ไปมากกว่านี้หรือไม่ หรือมีปัญหาอะไรต้องลดค่าเงินหยวน ค่าเงินบาทจะเป็นอย่างไร หรือถ้าเขามีปัญหามากๆ จนเริ่มแตะเบรกไม่ให้คนออกมาท่องเที่ยว เพราะวันนี้เงินที่ไหลออกของจีนก้อนใหญ่สุดอันหนึ่งคือเอามาท่องเที่ยว ถ้าเกิดเขาเริ่มหยุดตรงนั้นก็อาจจะมากระทบเราเหมือนกัน
ประเด็นที่สาม คือ การเมืองของไทย ว่าจะเปลี่ยนผ่านได้สงบเรียบร้อยหรือไม่ ความมั่นใจเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องการลงทุนของเอกชนจะปรับตัวดีขึ้นได้หรือไม่
ส่วนปัจจัยด้านบวกของไทยคืออะไร เราอาจจะพูดถึงการลงทุนว่ามาแน่ๆ การเลือกตั้งจะมาแล้ว อีอีซี จะเดินหน้าแล้ว แต่ต้องระวังว่าการลงทุนอย่างอีอีซีอาจจะยังไม่เห็นเม็ดเงินจนกระทั้ง 1-2 ปีข้างหน้า กว่าจะเริ่มประมูลได้ เริ่มทำอะไรได้ การลงทุนตอกเข็มจริงๆ เงินที่ลงทุนกว่าจะเข้าเศรษฐกิจอาจจะอีกนาน วันนี้ก็มีคนถามว่าเวลามีสงครามการค้ามันก็มีทั้งข้อดีข้อเสีย ข้อเสียคือเราอาจจะไปอยู่ในห่วงโซ่การผลิตที่ถูกปั่นป่วน แต่มันก็มีสิ่งที่เรียกว่า trade diversion คือการที่เขาไม่ค้าขายกันก็หันมาค้าขายกับเราแทนก็ได้ และมันก็มีผลกระทบทางลบที่ไทยอาจจะถูกทุ่มตลาดด้วยราคาลงมา เพราะเขาขายกันไม่ได้ก็เอาสินค้ามาระบายที่ไทย
อีกอันที่คนตั้งหน้าตั้งตารอคือการจัดสรรทรัพยากรหรือการตั้งโรงงานใหม่ คือถามว่าถ้าสหรัฐอเมริกาไม่นำเข้าสินค้าจีน นักลงทุนไต้หวัน สหรัฐอเมริกา หรือจีนเองที่มีโรงงานในจีนแล้วส่งไปขาย มีสิทธิหรือไม่จะย้ายมาที่อาเซียนมาไทยที่ต้นทุนการผลิตถูกกว่าและอาจจะไม่โดนภาษีจากสหรัฐอเมริกา เราก็รอดูตัวเลขอยู่ แต่พอความไม่แน่นอนมันสูง คนก็ไม่กล้าตัดสินใจ คนที่ย้ายอาจจะเป็นกลุ่มที่มีโรงงานอยู่แล้วทั้ง 2 ที่แล้วย้ายการผลิตหรือเพิ่มประเภทการผลิตเข้ามา แต่เราก็ยังไม่เห็นตัวเลขชัดเจน ซึ่งมันอาจจะเป็นโอกาสได้ถ้าเรามีความน่าสนใจจริงๆ แต่คนก็เริ่มบอกอีกว่าเวียดนามจะน่าสนใจมากกว่าหรือไม่ หรือไทยจะสามารถจะไปผลิตทดแทนจีนได้หรือไม่
คาด กนง. ฉวยโอกาสเศรษฐกิจยังดีขึ้นดอกเบี้ย
ดร.พิพัฒน์กล่าวต่อไปถึงเรื่องอัตราดอกเบี้ยของไทยว่าเป็นเรื่องน่าสนใจว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะทำอย่างไร เพราะสหรัฐอเมริกาคาดว่าจะขึ้นอีก 3-5 ครั้ง แต่เมืองไทยเราเชื่อว่าด้วยการเติบโตที่อาจจะไม่ได้ดีมาก อ่อนตัวลงมา เงินเฟ้อที่แทบจะไม่ได้มี ตอนนี้อยู่ที่ 1% เท่านั้น เราก็เชื่อว่าโอกาสที่ กนง. จะขึ้นดอกเบี้ยอาจจะมีไม่มาก ถ้าอ่านรายงานการประชุมจะเห็นว่าความเสี่ยงมีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ผลออกมาคงดอกเบี้ย 4 ต่อ 3 ก็อาจจะงงๆ ว่าจะขึ้นหรือไม่
แต่เรื่องหนึ่งคือ กนง. กังวลเรื่องของเสถียรภาพการเงินค่อนข้างมาก แสดงความกังวลมาตลอด เราจึงเชื่อว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่การเติบโตของเศรษฐกิจยังพอไปได้ คือดีกว่าสิ่งที่ กนง. เชื่อว่าเป็นศักยภาพของไทย คืออยู่แถวๆ 3.5-4% ไม่ได้แย่มาก กนง. ก็น่าจะอยากขึ้นดอกเบี้ย เราเชื่อว่ามีโอกาสค่อนข้างมากที่การประชุมครั้งสุดท้ายของปีในเดือนธันวาคมจะขึ้นดอกเบี้ยและในปีหน้าอาจจะมีโอกาสขึ้นอีกครั้ง ไม่เช่นนั้นจะมีส่วนต่างดอกเบี้ยค่อนข้างมาก และมีผลต่อเงินทุนเคลื่อนย้ายได้มาก
วัตถุดิบ” ใหม่
ดร.พิพัฒน์กล่าวถึงประเด็นสุดท้ายเรื่องประเทศไทยจะไปทางไหนว่ามีอยู่ 2 เรื่องใหญ่ๆ เรื่องแรก คือ ภาวะประชากรที่จะลดลงในอนาคต ดังนั้นการเติบโตของทั้งประเทศก็เติบโตไม่ได้ ถ้าเรามองประเทศเป็นเครื่องจักรเครื่องหนึ่งที่ใส่วัตถุดิบเข้าไปคือแรงงานกับทุน เครื่องจักรนี้จะมีวัตถุดิบน้อยลงไปเรื่อยๆ เพราะจากวันนี้ประชากรวัยทำงานเราจะลดลง ไม่ใช่เติบโตช้าด้วย ดังนั้น ถ้าเราทำงานไปแบบเดิม ประสิทธิภาพของเครื่องยนต์แบบเดิม การเติบโตก็จะแย่ลงไปเรื่อยๆ เหมือนที่เราเห็นว่าเราเคยเติบโตจาก 7% มาเหลือ 5% มาเหลือ 3% ส่วนหนึ่งเพราะวัตถุดิบที่ใส่ไปน้อยลง แล้วที่ใส่ลงไปก็มีปัญหาด้านคุณภาพอีก แล้วเราจะทำอย่างไรให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นได้ ก็ต้องลดบทบาทของรัฐ และทำให้การใช้ทรัพยากรมีคุณค่ามีประโยชน์มากขึ้น
ประเด็นที่สองที่เป็นความท้าทายของเศรษฐกิจไทย คือ เรื่องเทคโนโลยี เรากำลังเข้าสู่บรรยากาศที่เศรษฐกิจทั่วโลกพร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งรูปแบบธุรกิจและรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่คำถามคือเรามีทรัพยากร เรามีความพร้อมในแง่ของสถาบัน ในแง่ของคุณภาพของคน เพียงพอหรือไม่ ก็ต้องทิ้งเอาไว้เป็นประเด็นที่บอกว่าเป็นความท้าทายที่หนักอยู่ในประเทศไทย