หน้า 1 จากทั้งหมด 1

บทสรุปการบรรยายหลักการลงทุนหุ้นอเมริกา / Billionaire VI

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 12, 2018 10:01 pm
โดย always24
บทสรุปการบรรยายหลักการลงทุนหุ้นอเมริกา - งาน VI Know How Charity #6

ต้องขอขอบคุณอีกครั้งหนึ่งสำหรับคณะผู้จัดงานที่ให้โอกาสผมร่วมบรรยายในหัวข้อ Invest in US, How to? ซึ่งได้มีส่วนแชร์ประสบการณ์ กรณีศึกษาหุ้นและการคาดการณ์ตลาดหุ้นอเมริกาในอนาคต

จึงอยากสรุปใจความสำคัญเพื่อเป็นข้อมูลให้ทุกท่านได้ศึกษาและติดตามกันดังนี้

1. ผมลงทุนโดยยึดหลักการลงทุนหุ้นคุณค่าซึ่งประกอบด้วยสามส่วนหลักๆได้แก่ 1)การลงทุนหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่เหมาะสม 2)การลงทุนในหุ้นที่แข็งแกร่งมีคูเมืองที่แข็งแรง 3)การลงทุนหุ้นระยะยาวโดยให้เวลาหุ้นเพื่อทำงานในระยะยาว 10 ถึง 20 ปีเป็นต้น

2. นักลงทุนที่เหมาะกับการลงทุนหุ้นอเมริกาโดยส่วนตัวคิดว่าน่าจะเป็นนักลงทุนที่มีเงินเย็น ไม่ได้กู้เงินมาลงทุนรวมทั้งมีความตั้งใจที่จะลงทุนระยะยาว นอกจากนี้เงินทุนขั้นต่ำที่จะเริ่มลงทุนน่าจะประมาณ 1 ล้านบาทถ้าต้องการให้การลงทุนที่นั่นเปลี่ยนชีวิตเราจากเงิน 1 ล้านเป็น 10 ล้านภายใน 15 ปี (ผลตอบแทนประมาณ 15% ต่อปี)

3. ไม่แนะนำให้เก็งกำไรหุ้นอเมริกาเพราะการซื้อขายบ่อยจะต้องเสียค่านายหน้าเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้หุ้นที่นั่นยังมีความผันผวนค่อนข้างสูงจึงมีความเสี่ยงที่สูงตามไปด้วย หลายๆคนอาจจะบอกว่าสามารถทำกำไรได้วันละหลายหมื่นบาทจาก แต่อย่างที่วอร์เรน บัฟเฟตต์บอกไว้ตอนที่น้ำท่วมทุกคนก็ไม่เห็นใครที่เปลือยอยู่จนวันที่น้ำลดลงก็จะเห็นคนเหล่านั้นเอง

4. ตลาดหุ้นอเมริกาน่าลงทุนเพราะเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยมาร์เก็ตแคปของ New York Stock Exchange (NYSE) และ Nasdaq ที่รวมกันใหญ่ถึง 35 ล้านล้านดอลล่าร์ ตลาดหุ้นที่ใหญ่จะมีหุ้นดีๆจำนวนมากให้เลือกลงทุน รวมทั้งหุ้นยังมีสภาพคล่องสูงอีกด้วย

5. ถ้ามองย้อนหลังไป 30 ปีตั้งแต่ปี 1988 ผลตอบแทนของดัชนี S&P 500 จะอยู่ที่ 10% ต่อปี เงินลงทุน 1 ล้านบาทเมื่อ 30 ปีที่แล้วมาวันนี้จะกลายเป็น 17 ล้านบาท มองย้อนกลับไป 150 ปีผลตอบแทนก็ยังทำได้ประมาณ 10% ถือว่าดีมาก

6. หุ้นบริษัทที่ยอดเยี่ยมมีจำนวนมากในตลาดหุ้นอเมริกา ยกตัวอย่างหุ้น Costco ที่เป็นเหมือน Makro เมืองไทยแต่สินค้าและบริการดูพรีเมี่ยมมากกว่าเยอะ จุดที่น่าสนใจในการลงทุนคือ Costco ยังมีโอกาสขยายสาขาได้อีกเยอะโดยเฉพาะในแถบเอเชีย เร็วๆนี้กำลังจะเปิดสาขาเเรกที่ประเทศจีน นอกจากนี้ยังมีโปรแกรมสมาชิกที่สร้างเงินสดปีละ 8 หมื่นกว่าล้านบาทและมีอัตราการต่อสมาชิกสูงถึง 90% ในอเมริกาและ 87% ในประเทศอื่นๆทั่วโลก รวมสาขาทั่วโลกทั้งหมดกว่า 749 สาขา

7. หุ้นอย่าง Priceline หรือวันนี้เปลี่ยนชื่อเป็น Booking Holding ซึ่งให้บริการการจองโรงแรมเว็บไซต์ชื่อดังอย่าง Booking.com และ Agoda เป็นหุ้นที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึง 1,000 เท่าใน 10 ปี

8. อย่างไรก็ตามอย่าคิดว่าการลงทุนที่อเมริกามีแต่ได้อย่างเดียว เพราะที่นั่นก็เกิดวิกฤตในตลาดหุ้นมาหลายครั้งแล้วโดยแต่ละครั้งก็สร้างความเสียหายให้นักลงทุนขาดทุน 50-90% ในช่วงวิกฤต ศึกษาให้ดีๆก่อนลงทุน ที่นั่นมีทั้งกองทุนและนักลงทุนที่เก่งๆมากมาย

9. อุตสาหกรรมที่น่าลงทุนต่อจากนี้ไปมีดังนี้ 1)ไอทีผู้ให้บริการคลาวด์ 2)ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มอย่าง Facebook และ Google 3)อาหารการกินที่เป็นร้านสาขา เช่น Shack Shake ร้านเบอร์เกอร์สุดอร่อยคนต่อคิวกินกันเพียบ

10. ตลาดหุ้นอเมริกาผมเกิดวิกฤติอีกครั้งหนึ่งแน่นอนส่วนตัวไม่สามารถทำนายได้ว่าจะเกิดเมื่อไหร่ เน้นลงทุนหุ้นที่มีศักยภาพในการแข่งขันในราคาที่เหมาะสม แนะนำว่าคนที่ยังไม่ได้ไปลงทุนอาจจะลองศึกษาหาความรู้ไปก่อนแล้วรอจนเกิดวิกฤติค่อยลงทุน หรือถ้าใครที่สามารถศึกษาวิเคราะห์หุ้นรายตัวแล้ววิเคราะห์หามูลค่าได้ในช่วงนี้ก็ยังสามารถลงทุนในหุ้นบางตัวได้

สุดท้ายนี้ผมหวังว่าการบรรยายและเนื้อหาทั้งหมดที่กลั่นมาจากประสบการณ์จะช่วยให้นักลงทุนไทยมีทางเลือกในการลงทุนที่น่าสนใจ และหวังว่าจะช่วยเปลี่ยนชีวิตของนักลงทุนให้ดีขึ้นครับ