MoneyTalk@SET20ตค61เรียนต่อป.โท&กลยุทธ์รุ่นเก๋า
โพสต์แล้ว: เสาร์ ต.ค. 20, 2018 10:25 pm
Moneytalk@SET 20/10/2561
ช่วงที่1 “ยุค AI เรียนต่อ ป.โทอะไรดี?”
1. คุณ วิวรรธน์ เหมมณฑารพ / CEO บมจ. ปัญจวัฒนาพลาสติก
2. รศ.ดร.ธัชวรรณ กนิษฐ์พงศ์ / รองคณบดี NIDA BUSINESS SCHOOL
3. คุณ ณัฐ ตราฐิติพันธุ์ / ที่ปรึกษาด้านการจัดการความเสี่ยง
4. คุณ อภิวัฒน์ เจริญรุ่งทรัพย์ / Project Manager, aCommerce
5. คุณ เจนจิรา ศรีดี / ที่ปรึกษาอิสระ Digital Marketing
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ดำเนินรายการ
เกริ่นนำ
อ.ไพบูลย์ ปัจจุบันการเรียนมหาวิทยาลัยลดลงอย่างมาก
มหาวิทยาลัยเอกชนไทยหลายแห่งก็ผลประกอบการตกต่ำลง
รวมถึงคนจะเรียนปริญญาโทสมัยนี้ก็เริ่มมีความคิดว่าจะเรียนไปทำไม
ในเมื่อ สตีฟจ๊อบ,มาร์คซัคเคอร์เบิร์ก ก็ไม่เรียนหนังสือจบ
ที่จริงคนที่ไม่เรียนแล้วประสบความสำเร็จมีน้อย
แต่คนที่เรียนหนังสือจบแล้วประสบความสำเร็จมีมาก
สิ่งสำคัญตอนนี้ต้องเลือกเรียนให้เหมาะสม จะเรียนมั่วๆไม่ได้
ยุค AI ต่างจากอดีตอย่างไร? การเรียนในยุคนี้มีความจำเป็นแค่ไหน?
อ.ธัชวรรณ
อ้างอิงจากที่ฟัง อ.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธาน TDRI
แบ่ง AI(ปัญญาประดิษฐ์) เป็น 3 เรื่อง
1.หุ่นยนต์อัตโนมัติ
2.AI ที่ใช้คิดวิเคราะห์ในโลกปัจจุบัน
3.AI ที่มีชีวิตจิตใจแบบในภาพยนตร์
เรื่องที่ 1 AI หุ่นยนต์อัตโนมัติ
มีการนำเข้ามาใช้ในอุตสาหกรรมสักระยะแล้ว
ใช้ทดแทนการทำงานของมือคน
เนื่องจากเริ่มขาดแคลนแรงงาน หุ่นยนต์อัตโนมัติจึงมาทดแทน ในการทำงานซ้ำๆ
ประเทศไทยมีอัตราว่างงาน 1.3% ถือว่าต่ำมาก เราขาดแคลนแรงงาน
สังเกตว่าเรามีการใช้แรงงานต่างด้าวค่อนข้างมาก
พอเข้ามายุคปัจจุบันเริ่มได้ยินยุครถยนต์ขับเคลื่อนโดยไร้คนขับ
หลายอาชีพจะหายไป เช่น คนขับ taxi, คนขับรถ bus
บริษัทใหญ่ เช่น uber ประกาศว่ากำลังพัฒนารถยนต์ไร้คนขับ รวมถึงรถบรรทุกไร้คนขับด้วย
อีกอาชีพที่จะหายไป คือ เด็กเสริฟ ก็จะมีหุ่นยนต์มาเสริฟแทน เช่น MK มีการทำโรบอทมาใช้แทน
มีที่จามจุรีสแควร์ จากบริษัท CT Asia Robotics เป็นบริษัทไทยเจ้าเดียวที่ผลิตหุ่นยนต์ส่งไปญี่ปุ่น
คุณอภิวัฒน์ เสริม AI นอกจากที่มีใช้ในอุตสาหกรรม
ตอนนี้เริ่มนำมาใช้ในวงการแพทย์เพื่อวิเคราะห์โรคต่างๆได้ละเอียดและแม่นยำมากขึ้น
และมีการนำหุ่นยนต์มาช่วยบำบัดฟื้นฟูหลอดเลือดสมอง,อัลไซเมอร์
ซึ่งจะมีงานวิจัยต่างๆ ที่จะฟื้นฟูอาการเหล่านี้ได้
หุ่นยนต์ที่ใช้งานที่ MK ใช้บริการช่วยเสริฟและบริการลูกค้า สามารถป้อนคำสั่งได้
จะมีใช้กล้อง VR จับร่างกายคนและเล่นเกมกับลูกค้า เป็นอีกก้าวที่มีบริษัทไทยที่ทำด้านนี้
อ.ธัชวรรณ ต่อ
เรื่องที่ 2 AI ที่ใช้ในโลกปัจจุบันจะมาทดแทนหลายอาชีพที่ใช้สมอง
คิดวิเคราะห์แทนมนุษย์ได้ อาชีพจะตกงาน เช่น
แพทย์
สามารถใช้ AI วินิจฉัยโรค หรือโอกาสเกิดโรคได้
ทนายความ
มีตัวอย่าง AI ที่พัฒนาโดย Joshua Browder
เขาโดนใบสั่งเยอะมากใน 1 เดือน
ถ้าต้องจ่ายค่าใบสั่ง หรือค่าทนายคงเสียเงินเยอะมาก
จึงสร้าง AI ที่ให้คนทั่วไปใช้ได้ และคนได้ใบสั่งวิเคราะห์ได้ว่าคุณผิดจริง หรือไม่ผิด
กรณีที่ไม่ได้ทำผิด AI จะร่างหนังสือส่งไปที่ศาลให้ โดยไม่ต้องพึ่งทนาย
ได้ทดลองไป 2 แสนกว่าเคส พบว่าชนะคดี ราว 1.6 แสนราย จึงประหยัดค่าทนายไปเยอะมาก
อาจารย์
ก็เป็นอาชีพที่อาจตกงานได้
เช่น แมคกรอฮิว มีผลิตสื่อการเรียนการสอน และอาจนำมาเป็นอาจารย์สอนแทนในเวบของเขาเอง
หรือที่ญี่ปุ่น,เกาหลี มีโรบอทใช้สอนพูดภาษาอังกฤษ ทดแทนอาจารย์
เรื่องที่ 3 AI ที่เกี่ยวกับเรื่องความรู้สึกนึกคิด
มีความรู้สึกรักโลภโกรธหลง เห็นอกเห็นใจได้
มีหลายค่ายที่บอกว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เป็นเรื่องชีววิทยา
เพราะโรบอทเป็น algorithm ให้คิดประมวลผลจากข้อมูล
สมองของ AI ที่จะประสบความสำเร็จได้ขึ้นกับข้อมูลที่ใส่เข้าไป
เราจึงได้ยินเกี่ยวกับ Big data, data mining
ในยุค AI จะเรียนอะไรดี ?
อ.ธัชวรรณ การศึกษาไทยที่จะเก่งคณิตศาสตร์ไทยเทียบในโลกถือว่าค่อนข้างต่ำกว่ามาตรฐาน
คนที่จะทำได้ดีต้องเจาะลึก และผลิต AI มาแข่งขัน ซึ่งอาจจะทำได้ยาก
มองอีกมุมหนึ่ง softside(ด้านที่ไม่ใช่ความรู้เชิงเทคนิค) ก็มีโอกาสจะทำ AI ได้
หากเราเป็นเจ้าของไอเดีย และจ้างคนอื่นผลิตก็ได้
เชื่อว่าการเรียนบริหารธุรกิจในศาสตร์ใหม่ จะช่วยปรับตัวเราให้ทันกับยุค ai ได้
ผู้บริหารก็สามารถใช้ AI มาช่วยพัฒนาให้องค์กรเติบโตได้
เช่น big data, data mining, design thinking, digital marketing, e-commerce
สัมภาษณ์ศิษย์เก่าที่ได้เรียนจบจากนิด้า 4 ท่าน
สัมภาษณ์คุณวิรรธน์
จากที่เคยเรียน mba หลักการยังใช้งานได้ แต่เนื้อหาสาระมีการเปลี่ยนแปลง
หลักของmba คือเรียนไปทำธุรกิจ หรือทำเงิน จึงต้องเข้าวิธีการทำเงินขององค์กร
หรือ business model
มีคนใช้เงิน กับคนจ่ายเงิน
ผู้บริโภคจะจ่ายเงิน ต้องมี pain เช่น หิว,หาหมอ, โดยสารเครื่องบิน
การเรียนมาเพื่อตอบสนองความต้องการ และสร้าง business model ที่ตอบสนองได้
ในแง่ AI เป็นเครื่องมือพัฒนาอุตสาหกรรม 4.0
ประเทศไทยอยู่ราว 2.0, การใช้โรบอทคือ 3.0 แต่ 4.0 คือ เครื่องจักรคุยกันได้เอง
เช่น ญี่ปุ่น มีปัญหาผู้สูงอายุมากขึ้นในชนบท, อยู่กันเองไม่ได้อยู่ลูกหลาน, เดินทางกันเองก็ยาก
จึงมีการพัฒนารถยนต์ไร้คนขับ ต้องพัฒนาระบบให้เอื้อให้ระบบทำกัน เช่น ระบบไฟฟ้า,ระบบ infrastruceture,
ถนนต้องตีเส้นให้ระบบเห็นได้
AI เป็น cognitive thinking จะคิดแทนเราได้ เหมือนหมากรุกที่แข่งชนะคนได้ถ้าเราเดินรูปแบบเดิมๆ
โลกอนาคตจะมีแรงงาน 2 ขั้ว คือ
ขั้ว 1 คือ แรงงานถูกมาก แล้วหุ่นยนต์แทนที่ไม่คุ้ม
ขั้ว 2 คือ ฉลาดมาก ที่หุ่นยนต์แทนไม่ได้
คือ คิด business model กับ เอา business model ไปทำเทคโนโลยีออกมา
ดังนั้นจะเรียนหนังสือต้องถามว่าจะเรียนแนวไหน
ถ้ามีพื้นฐานไม่ใช่วิศวกร ก็ต้องเรียนเรื่องที่เป็น business model ทำอย่างไรให้ได้เงิน ให้ผู้บริโภคพอใจ
แต่ถ้าเรียนเป็นวิศวกรก็ต้องเรียนไปสร้างให้ใช้ประโยชน์ได้
โรงงานตัวเองที่อยู่ในจีน มีเครื่องทำพลาสติก เครื่องหล่อเย็น เครื่องบดเศษพลาสติค เครื่องผสมเม็ดพลาสติค
และมีเครื่องต่างๆที่เกี่ยวข้อง
ในอดีตช่างต้องทำความเข้าใจทีละเครื่อง แต่ตอนนี้เริ่มเครื่องให้เครื่องจักรเข้าใจกัน
เช่น ถ้าน้ำเย็นเริ่มตัดต่อบ่อย แสดงว่าชิลเลอร์กำลังมีปัญหา จะส่งผลให้แม่พิมพ์ และเครื่องจักรมีปัญหา
แทนที่จะรอให้น้ำเย็นมีปัญหา ก็ใช้เซนเซอร์จับให้รู้ก่อน
ถ้าน้ำเย็นมากชิ้นงานจะไม่ขึ้นรูป ถ้าชิ้นงานร้อนจะช้า ซึ่งจะนำมาสู่ระบบผสมที่สัดส่วนเปลี่ยนแปลงไป
เรื่องเหล่านี้คือ 4.0 ที่เปลี่ยนแปลง
แม้เรียน MBA จะทำเรื่องเหล่านี้เองไม่ได้ แต่จะนำข้อมูลมาบริหารจัดการ
เอามาวิเคราะห์ต้นทุน ประสิทธิภาพทำงาน วิเคราะห์คุณภาพ วางแผนผลิตเพื่อส่งของให้ลูกค้า
เชื่อว่าการเรียน MBA ยังสามารถใช้ประโยชน์ได้อยู่ แต่ต้องปรับตัวให้ทันกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป
ส่วนเป็นลูกคนจีน สมัยเด็กคุณพ่อสอนว่าไม่ต้องเรียนเยอะ จบมาก็ให้ทำงานเลย
แต่พอท่านออกสังคมเยอะขึ้น ท่านก็บอกว่าเรียนให้เยอะ ต้องมีข้อมูลเยอะ ต้องรู้จักคนเยอะ
การรู้จักคนไม่ใช่แค่หา connection แต่ให้เรียนรู้ว่าเขาคิดอย่างไรที่ไม่เหมือนเรา เป็นการแบ่งปันวิธีคิด
การเรียนไม่จำเป็นต้องเรียนจบเกรดสูง แต่ให้เข้าใจวิธีการเอาความรู้มาใช้ และรู้จักคนบ้าง
สำคัญคือต้องมีวัตถุประสงค์ เรียนจบแล้วจะไปทำอะไรบ้าง อย่าใช้เวลาแค่ในห้องเรียน ต้องใช้เวลากับเรื่องต่างๆรอบตัวด้วย
อ.เสน่ห์ เล่าเสริมเรื่องประเทศจีน
ปัญหาคือ คนจีนมีวัฒนธรรมเสียงดัง และชอบถ่มน้ำลาย
ซึ่งในปี 2008 ประเทศจีนจัดโอลิมปิค มีการออกกฏหมาย
และสั่งปรับควบคุมพฤติกรรม ซึ่งช่วยแก้ปัญหาได้ชั่วคราว
ต่อมามีเทคโนโลยี AI รัฐบาลลงทุนทำ Face recognition
ใช้กล้องวงจรปิด จดจำหน้าคน จับหน้าคนทำผิดแและตรวจสอบประวัติคนได้
พอมีระบบที่ช่วยจับและส่งเก็บค่าปรับ จึงแก้ปัญหานี้ได้
คุณวิวรรธน์ ประเทศจีนมีบุคลากรเยอะ แต่ทักษะพัฒนาช้ากว่าญี่ปุ่น
เมื่อเทคโนโลยีเข้าา ก็ข้ามไปใช้ automation ไม่ต้องรอแรงงานมีฝีมือ จึงมีแรงงาน 2 ขั้วชัดเจน
คนจีนใช้คอมพิวเตอร์ใช้มือถือเก่ง ซื้อของออนไลน์เก่งมาก ขนาดสั่งกาแฟออนไลน์ ไม่ต้องใช้เงินสด
การใช้ wechat pay จะเป็นสิ่งที่สะดวก เขาไม่ค่อยชอบรับเงินสดเป็นภาระ
สัมภาษณ์คุณเจนจิรา
จบ MBA มี.ค.61 ทีผ่านมา เคยเรียน international business การตลาดระหว่างประเทศ มาก่อน
โดยเรียนจบมาปีครึ่ง และมาเรียนต่อป.โทที่ นิด้า ซึ่งไปช่วงไปทำงานการตลาดในประเทศ
ที่เลือกเรียนนิด้า ได้ยินตั้งแต่สมัยปริญญาตรีว่าถ้าจะเข้าที่นี่ต้องได้เกียรตินิยม ต้องเก่ง จึงตั้งเป้าเรียนให้ดีตั้งแต่ตอนนั้น
MBA มี regular เหมือนปริญญาตรี จันทร์-ศุกร์
Flexible MBA เรียน เสาร์-อาทิตย์ เหมาะกับคนทำงาน,
Young Executives MBA เหมาะกับผู้บริหารอายุน้อย,
Executives MBA เหมาะกับผู้บริหารมาเรียน
ตอนนี้จัดตั้งบริษัทเองชื่อ Your MKT แปลคือการตลาดของคุณ
ทำหน้าที่ช่วยดูแลด้าน digital marketing ให้ทั้งบ.เอกชน ในตลาดและนอกตลาดหลักทรัพย์
ปัจจุบันสื่อที่เราใช้เป็น digital มากขึ้น อย่างที่จีนไม่ต้องใช้เงินสด ไม่ต้องเดินห้าง สั่งซื้อออนไลน์ได้
หลายองค์กรมีปัญหาไม่สามารถทำตลาดได้ดีในยุคปัจจุบัน เพราะผู้บริโภคเปลี่ยนไป
สมัยเรียน มีวิชาวิจัยการตลาด อาจารย์ให้นักเรียนประชาสัมพันธ์โครงการบริหารการตลาด โดยฝึกปฏิบัติจริง
ทำให้ได้ประยุกต์ความรู้วิชาการในชีวิตจริง และต้องให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วในปัจจุบัน
อาจารย์จะคอยชี้แนะแนวทาง ซึ่งหลังจากเรียนจบก็มีหลายองค์กรมาติดต่อให้เราทำการตลาดให้
โดยเขาเห็นจากสื่อที่เราใช้ และชอบผลงาน ทำให้จบแล้วก็มีงานต่อทันที
หลายบริษัทที่ดูแลให้มี in-house marketing ในบริษัท แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
บางบริษัทการตลาด offline เขาประสบความสำเร็จ แต่พอตลาด online เป็นเบอร์รอง
ซึ่งตอนนี้ใครชนะในตลาด online เข้าถึงคนได้มากกว่า ทำให้ไปได้เร็วกว่า
Inbound marketing คือ การตลาดแบบเดิม ออกไปหาลูกค้า เช่น ไปออก booth
แต่ outbound คือ ให้คนมาเราเอง เช่น search หา
เมื่อก่อนจะซื้อสินค้า ไปดูแล้วชอบ แต่ตอนนี้คนสามารถดูแล้วเปรียบเทียบได้ทันที
สรุปคือ จากที่ได้เรียน และปฏิบัติ เกิดผลงานเป็นการต่อยอดที่เร็ว
ทำให้เรียนจบมี.ค.61 มาไม่กี่เดือนก็สามารถร่วมกับทีมที่เรียนด้วยกัน จัดตั้งบริษัทดูแล marketing ได้
ความรู้ที่เรียนมาพอไหม?
คุณเจนจิรา สิ่งที่ทำก็อยู่ใน scope ทันกับที่เรียน
แต่ถ้าจะเรียนเพิ่มก็อยากเรียน big data หรือ data mining เป็นการจัดการฐานข้อมูลขนาดใหญ่
สังเกตหลายองค์กร เริ่มเก็บข้อมูลลูกค้าทุกคนเป็น membership เก็บข้อมูลส่วนตัว การซื้อของ
บางครั้งไปห้างก็จะเห็นว่ามีข้อมูลเด้งโปรโมชั่นทันที หรือเอาข้อมูลมูลมาวิเคราะห์ให้เป็นประโยชน์
เช่น Walmart มีทำ big data พบว่า คนมาซื้อเบียร์ ต้องมาซื้อแพมเพิร์สด้วย
เขาพบว่าเป็นพ่อบ้าน ที่ต้องมาซื้อผ้าอ้อมให้ลูก
นักการตลาดจึงนำ ผ้าอ้อม ไปวางชั้นใกล้กับเบียร์ ผลทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นมาก
ถ้าเราสามารถวิเคราะห์และประยุกต์ได้ตรงจุดยิ่งขึ้น เรียกว่า customize
สัมภาษณ์คุณอภิวัฒน์
ทำ e-commerce จะมี digital marketing มาเกี่ยวข้องด้วย
ส่วนใหญ่เราน่าจะเคยซื้อของผ่านออนไลน์ ซึ่งการตลาด e-commerce มีหลายแบบ AI เริ่มเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง
สมัยนี้เวลาซื้อสินค้าออนไลน์ สินค้าที่เราเห็นมักเป็นสิ่งที่เราสนใจอยู่ เพราะมีการเก็บข้อมูล
คอมพิวเตอร์จะเก็บข้อมูลตั้งแต่เราไป search หา หรือ คลิก แล้วเอามาประมวลผลแสดงให้เราซื้อมากขึ้น
ตอนเรียนจบ YMBA เมื่อปี 60 เรียนจบ computer science เคยเป็นโปรแกรมเมอร์มาก่อน
ทำหน้าที่ผลิตโปรแกรมหรือระบบมาก่อน รวมถึง AI
ซึ่งที่จริง AI มีมาตั้งนานแล้ว เราสร้างเพื่อเอามันมาใช้งาน ที่น่าสนใจคือเราต้องไม่ถูกมันควบคุม
จะบริหารจัดการมันอย่างไร รวมถึงอยากมีธุรกิจของตัวเอง อยากเป็นผู้บริหาร จึงมาเรียน MBA ที่นิด้า
วิชาที่สอนที่นิด้าหลากหลาย โดยจะมีวิชาปูพื้นฐานให้ อย่าง information and technology management
ไม่จำเป็นต้องจบด้าน IT มาก็เรียนรู้ได้ มี ai,big data ต่างๆด้วย
นอกจากนี้ นิด้ามีวิชาบังคับ ที่ชอบมาก 2 วิชา คือ
วิชา Operation management เป็นการบริหารจัดการตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ การทำงาน บริหารเวลา บริหารเงิน
บริหารความเสี่ยง ที่จะทำให้ธุรกิจขาดทุนหรือกำไร ทุกวันนี้ยังได้ใช้อยู่
วิชา Human resource management การจัดการกับคน เป็นสิ่งที่ AI ยังเข้าไม่ถึง
เราเรียนแล้วจะรู้ว่าเมื่อเจอกับพนักงาน หรือลูกค้าแบบไหน ควรรับมือแบบไหน
ได้เรียนรู้ทฤษฎีหลายอย่าง และนำมาใช้ในชีวิตจริงได้
ต่อไปหุ่นยนต์ทำงานกับข้อมูลและประมวลมาใช้งาน
ซึ่งก็ต้องมีคนมาใช้งานจากข้อมูลนั้นต่อ หรือมนุษย์เป็นผู้สั่งงาน
ตอนที่เรียน YMBA ทำงานไปด้วย เรียนภาคค่ำ 18.30-21.30 น.
ค่าเรียนเปรียบเทียบในเมืองไทยถือว่าไม่แพงมาก
สิ่งที่ได้ connection ภายในรุ่น เพื่อนจะมีประสบการณ์อย่างน้อย 2-3 ปี อายุไม่เกิน 34 ปี
จะมีเพื่อนหลากหลาย และทำงานเป็นทีมร่วมกันทั้งที่มีอายุมากกว่าและน้อยกว่า
ผลจากที่ได้เรียนจบมา เดิมทำงานบริษัทมา 12-13 ปี เก็บข้อมูลลูกค้าพัฒนาและนำมาใช้ในธุรกิจ
ซึ่งเราไม่เคยจัดการความเสี่ยง เกิดการขาดทุนใน project พบว่า สิ่งที่คนเสียไปตลอดเวลา
โดยไม่สามารถดึงกลับมาได้คือ เวลา ทุกครั้ง ที่ทำงานค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นคือ เวลา
เราเรียนรู้ในการจัดการให้คุ้มค่าสุด ทุกวันนี้ที่ออกมาย้ายสายงานและจัดการความเสี่ยง
ทำให้ project มีประสิทธิภาพ และทำกำไรได้
สัมภาษณ์คุณณัฐ
ทำงานบริหารความเสี่ยงให้บริษัท Audit แห่งหนึ่งใน Big4
พื้นฐาน ป.ตรีจบวิศวกรรมศาสตร์เคมี พอไปทำงานแล้วรู้สึกว่าโลกแคบ รู้จักแต่เชิงวิศวกรรม
ไม่รู้จัก marketing คืออะไร ทำงานไป 3 ปีแล้วมองอนาคตไปเลยอิ่มตัว
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าธุรกิจมีแบ่งเป็นหน้าบ้านกับหลังบ้าน เราอยู่ operation ดูกระบวนการผลิต
คำนวณค่าพลังงาน ต้นทุนต่างๆ พอไปเจอลูกค้าก็รู้สึกว่าเขาอยู่คนละโลกกันเลย อยากเปิดโลกบ้าง จึงมาเรียน MBA
และมองหาว่าจะเรียนที่ไหนดี ที่เลือก นิด้า คือ 1. ใกล้บ้าน กับ 2.พ่อดู Money talk เป็นประจำ
และก็แนะนำว่าที่นี่ดีและมีการรับรอง มีประกาศทุน และมีให้เลือกหลายหลักสูตร
ซึ่งสมัครได้ทุน regular และลาออกจากงานมาเรียนเต็มเวลา เพราะทำงานอยู่ระยอง
สมัยที่ทำงานที่โรงงานผลิตก็เทคโนโลยีทีเนำ AI เข้ามาใช้
เช่น Image processing ใช้กล้องยิงเข้าไปดูว่าผลิตภัณฑ์ที่ผลิตมีของเสียไหม
แต่ไม่ต้องกลัวว่า AI จะมาแย่งงานคนไปหมด
เพราะในอดีตยุคการปฏิวัติจากเกษตรกรรม มาอุตสาหกรรม
มนุษย์ก็เคยกังวลมากว่าเครื่องจักรจะแย่งงานคน
แต่ความจริงที่เกิดคือ เครื่องจักรเข้ามาและทำให้เกิดงานใหม่ๆเพิ่มขึ้น เช่น Automation, PLC, SCADA
ยุคอุตสาหกรรม กับสร้างอาชีพใหม่จำนวนมาก เช่น ทำ automation scada
ข้อดีการเรียน regular MBA มี major ให้เลือกหลายอย่าง finance, marketing ,
international business, MIS (Management information system)
ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าอยากเรียนอะไร รู้แค่อยากมีความรู้การเงิน บริหารจัดการเงินตัวเองได้
ช่วงแรกได้รู้จักอ.ไพบูลย์ จึงไปช่วยเป็น TA จากนั้นก็พบว่าความรู้ด้านการเงินแบบเดิมเป็นแก่นสำคัญ
แต่ต้องมี Tool บางอย่างช่วยทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
จึงไปขอเป็น TA ให้กับ อ.จงสวัสดิ์ เพิ่มอีก class หนึ่ง ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ
AI จะเข้ามาเป็น Tool ให้ชีวิตง่ายขึ้น เช่น วิเคราะห์งบการเงิน
รวมถึงตอนนี้ที่ MBA ที่่นิด้ามีอาจารย์ที่มีความรู้เรื่องโปรแกรมมิ่งเข้ามาหลายท่าน เช่น อ.กฤษดา,อ.ณัฐวุฒิ
อ.ไพบูลย์เสริม ในวงการศึกษาต้องมีส่วนผสม มีคนรุ่นเก่ามองภาพใหญ่ รู้อดีต,
คนรุ่นกลาง คอยบริหาร ดูภาพเชื่อมโยงข้างบนข้างล่าง คนรุ่นใหม่ มีความรู้วิชาใหม่ๆ ทำวิจัยเยอะๆ
ต่อไปพออ.รุ่นเดิมเกษียณไป ก็จะมีอ.รุ่นถัดไปขึ้นมาแทน
วิชาที่ประทับใจ?
คุณณัฐ SAS (Statistical Analysis System) เขียนชุดคำสั่ง(coding)เพื่อวิเคราะห์ข้อมูล
ไม่ต้องกังวลเรื่อง coding เพราะปัจจุบันมีโปรแกรมที่สามารถ drag & drop (ลากวางได้)
ถ้าเอาในเชิงปฏิบัติที่ใช้ทุกวันนี้เลี่ยงไม่ได้ต้อง coding
เพราะโปรแกรมที่พัฒนาสำเร็จมาก็ไม่ได้ใช้กับบริบทที่ต้องการได้
นอกจากนี้มีเรียน data mining and crm application
เรียนทำ clustering >> แบ่งกลุ่มลูกค้า
เคยได้นำไปใช้ทำงาน marketing ด้าน data mining อยู่ช่วงหนึ่ง
ปัจจุบันข้อมูลในเมืองไทยยังไม่สามารถใช้งานได้ทันที
เช่น ลูกค้าสมัครบัตรสมาชิก 20 ปีที่แล้ว แต่ไม่ได้ update ข้อมูล
เช่น รายได้,สถานะสมรส,การศึกษา ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา
แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนคือ transaction ที่เคยซื้อ หรือ path analysis
ข้อมูลที่ลูกค้าท่องเวบ เคยกดเข้าไปดูสินค้าหรือสนใจอะไร
ซึ่งเป็นวิชา Product association
หรือวิชา SEO, SEM จะเป็นทำให้เรา search หาเจอเป็นคนแรกๆ
สรุปจากที่ได้เรียน มองว่าคุ้มมาก
อ.ไพบูลย์ก็เคยแนะนำให้สอบ CFA เป็นผู้วิเคราะห์การเงิน
พอเข้ามาเรียน เนื้อหาหลายวิชาตรงกับที่การที่จะไปสอบใบ certificate ต่างๆเพื่อประกอบการทำงาน
เคยทำงาน marketing อยู่พักหนึ่งและเปลี่ยนมาทำ finance
สัมภาษณ์คุณวิวรรธน์ (ต่อ)
ส่งเสริมให้เรียน เพราะโลกเปลี่ยนไปเยอะ
สมัยก่อนมี computer มีมือถืออันใหญ่ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลง
ด้วยกฏของมัวร์ (ปริมาณของทรานซิสเตอร์บน IC จะเพิ่มเท่าตัวทุก 2 ปี)
ที่คนพูดถึง Data กันมากในยุคนี้ เพราะ ปัจจุบันประมวลผลข้อมูลเร็วขึ้นมาก
ซึ่งจะส่งผลกระทบต่างๆอีกมากมาย
“ถ้าเราไม่เข้าใจว่ามันจะเปลี่ยนแปลงไปสู่อะไร ก็จะได้แค่เห็นการเปลี่ยนแปลง แต่ใช้อะไรต่อไม่ได้”
การที่เราเรียนจะช่วยทำให้เข้าใจว่าจะเกิดอะไรต่อไปข้างหน้า
จากข้อมูล สวทช บอกมีมีเทรนด์ในโลกเกิดขึ้นในปี 2025
- คนจะมากขึ้น 2 เท่า
- มูลค่าเศรษฐกิจของซีกตะวันออกกับตะวันตกจะใกล้กัน
- คนจะอยู่ในเมืองมากขึ้น มีเงินมากขึ้น ความต้องการหลากหลาย ซับซ้อนมากขึ้น
เทคโนโลยีต่างๆเหล่านี้จะมาตอบสนองเรา
อเมริกา ยุโรปซื้อขาย e-commerce แต่บ้านเราคือ social commerce ซื้อขายบน facebook
ซึ่งเมืองไทยเราชอบคุยชอบถาม ไม่ใช่ดูแล้วกดซื้อเลย
แต่ประเทศอื่นไม่ได้ชอบเสียเวลาซื้อขายแบบนี้
ถ้าเราเรียนมาก็จะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ พฤติกรรมแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน
ย้อนกลับไปสมัยที่เรียน
ตอนนั้นได้เรียน EU ทำให้เข้าใจภาพใหญ่ว่าจะเกิดผลอะไรกับไทย
หรือ AFTA เกิด ทำให้ไทยกลายเป็น hub บรรจุภัณฑ์พลาสติกส์ ทำให้เรากล้าขยายการลงทุน
ได้เรียนรู้หลายวิชาจากอ.หลายท่าน เช่น การเงิน อ.ไพบูลย์, การตลาด อ.สมคิด,
ความเสี่ยง อ.อุตตม ,EU อ.สมชาย แต่ตอนหลังรุ่นน้องก็เรียนอีกแบบ
แต่ไม่ว่ารุ่นไหน โลกเปลี่ยน เราก็ต้องเรียนให้ทันโลก
วันนี้ก็ต้องเรียนรู้อะไรใหม่ๆจากน้องๆ
โดยผสมผสานระหว่างคน 2-3 รุ่นอยู่ด้วยกัน
เราก็ใช้องค์ความรู้ประสบการณ์ด้าน business model การมองธุรกิจ
ในตอนที่เรียนปี 2535 ขับรถไป-กลับจากโรงงานมาเรียน 4 ชั่วโมงต่อวัน
เนื่องจากคุณพ่ออยากให้เรียน และเป็นความตั้งใจส่วนตัว
นิด้า สอนปริญญาโท,เอก โดยพระราชดำรัส ในหลวง ร.9 ให้เป็นกลไกพัฒนาประเทศ
เรื่องเศรษฐกิจประยุกต์เป็นเรื่องแรกๆ จึงเข้ามาเรียนด้วยความตั้งใจเรื่อง Data การทำงานบนแนวคิดพัฒนาตัวเรา พัฒนาประเทศ
ซึ่งนิด้าทุกวันนี้ก็ยังยึดถือในเรื่อง wisdom of change และยังมีอีกหลายคณะที่ช่วยบูรณาการเข้าด้วยกัน
จะมีเพื่อนหลากหลาย ถึงแม้จะไม่มีระดับปริญญาตรี แต่ก็ยังมี alumni ที่มาเกื้อกูลกันได้
สรุปคำแนะนำ
1.ถ้าเรียนได้ก็อยากให้เรียน
2.เรียนให้เข้าใจแกนความรู้ และเอามาใช้กับการเปลี่ยนแปลง
3.นิด้ามีการปรับเปลี่ยนเยอะมาก การสอนอาจารย์ก็มีการเปลี่ยนแปลงให้เข้าใจโลกในอนาคต
สรุปปิดท้าย
อ.ธัชวรรณ
MBA มิวิชาพื้นฐานยังมีอยู่ เช่น marketing, finance, operation,hr,mis
สิ่งที่มีเพิ่มเติมให้เข้ายุคสมัยขึ้น คือวิชาเลือกเพิ่ม เช่น big data, datamining, IT management
ซึ่งเป็นวิชาที่ให้นักศึกษาสอบ certificate PMP(Project Management Professional)
นอกจากนี้วิธีสอนก็มีปรับเปลี่ยน เป็น case base
มีการ discussion กันในห้อง ซึ่งเป็นแนวความคิดแบบ havarad business school
ให้นักศึกษาไปอ่านเตรียม,วิเคราะห์เป็น
นอกจากนี้ยังได้แสวงหาความรู้ข้างนอก และ มีทักษะการสื่อสารกับเพื่อนในห้อง
เป็นทักษะสำคัญที่ก้าวเข้าสู่ยุค AI ซึ่งคนตะวันตกจะมีทักษะเหล่านี้ แต่คนไทยไม่ค่อยมี
ค่าเรียนขึ้นกับโครงการ
- Regular mba ถูกหน่อย รัฐบาลสนับสนุน ประมาณ แสนต้นๆ
- YMBA ,ExMBA มีดูงานต่างประเทศด้วย ราว 4-5 แสน
- FlexMBA ไม่มีดูงานต่างประเทศ 2-3 แสน
- Firm เป็นภาษาอังกฤษเน้นให้สอบ CFA เป็นหลัก ราว 3-4 แสน
- กำลังจะเปิดหลักสูตรใหม่ คล้าย firm แต่เป็น ภาษาไทย ให้วางแผนการเงิน เริ่มเรียนราว พ.ค.62
คุณสมบัติผู้เข้าเรียน
Regular จบคณะอะไรก็ได้ มีการสอบภาษาอังกฤษ,คณิตศาสตร์ และความรู้ทั่วไป
Executives ไม่ต้องสอบเข้า ต้องมีประสบการณ์ 5 ปีขึ้นไป YMBA 3 ปีขึ้นไป
Flexible 1 ปีขึ้นไป มีสอบเข้า แต่ถ้า GPA ป.ตรีได้เกียรตินิยมไม่ต้องสอบ
อ.ไพบูลย์
เสริม ยุคนี้จะเรียน MBA ต้องใช้ภาษาอังกฤษอ่านออกเขียนได้ฟังรู้
ส่วนจะเรียนมหาวิทยาลัยไหนก็ได้ ทุกที่ก็ดีทั้งนั้น เอาที่สะดวก เรียนแล้วได้ประโยชน์
ช่วงที่ 2 ทางพี่อมรจะเป็นผู้แชร์ ขอบคุณมากครับ
Moneytalk@SET ครั้งถัดไป 17 พ.ย. 61
ช่วง 1 ผู้บริหาร 4 บริษัท tkn(คุณต๊อบ),wha(คุณจรีพร),thg(หมออาทิตย์),karmart(คุณวงศ์วิวัฒน์)
ช่วง 2 ชุมนุมเพจดังแฟนปังนับล้าน finnomena,ลงทุนศาสตร์, buffetcode,แมงเม่าคลับ
ขอขอบพระคุณ อ.ไพบูลย์ อ.เสน่ห์ อ.นิเวศน์ ทีมงาน Moneytalk ที่จัดงานสัมมนา
และขอบคุณแขกรับเชิญทุกท่านที่มาแบ่งปันประสบการณ์ให้ความรู้
หากข้อมูลที่สรุปคลาดเคลื่อนไปอย่างไร ขออภัยไว้ที่นี้ครับ
ติดตามดู VDO ฉบับเต็มได้ทางช่องทีวี,Facebook,youtube ย้อนหลัง
ช่วงที่1 “ยุค AI เรียนต่อ ป.โทอะไรดี?”
1. คุณ วิวรรธน์ เหมมณฑารพ / CEO บมจ. ปัญจวัฒนาพลาสติก
2. รศ.ดร.ธัชวรรณ กนิษฐ์พงศ์ / รองคณบดี NIDA BUSINESS SCHOOL
3. คุณ ณัฐ ตราฐิติพันธุ์ / ที่ปรึกษาด้านการจัดการความเสี่ยง
4. คุณ อภิวัฒน์ เจริญรุ่งทรัพย์ / Project Manager, aCommerce
5. คุณ เจนจิรา ศรีดี / ที่ปรึกษาอิสระ Digital Marketing
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ดำเนินรายการ
เกริ่นนำ
อ.ไพบูลย์ ปัจจุบันการเรียนมหาวิทยาลัยลดลงอย่างมาก
มหาวิทยาลัยเอกชนไทยหลายแห่งก็ผลประกอบการตกต่ำลง
รวมถึงคนจะเรียนปริญญาโทสมัยนี้ก็เริ่มมีความคิดว่าจะเรียนไปทำไม
ในเมื่อ สตีฟจ๊อบ,มาร์คซัคเคอร์เบิร์ก ก็ไม่เรียนหนังสือจบ
ที่จริงคนที่ไม่เรียนแล้วประสบความสำเร็จมีน้อย
แต่คนที่เรียนหนังสือจบแล้วประสบความสำเร็จมีมาก
สิ่งสำคัญตอนนี้ต้องเลือกเรียนให้เหมาะสม จะเรียนมั่วๆไม่ได้
ยุค AI ต่างจากอดีตอย่างไร? การเรียนในยุคนี้มีความจำเป็นแค่ไหน?
อ.ธัชวรรณ
อ้างอิงจากที่ฟัง อ.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธาน TDRI
แบ่ง AI(ปัญญาประดิษฐ์) เป็น 3 เรื่อง
1.หุ่นยนต์อัตโนมัติ
2.AI ที่ใช้คิดวิเคราะห์ในโลกปัจจุบัน
3.AI ที่มีชีวิตจิตใจแบบในภาพยนตร์
เรื่องที่ 1 AI หุ่นยนต์อัตโนมัติ
มีการนำเข้ามาใช้ในอุตสาหกรรมสักระยะแล้ว
ใช้ทดแทนการทำงานของมือคน
เนื่องจากเริ่มขาดแคลนแรงงาน หุ่นยนต์อัตโนมัติจึงมาทดแทน ในการทำงานซ้ำๆ
ประเทศไทยมีอัตราว่างงาน 1.3% ถือว่าต่ำมาก เราขาดแคลนแรงงาน
สังเกตว่าเรามีการใช้แรงงานต่างด้าวค่อนข้างมาก
พอเข้ามายุคปัจจุบันเริ่มได้ยินยุครถยนต์ขับเคลื่อนโดยไร้คนขับ
หลายอาชีพจะหายไป เช่น คนขับ taxi, คนขับรถ bus
บริษัทใหญ่ เช่น uber ประกาศว่ากำลังพัฒนารถยนต์ไร้คนขับ รวมถึงรถบรรทุกไร้คนขับด้วย
อีกอาชีพที่จะหายไป คือ เด็กเสริฟ ก็จะมีหุ่นยนต์มาเสริฟแทน เช่น MK มีการทำโรบอทมาใช้แทน
มีที่จามจุรีสแควร์ จากบริษัท CT Asia Robotics เป็นบริษัทไทยเจ้าเดียวที่ผลิตหุ่นยนต์ส่งไปญี่ปุ่น
คุณอภิวัฒน์ เสริม AI นอกจากที่มีใช้ในอุตสาหกรรม
ตอนนี้เริ่มนำมาใช้ในวงการแพทย์เพื่อวิเคราะห์โรคต่างๆได้ละเอียดและแม่นยำมากขึ้น
และมีการนำหุ่นยนต์มาช่วยบำบัดฟื้นฟูหลอดเลือดสมอง,อัลไซเมอร์
ซึ่งจะมีงานวิจัยต่างๆ ที่จะฟื้นฟูอาการเหล่านี้ได้
หุ่นยนต์ที่ใช้งานที่ MK ใช้บริการช่วยเสริฟและบริการลูกค้า สามารถป้อนคำสั่งได้
จะมีใช้กล้อง VR จับร่างกายคนและเล่นเกมกับลูกค้า เป็นอีกก้าวที่มีบริษัทไทยที่ทำด้านนี้
อ.ธัชวรรณ ต่อ
เรื่องที่ 2 AI ที่ใช้ในโลกปัจจุบันจะมาทดแทนหลายอาชีพที่ใช้สมอง
คิดวิเคราะห์แทนมนุษย์ได้ อาชีพจะตกงาน เช่น
แพทย์
สามารถใช้ AI วินิจฉัยโรค หรือโอกาสเกิดโรคได้
ทนายความ
มีตัวอย่าง AI ที่พัฒนาโดย Joshua Browder
เขาโดนใบสั่งเยอะมากใน 1 เดือน
ถ้าต้องจ่ายค่าใบสั่ง หรือค่าทนายคงเสียเงินเยอะมาก
จึงสร้าง AI ที่ให้คนทั่วไปใช้ได้ และคนได้ใบสั่งวิเคราะห์ได้ว่าคุณผิดจริง หรือไม่ผิด
กรณีที่ไม่ได้ทำผิด AI จะร่างหนังสือส่งไปที่ศาลให้ โดยไม่ต้องพึ่งทนาย
ได้ทดลองไป 2 แสนกว่าเคส พบว่าชนะคดี ราว 1.6 แสนราย จึงประหยัดค่าทนายไปเยอะมาก
อาจารย์
ก็เป็นอาชีพที่อาจตกงานได้
เช่น แมคกรอฮิว มีผลิตสื่อการเรียนการสอน และอาจนำมาเป็นอาจารย์สอนแทนในเวบของเขาเอง
หรือที่ญี่ปุ่น,เกาหลี มีโรบอทใช้สอนพูดภาษาอังกฤษ ทดแทนอาจารย์
เรื่องที่ 3 AI ที่เกี่ยวกับเรื่องความรู้สึกนึกคิด
มีความรู้สึกรักโลภโกรธหลง เห็นอกเห็นใจได้
มีหลายค่ายที่บอกว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เป็นเรื่องชีววิทยา
เพราะโรบอทเป็น algorithm ให้คิดประมวลผลจากข้อมูล
สมองของ AI ที่จะประสบความสำเร็จได้ขึ้นกับข้อมูลที่ใส่เข้าไป
เราจึงได้ยินเกี่ยวกับ Big data, data mining
ในยุค AI จะเรียนอะไรดี ?
อ.ธัชวรรณ การศึกษาไทยที่จะเก่งคณิตศาสตร์ไทยเทียบในโลกถือว่าค่อนข้างต่ำกว่ามาตรฐาน
คนที่จะทำได้ดีต้องเจาะลึก และผลิต AI มาแข่งขัน ซึ่งอาจจะทำได้ยาก
มองอีกมุมหนึ่ง softside(ด้านที่ไม่ใช่ความรู้เชิงเทคนิค) ก็มีโอกาสจะทำ AI ได้
หากเราเป็นเจ้าของไอเดีย และจ้างคนอื่นผลิตก็ได้
เชื่อว่าการเรียนบริหารธุรกิจในศาสตร์ใหม่ จะช่วยปรับตัวเราให้ทันกับยุค ai ได้
ผู้บริหารก็สามารถใช้ AI มาช่วยพัฒนาให้องค์กรเติบโตได้
เช่น big data, data mining, design thinking, digital marketing, e-commerce
สัมภาษณ์ศิษย์เก่าที่ได้เรียนจบจากนิด้า 4 ท่าน
สัมภาษณ์คุณวิรรธน์
จากที่เคยเรียน mba หลักการยังใช้งานได้ แต่เนื้อหาสาระมีการเปลี่ยนแปลง
หลักของmba คือเรียนไปทำธุรกิจ หรือทำเงิน จึงต้องเข้าวิธีการทำเงินขององค์กร
หรือ business model
มีคนใช้เงิน กับคนจ่ายเงิน
ผู้บริโภคจะจ่ายเงิน ต้องมี pain เช่น หิว,หาหมอ, โดยสารเครื่องบิน
การเรียนมาเพื่อตอบสนองความต้องการ และสร้าง business model ที่ตอบสนองได้
ในแง่ AI เป็นเครื่องมือพัฒนาอุตสาหกรรม 4.0
ประเทศไทยอยู่ราว 2.0, การใช้โรบอทคือ 3.0 แต่ 4.0 คือ เครื่องจักรคุยกันได้เอง
เช่น ญี่ปุ่น มีปัญหาผู้สูงอายุมากขึ้นในชนบท, อยู่กันเองไม่ได้อยู่ลูกหลาน, เดินทางกันเองก็ยาก
จึงมีการพัฒนารถยนต์ไร้คนขับ ต้องพัฒนาระบบให้เอื้อให้ระบบทำกัน เช่น ระบบไฟฟ้า,ระบบ infrastruceture,
ถนนต้องตีเส้นให้ระบบเห็นได้
AI เป็น cognitive thinking จะคิดแทนเราได้ เหมือนหมากรุกที่แข่งชนะคนได้ถ้าเราเดินรูปแบบเดิมๆ
โลกอนาคตจะมีแรงงาน 2 ขั้ว คือ
ขั้ว 1 คือ แรงงานถูกมาก แล้วหุ่นยนต์แทนที่ไม่คุ้ม
ขั้ว 2 คือ ฉลาดมาก ที่หุ่นยนต์แทนไม่ได้
คือ คิด business model กับ เอา business model ไปทำเทคโนโลยีออกมา
ดังนั้นจะเรียนหนังสือต้องถามว่าจะเรียนแนวไหน
ถ้ามีพื้นฐานไม่ใช่วิศวกร ก็ต้องเรียนเรื่องที่เป็น business model ทำอย่างไรให้ได้เงิน ให้ผู้บริโภคพอใจ
แต่ถ้าเรียนเป็นวิศวกรก็ต้องเรียนไปสร้างให้ใช้ประโยชน์ได้
โรงงานตัวเองที่อยู่ในจีน มีเครื่องทำพลาสติก เครื่องหล่อเย็น เครื่องบดเศษพลาสติค เครื่องผสมเม็ดพลาสติค
และมีเครื่องต่างๆที่เกี่ยวข้อง
ในอดีตช่างต้องทำความเข้าใจทีละเครื่อง แต่ตอนนี้เริ่มเครื่องให้เครื่องจักรเข้าใจกัน
เช่น ถ้าน้ำเย็นเริ่มตัดต่อบ่อย แสดงว่าชิลเลอร์กำลังมีปัญหา จะส่งผลให้แม่พิมพ์ และเครื่องจักรมีปัญหา
แทนที่จะรอให้น้ำเย็นมีปัญหา ก็ใช้เซนเซอร์จับให้รู้ก่อน
ถ้าน้ำเย็นมากชิ้นงานจะไม่ขึ้นรูป ถ้าชิ้นงานร้อนจะช้า ซึ่งจะนำมาสู่ระบบผสมที่สัดส่วนเปลี่ยนแปลงไป
เรื่องเหล่านี้คือ 4.0 ที่เปลี่ยนแปลง
แม้เรียน MBA จะทำเรื่องเหล่านี้เองไม่ได้ แต่จะนำข้อมูลมาบริหารจัดการ
เอามาวิเคราะห์ต้นทุน ประสิทธิภาพทำงาน วิเคราะห์คุณภาพ วางแผนผลิตเพื่อส่งของให้ลูกค้า
เชื่อว่าการเรียน MBA ยังสามารถใช้ประโยชน์ได้อยู่ แต่ต้องปรับตัวให้ทันกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป
ส่วนเป็นลูกคนจีน สมัยเด็กคุณพ่อสอนว่าไม่ต้องเรียนเยอะ จบมาก็ให้ทำงานเลย
แต่พอท่านออกสังคมเยอะขึ้น ท่านก็บอกว่าเรียนให้เยอะ ต้องมีข้อมูลเยอะ ต้องรู้จักคนเยอะ
การรู้จักคนไม่ใช่แค่หา connection แต่ให้เรียนรู้ว่าเขาคิดอย่างไรที่ไม่เหมือนเรา เป็นการแบ่งปันวิธีคิด
การเรียนไม่จำเป็นต้องเรียนจบเกรดสูง แต่ให้เข้าใจวิธีการเอาความรู้มาใช้ และรู้จักคนบ้าง
สำคัญคือต้องมีวัตถุประสงค์ เรียนจบแล้วจะไปทำอะไรบ้าง อย่าใช้เวลาแค่ในห้องเรียน ต้องใช้เวลากับเรื่องต่างๆรอบตัวด้วย
อ.เสน่ห์ เล่าเสริมเรื่องประเทศจีน
ปัญหาคือ คนจีนมีวัฒนธรรมเสียงดัง และชอบถ่มน้ำลาย
ซึ่งในปี 2008 ประเทศจีนจัดโอลิมปิค มีการออกกฏหมาย
และสั่งปรับควบคุมพฤติกรรม ซึ่งช่วยแก้ปัญหาได้ชั่วคราว
ต่อมามีเทคโนโลยี AI รัฐบาลลงทุนทำ Face recognition
ใช้กล้องวงจรปิด จดจำหน้าคน จับหน้าคนทำผิดแและตรวจสอบประวัติคนได้
พอมีระบบที่ช่วยจับและส่งเก็บค่าปรับ จึงแก้ปัญหานี้ได้
คุณวิวรรธน์ ประเทศจีนมีบุคลากรเยอะ แต่ทักษะพัฒนาช้ากว่าญี่ปุ่น
เมื่อเทคโนโลยีเข้าา ก็ข้ามไปใช้ automation ไม่ต้องรอแรงงานมีฝีมือ จึงมีแรงงาน 2 ขั้วชัดเจน
คนจีนใช้คอมพิวเตอร์ใช้มือถือเก่ง ซื้อของออนไลน์เก่งมาก ขนาดสั่งกาแฟออนไลน์ ไม่ต้องใช้เงินสด
การใช้ wechat pay จะเป็นสิ่งที่สะดวก เขาไม่ค่อยชอบรับเงินสดเป็นภาระ
สัมภาษณ์คุณเจนจิรา
จบ MBA มี.ค.61 ทีผ่านมา เคยเรียน international business การตลาดระหว่างประเทศ มาก่อน
โดยเรียนจบมาปีครึ่ง และมาเรียนต่อป.โทที่ นิด้า ซึ่งไปช่วงไปทำงานการตลาดในประเทศ
ที่เลือกเรียนนิด้า ได้ยินตั้งแต่สมัยปริญญาตรีว่าถ้าจะเข้าที่นี่ต้องได้เกียรตินิยม ต้องเก่ง จึงตั้งเป้าเรียนให้ดีตั้งแต่ตอนนั้น
MBA มี regular เหมือนปริญญาตรี จันทร์-ศุกร์
Flexible MBA เรียน เสาร์-อาทิตย์ เหมาะกับคนทำงาน,
Young Executives MBA เหมาะกับผู้บริหารอายุน้อย,
Executives MBA เหมาะกับผู้บริหารมาเรียน
ตอนนี้จัดตั้งบริษัทเองชื่อ Your MKT แปลคือการตลาดของคุณ
ทำหน้าที่ช่วยดูแลด้าน digital marketing ให้ทั้งบ.เอกชน ในตลาดและนอกตลาดหลักทรัพย์
ปัจจุบันสื่อที่เราใช้เป็น digital มากขึ้น อย่างที่จีนไม่ต้องใช้เงินสด ไม่ต้องเดินห้าง สั่งซื้อออนไลน์ได้
หลายองค์กรมีปัญหาไม่สามารถทำตลาดได้ดีในยุคปัจจุบัน เพราะผู้บริโภคเปลี่ยนไป
สมัยเรียน มีวิชาวิจัยการตลาด อาจารย์ให้นักเรียนประชาสัมพันธ์โครงการบริหารการตลาด โดยฝึกปฏิบัติจริง
ทำให้ได้ประยุกต์ความรู้วิชาการในชีวิตจริง และต้องให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วในปัจจุบัน
อาจารย์จะคอยชี้แนะแนวทาง ซึ่งหลังจากเรียนจบก็มีหลายองค์กรมาติดต่อให้เราทำการตลาดให้
โดยเขาเห็นจากสื่อที่เราใช้ และชอบผลงาน ทำให้จบแล้วก็มีงานต่อทันที
หลายบริษัทที่ดูแลให้มี in-house marketing ในบริษัท แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
บางบริษัทการตลาด offline เขาประสบความสำเร็จ แต่พอตลาด online เป็นเบอร์รอง
ซึ่งตอนนี้ใครชนะในตลาด online เข้าถึงคนได้มากกว่า ทำให้ไปได้เร็วกว่า
Inbound marketing คือ การตลาดแบบเดิม ออกไปหาลูกค้า เช่น ไปออก booth
แต่ outbound คือ ให้คนมาเราเอง เช่น search หา
เมื่อก่อนจะซื้อสินค้า ไปดูแล้วชอบ แต่ตอนนี้คนสามารถดูแล้วเปรียบเทียบได้ทันที
สรุปคือ จากที่ได้เรียน และปฏิบัติ เกิดผลงานเป็นการต่อยอดที่เร็ว
ทำให้เรียนจบมี.ค.61 มาไม่กี่เดือนก็สามารถร่วมกับทีมที่เรียนด้วยกัน จัดตั้งบริษัทดูแล marketing ได้
ความรู้ที่เรียนมาพอไหม?
คุณเจนจิรา สิ่งที่ทำก็อยู่ใน scope ทันกับที่เรียน
แต่ถ้าจะเรียนเพิ่มก็อยากเรียน big data หรือ data mining เป็นการจัดการฐานข้อมูลขนาดใหญ่
สังเกตหลายองค์กร เริ่มเก็บข้อมูลลูกค้าทุกคนเป็น membership เก็บข้อมูลส่วนตัว การซื้อของ
บางครั้งไปห้างก็จะเห็นว่ามีข้อมูลเด้งโปรโมชั่นทันที หรือเอาข้อมูลมูลมาวิเคราะห์ให้เป็นประโยชน์
เช่น Walmart มีทำ big data พบว่า คนมาซื้อเบียร์ ต้องมาซื้อแพมเพิร์สด้วย
เขาพบว่าเป็นพ่อบ้าน ที่ต้องมาซื้อผ้าอ้อมให้ลูก
นักการตลาดจึงนำ ผ้าอ้อม ไปวางชั้นใกล้กับเบียร์ ผลทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นมาก
ถ้าเราสามารถวิเคราะห์และประยุกต์ได้ตรงจุดยิ่งขึ้น เรียกว่า customize
สัมภาษณ์คุณอภิวัฒน์
ทำ e-commerce จะมี digital marketing มาเกี่ยวข้องด้วย
ส่วนใหญ่เราน่าจะเคยซื้อของผ่านออนไลน์ ซึ่งการตลาด e-commerce มีหลายแบบ AI เริ่มเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง
สมัยนี้เวลาซื้อสินค้าออนไลน์ สินค้าที่เราเห็นมักเป็นสิ่งที่เราสนใจอยู่ เพราะมีการเก็บข้อมูล
คอมพิวเตอร์จะเก็บข้อมูลตั้งแต่เราไป search หา หรือ คลิก แล้วเอามาประมวลผลแสดงให้เราซื้อมากขึ้น
ตอนเรียนจบ YMBA เมื่อปี 60 เรียนจบ computer science เคยเป็นโปรแกรมเมอร์มาก่อน
ทำหน้าที่ผลิตโปรแกรมหรือระบบมาก่อน รวมถึง AI
ซึ่งที่จริง AI มีมาตั้งนานแล้ว เราสร้างเพื่อเอามันมาใช้งาน ที่น่าสนใจคือเราต้องไม่ถูกมันควบคุม
จะบริหารจัดการมันอย่างไร รวมถึงอยากมีธุรกิจของตัวเอง อยากเป็นผู้บริหาร จึงมาเรียน MBA ที่นิด้า
วิชาที่สอนที่นิด้าหลากหลาย โดยจะมีวิชาปูพื้นฐานให้ อย่าง information and technology management
ไม่จำเป็นต้องจบด้าน IT มาก็เรียนรู้ได้ มี ai,big data ต่างๆด้วย
นอกจากนี้ นิด้ามีวิชาบังคับ ที่ชอบมาก 2 วิชา คือ
วิชา Operation management เป็นการบริหารจัดการตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ การทำงาน บริหารเวลา บริหารเงิน
บริหารความเสี่ยง ที่จะทำให้ธุรกิจขาดทุนหรือกำไร ทุกวันนี้ยังได้ใช้อยู่
วิชา Human resource management การจัดการกับคน เป็นสิ่งที่ AI ยังเข้าไม่ถึง
เราเรียนแล้วจะรู้ว่าเมื่อเจอกับพนักงาน หรือลูกค้าแบบไหน ควรรับมือแบบไหน
ได้เรียนรู้ทฤษฎีหลายอย่าง และนำมาใช้ในชีวิตจริงได้
ต่อไปหุ่นยนต์ทำงานกับข้อมูลและประมวลมาใช้งาน
ซึ่งก็ต้องมีคนมาใช้งานจากข้อมูลนั้นต่อ หรือมนุษย์เป็นผู้สั่งงาน
ตอนที่เรียน YMBA ทำงานไปด้วย เรียนภาคค่ำ 18.30-21.30 น.
ค่าเรียนเปรียบเทียบในเมืองไทยถือว่าไม่แพงมาก
สิ่งที่ได้ connection ภายในรุ่น เพื่อนจะมีประสบการณ์อย่างน้อย 2-3 ปี อายุไม่เกิน 34 ปี
จะมีเพื่อนหลากหลาย และทำงานเป็นทีมร่วมกันทั้งที่มีอายุมากกว่าและน้อยกว่า
ผลจากที่ได้เรียนจบมา เดิมทำงานบริษัทมา 12-13 ปี เก็บข้อมูลลูกค้าพัฒนาและนำมาใช้ในธุรกิจ
ซึ่งเราไม่เคยจัดการความเสี่ยง เกิดการขาดทุนใน project พบว่า สิ่งที่คนเสียไปตลอดเวลา
โดยไม่สามารถดึงกลับมาได้คือ เวลา ทุกครั้ง ที่ทำงานค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นคือ เวลา
เราเรียนรู้ในการจัดการให้คุ้มค่าสุด ทุกวันนี้ที่ออกมาย้ายสายงานและจัดการความเสี่ยง
ทำให้ project มีประสิทธิภาพ และทำกำไรได้
สัมภาษณ์คุณณัฐ
ทำงานบริหารความเสี่ยงให้บริษัท Audit แห่งหนึ่งใน Big4
พื้นฐาน ป.ตรีจบวิศวกรรมศาสตร์เคมี พอไปทำงานแล้วรู้สึกว่าโลกแคบ รู้จักแต่เชิงวิศวกรรม
ไม่รู้จัก marketing คืออะไร ทำงานไป 3 ปีแล้วมองอนาคตไปเลยอิ่มตัว
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าธุรกิจมีแบ่งเป็นหน้าบ้านกับหลังบ้าน เราอยู่ operation ดูกระบวนการผลิต
คำนวณค่าพลังงาน ต้นทุนต่างๆ พอไปเจอลูกค้าก็รู้สึกว่าเขาอยู่คนละโลกกันเลย อยากเปิดโลกบ้าง จึงมาเรียน MBA
และมองหาว่าจะเรียนที่ไหนดี ที่เลือก นิด้า คือ 1. ใกล้บ้าน กับ 2.พ่อดู Money talk เป็นประจำ
และก็แนะนำว่าที่นี่ดีและมีการรับรอง มีประกาศทุน และมีให้เลือกหลายหลักสูตร
ซึ่งสมัครได้ทุน regular และลาออกจากงานมาเรียนเต็มเวลา เพราะทำงานอยู่ระยอง
สมัยที่ทำงานที่โรงงานผลิตก็เทคโนโลยีทีเนำ AI เข้ามาใช้
เช่น Image processing ใช้กล้องยิงเข้าไปดูว่าผลิตภัณฑ์ที่ผลิตมีของเสียไหม
แต่ไม่ต้องกลัวว่า AI จะมาแย่งงานคนไปหมด
เพราะในอดีตยุคการปฏิวัติจากเกษตรกรรม มาอุตสาหกรรม
มนุษย์ก็เคยกังวลมากว่าเครื่องจักรจะแย่งงานคน
แต่ความจริงที่เกิดคือ เครื่องจักรเข้ามาและทำให้เกิดงานใหม่ๆเพิ่มขึ้น เช่น Automation, PLC, SCADA
ยุคอุตสาหกรรม กับสร้างอาชีพใหม่จำนวนมาก เช่น ทำ automation scada
ข้อดีการเรียน regular MBA มี major ให้เลือกหลายอย่าง finance, marketing ,
international business, MIS (Management information system)
ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าอยากเรียนอะไร รู้แค่อยากมีความรู้การเงิน บริหารจัดการเงินตัวเองได้
ช่วงแรกได้รู้จักอ.ไพบูลย์ จึงไปช่วยเป็น TA จากนั้นก็พบว่าความรู้ด้านการเงินแบบเดิมเป็นแก่นสำคัญ
แต่ต้องมี Tool บางอย่างช่วยทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
จึงไปขอเป็น TA ให้กับ อ.จงสวัสดิ์ เพิ่มอีก class หนึ่ง ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ
AI จะเข้ามาเป็น Tool ให้ชีวิตง่ายขึ้น เช่น วิเคราะห์งบการเงิน
รวมถึงตอนนี้ที่ MBA ที่่นิด้ามีอาจารย์ที่มีความรู้เรื่องโปรแกรมมิ่งเข้ามาหลายท่าน เช่น อ.กฤษดา,อ.ณัฐวุฒิ
อ.ไพบูลย์เสริม ในวงการศึกษาต้องมีส่วนผสม มีคนรุ่นเก่ามองภาพใหญ่ รู้อดีต,
คนรุ่นกลาง คอยบริหาร ดูภาพเชื่อมโยงข้างบนข้างล่าง คนรุ่นใหม่ มีความรู้วิชาใหม่ๆ ทำวิจัยเยอะๆ
ต่อไปพออ.รุ่นเดิมเกษียณไป ก็จะมีอ.รุ่นถัดไปขึ้นมาแทน
วิชาที่ประทับใจ?
คุณณัฐ SAS (Statistical Analysis System) เขียนชุดคำสั่ง(coding)เพื่อวิเคราะห์ข้อมูล
ไม่ต้องกังวลเรื่อง coding เพราะปัจจุบันมีโปรแกรมที่สามารถ drag & drop (ลากวางได้)
ถ้าเอาในเชิงปฏิบัติที่ใช้ทุกวันนี้เลี่ยงไม่ได้ต้อง coding
เพราะโปรแกรมที่พัฒนาสำเร็จมาก็ไม่ได้ใช้กับบริบทที่ต้องการได้
นอกจากนี้มีเรียน data mining and crm application
เรียนทำ clustering >> แบ่งกลุ่มลูกค้า
เคยได้นำไปใช้ทำงาน marketing ด้าน data mining อยู่ช่วงหนึ่ง
ปัจจุบันข้อมูลในเมืองไทยยังไม่สามารถใช้งานได้ทันที
เช่น ลูกค้าสมัครบัตรสมาชิก 20 ปีที่แล้ว แต่ไม่ได้ update ข้อมูล
เช่น รายได้,สถานะสมรส,การศึกษา ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา
แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนคือ transaction ที่เคยซื้อ หรือ path analysis
ข้อมูลที่ลูกค้าท่องเวบ เคยกดเข้าไปดูสินค้าหรือสนใจอะไร
ซึ่งเป็นวิชา Product association
หรือวิชา SEO, SEM จะเป็นทำให้เรา search หาเจอเป็นคนแรกๆ
สรุปจากที่ได้เรียน มองว่าคุ้มมาก
อ.ไพบูลย์ก็เคยแนะนำให้สอบ CFA เป็นผู้วิเคราะห์การเงิน
พอเข้ามาเรียน เนื้อหาหลายวิชาตรงกับที่การที่จะไปสอบใบ certificate ต่างๆเพื่อประกอบการทำงาน
เคยทำงาน marketing อยู่พักหนึ่งและเปลี่ยนมาทำ finance
สัมภาษณ์คุณวิวรรธน์ (ต่อ)
ส่งเสริมให้เรียน เพราะโลกเปลี่ยนไปเยอะ
สมัยก่อนมี computer มีมือถืออันใหญ่ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลง
ด้วยกฏของมัวร์ (ปริมาณของทรานซิสเตอร์บน IC จะเพิ่มเท่าตัวทุก 2 ปี)
ที่คนพูดถึง Data กันมากในยุคนี้ เพราะ ปัจจุบันประมวลผลข้อมูลเร็วขึ้นมาก
ซึ่งจะส่งผลกระทบต่างๆอีกมากมาย
“ถ้าเราไม่เข้าใจว่ามันจะเปลี่ยนแปลงไปสู่อะไร ก็จะได้แค่เห็นการเปลี่ยนแปลง แต่ใช้อะไรต่อไม่ได้”
การที่เราเรียนจะช่วยทำให้เข้าใจว่าจะเกิดอะไรต่อไปข้างหน้า
จากข้อมูล สวทช บอกมีมีเทรนด์ในโลกเกิดขึ้นในปี 2025
- คนจะมากขึ้น 2 เท่า
- มูลค่าเศรษฐกิจของซีกตะวันออกกับตะวันตกจะใกล้กัน
- คนจะอยู่ในเมืองมากขึ้น มีเงินมากขึ้น ความต้องการหลากหลาย ซับซ้อนมากขึ้น
เทคโนโลยีต่างๆเหล่านี้จะมาตอบสนองเรา
อเมริกา ยุโรปซื้อขาย e-commerce แต่บ้านเราคือ social commerce ซื้อขายบน facebook
ซึ่งเมืองไทยเราชอบคุยชอบถาม ไม่ใช่ดูแล้วกดซื้อเลย
แต่ประเทศอื่นไม่ได้ชอบเสียเวลาซื้อขายแบบนี้
ถ้าเราเรียนมาก็จะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ พฤติกรรมแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน
ย้อนกลับไปสมัยที่เรียน
ตอนนั้นได้เรียน EU ทำให้เข้าใจภาพใหญ่ว่าจะเกิดผลอะไรกับไทย
หรือ AFTA เกิด ทำให้ไทยกลายเป็น hub บรรจุภัณฑ์พลาสติกส์ ทำให้เรากล้าขยายการลงทุน
ได้เรียนรู้หลายวิชาจากอ.หลายท่าน เช่น การเงิน อ.ไพบูลย์, การตลาด อ.สมคิด,
ความเสี่ยง อ.อุตตม ,EU อ.สมชาย แต่ตอนหลังรุ่นน้องก็เรียนอีกแบบ
แต่ไม่ว่ารุ่นไหน โลกเปลี่ยน เราก็ต้องเรียนให้ทันโลก
วันนี้ก็ต้องเรียนรู้อะไรใหม่ๆจากน้องๆ
โดยผสมผสานระหว่างคน 2-3 รุ่นอยู่ด้วยกัน
เราก็ใช้องค์ความรู้ประสบการณ์ด้าน business model การมองธุรกิจ
ในตอนที่เรียนปี 2535 ขับรถไป-กลับจากโรงงานมาเรียน 4 ชั่วโมงต่อวัน
เนื่องจากคุณพ่ออยากให้เรียน และเป็นความตั้งใจส่วนตัว
นิด้า สอนปริญญาโท,เอก โดยพระราชดำรัส ในหลวง ร.9 ให้เป็นกลไกพัฒนาประเทศ
เรื่องเศรษฐกิจประยุกต์เป็นเรื่องแรกๆ จึงเข้ามาเรียนด้วยความตั้งใจเรื่อง Data การทำงานบนแนวคิดพัฒนาตัวเรา พัฒนาประเทศ
ซึ่งนิด้าทุกวันนี้ก็ยังยึดถือในเรื่อง wisdom of change และยังมีอีกหลายคณะที่ช่วยบูรณาการเข้าด้วยกัน
จะมีเพื่อนหลากหลาย ถึงแม้จะไม่มีระดับปริญญาตรี แต่ก็ยังมี alumni ที่มาเกื้อกูลกันได้
สรุปคำแนะนำ
1.ถ้าเรียนได้ก็อยากให้เรียน
2.เรียนให้เข้าใจแกนความรู้ และเอามาใช้กับการเปลี่ยนแปลง
3.นิด้ามีการปรับเปลี่ยนเยอะมาก การสอนอาจารย์ก็มีการเปลี่ยนแปลงให้เข้าใจโลกในอนาคต
สรุปปิดท้าย
อ.ธัชวรรณ
MBA มิวิชาพื้นฐานยังมีอยู่ เช่น marketing, finance, operation,hr,mis
สิ่งที่มีเพิ่มเติมให้เข้ายุคสมัยขึ้น คือวิชาเลือกเพิ่ม เช่น big data, datamining, IT management
ซึ่งเป็นวิชาที่ให้นักศึกษาสอบ certificate PMP(Project Management Professional)
นอกจากนี้วิธีสอนก็มีปรับเปลี่ยน เป็น case base
มีการ discussion กันในห้อง ซึ่งเป็นแนวความคิดแบบ havarad business school
ให้นักศึกษาไปอ่านเตรียม,วิเคราะห์เป็น
นอกจากนี้ยังได้แสวงหาความรู้ข้างนอก และ มีทักษะการสื่อสารกับเพื่อนในห้อง
เป็นทักษะสำคัญที่ก้าวเข้าสู่ยุค AI ซึ่งคนตะวันตกจะมีทักษะเหล่านี้ แต่คนไทยไม่ค่อยมี
ค่าเรียนขึ้นกับโครงการ
- Regular mba ถูกหน่อย รัฐบาลสนับสนุน ประมาณ แสนต้นๆ
- YMBA ,ExMBA มีดูงานต่างประเทศด้วย ราว 4-5 แสน
- FlexMBA ไม่มีดูงานต่างประเทศ 2-3 แสน
- Firm เป็นภาษาอังกฤษเน้นให้สอบ CFA เป็นหลัก ราว 3-4 แสน
- กำลังจะเปิดหลักสูตรใหม่ คล้าย firm แต่เป็น ภาษาไทย ให้วางแผนการเงิน เริ่มเรียนราว พ.ค.62
คุณสมบัติผู้เข้าเรียน
Regular จบคณะอะไรก็ได้ มีการสอบภาษาอังกฤษ,คณิตศาสตร์ และความรู้ทั่วไป
Executives ไม่ต้องสอบเข้า ต้องมีประสบการณ์ 5 ปีขึ้นไป YMBA 3 ปีขึ้นไป
Flexible 1 ปีขึ้นไป มีสอบเข้า แต่ถ้า GPA ป.ตรีได้เกียรตินิยมไม่ต้องสอบ
อ.ไพบูลย์
เสริม ยุคนี้จะเรียน MBA ต้องใช้ภาษาอังกฤษอ่านออกเขียนได้ฟังรู้
ส่วนจะเรียนมหาวิทยาลัยไหนก็ได้ ทุกที่ก็ดีทั้งนั้น เอาที่สะดวก เรียนแล้วได้ประโยชน์
ช่วงที่ 2 ทางพี่อมรจะเป็นผู้แชร์ ขอบคุณมากครับ
Moneytalk@SET ครั้งถัดไป 17 พ.ย. 61
ช่วง 1 ผู้บริหาร 4 บริษัท tkn(คุณต๊อบ),wha(คุณจรีพร),thg(หมออาทิตย์),karmart(คุณวงศ์วิวัฒน์)
ช่วง 2 ชุมนุมเพจดังแฟนปังนับล้าน finnomena,ลงทุนศาสตร์, buffetcode,แมงเม่าคลับ
ขอขอบพระคุณ อ.ไพบูลย์ อ.เสน่ห์ อ.นิเวศน์ ทีมงาน Moneytalk ที่จัดงานสัมมนา
และขอบคุณแขกรับเชิญทุกท่านที่มาแบ่งปันประสบการณ์ให้ความรู้
หากข้อมูลที่สรุปคลาดเคลื่อนไปอย่างไร ขออภัยไว้ที่นี้ครับ
ติดตามดู VDO ฉบับเต็มได้ทางช่องทีวี,Facebook,youtube ย้อนหลัง