หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เรามากันถูกทางกันแล้วใช่ไหม เพราะวอร์เรน บัฟเฟตต์..

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ย. 18, 2004 1:02 pm
โดย ลูกอิสาน
กำลังจะรวยกว่า Bill Gate ในอีกไม่ช้า
จากข้อมูลนิตยสารฟอร์ป จัดอันดับคนรวยที่สุดในโลก

ปี 2001
Bill Gate = 5.9 หมื่นล้านดอลลาร์
Warren = 3.2 หมื่นล้านดอลลาร์


ปี 2003
Bill Gate = 4.66 หมื่นล้านดอลลาร์
Warren = 4.29 หมื่นล้านดอลลาร์


คงจะเป็นผลของการทบต้น ออกดอกออกผล
เพราะเบอร์กไชร์ เลือกที่จะไม่ปันผล แต่นำกำไรไปลงทุนต่อ
ในขณะที่ Microsoft นำกำไรไปลงทุนต่อ น้อยกว่าเพราะมีการจ่ายปันผล

หากยังเป็นอย่างนี้ อีกไม่นานวอร์เรน จะรวยกว่า บิล เกตน์

และหากเป็นอย่างที่คาดจริงๆ ก็เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ระดับหนึ่งว่า
แนวทางการลงทุนแบบเน้นคุณค่านั้น จะทำให้นักลงทุนประสบความสำเร็จได้ อย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว หากกระทำอย่างเคร่งครับ และต่อเนื่อง :D

เรามากันถูกทางกันแล้วใช่ไหม เพราะวอร์เรน บัฟเฟตต์..

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ย. 18, 2004 2:10 pm
โดย The Beginner
ผมเชื่อในแนวคิดนั้น เพราะมัน สมเหตุสมผลมากๆ แค่ซื้อกิจการที่ดีและจะดีในระยะยาว ในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง

เพียงแต่ว่า วิธีการคิด การประยุกต์ การคำนวน มุมมองการวิเคราะห์นั้น ต้องอาศัยหลายๆ อย่างประกอบกันมากๆ หลอมรวมเป็นหนึ่ง ดังนั้น ต้องอาศัยระยะเวลา ประสบการณ์ ความมุ่งมั่น ความอดทนมาก

ขอให้กำลังใจเพื่อนๆ ด้วยนะครับ

เรามากันถูกทางกันแล้วใช่ไหม เพราะวอร์เรน บัฟเฟตต์..

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ย. 18, 2004 2:29 pm
โดย Dr.T
ถ้าพิจารณาอายุอาจทำให้หลายคนไขว้เขวนะครับ
บัฟเฟตเจ็ดสิบกว่าแล้ว แต่บิล เกตส์เพิ่งสี่สิบกลาง ๆ

แต่ล่าสุดหุ้น berkshire 86000$/หุ้นแล้ว :roll:

เรามากันถูกทางกันแล้วใช่ไหม เพราะวอร์เรน บัฟเฟตต์..

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ย. 18, 2004 7:40 pm
โดย chatchai
Microsoft ก้เป็นบริษัทที่จ่ายเงินปันผลไม่มากครับ ปัจจุบันเป็นบริษัทที่มีเงินสดเหลือมากที่สุดครับ และกำลังมีแผนที่จะซื้อหุ้นคืนในตลาด และเพิ่มอัตราการจ่ายเงินปันผลครับ

เรามากันถูกทางกันแล้วใช่ไหม เพราะวอร์เรน บัฟเฟตต์..

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ย. 18, 2004 7:47 pm
โดย โป้ง
เห็นข้อมูลทำให้มีกำใจ ในการอดทนเฝ้ารอครับ :D

เรามากันถูกทางกันแล้วใช่ไหม เพราะวอร์เรน บัฟเฟตต์..

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ย. 19, 2004 9:23 am
โดย ลูกอิสาน
เคยอ่านเจอว่าวอร์เรน ทำผลตอบแทนทบต้นได้ประมาณ 22% ต่อปี
แต่คิดว่าระยะหลังๆ คงทำผลตอบแทนไม่ได้อย่างนั้นเพราะจำนวนเงินมากขึ้น ทำให้บริหารยากขึ้น หากแค่ทำผลตอบแทน 15% ต่อปี ภายใน 5 ปีก็จะมีเงินเพิ่มขึ้น 1 เท่าตัวเลยทีเดียว :roll:


ตลาดหุ้นไทยตั้งมาประมาณ 28-29 ปี จากดัชนี 100 ตอนนี้ดัชนี 669
คิดเป็นอัตราทบต้นประมาณ 7% และหากรวมปันผลก็คงประมาณ 9-10%
ต่อปีเลยทีเดียว

ผมตั้งเป้าหมายส่วนตัว ในการทำผลตอบแทนทบต้นไว้ที่ 15% ต่อปี
สูงกว่าดัชนีตลาดประมาณ 5% ทุกปี
ซึ่งหากทำได้จะทำกำไรได้ 1 เท่าตัวภายใน 5 ปีเลยทีเดียว
ซึ่งดูแนวโน้มก็เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยครับ แม้ปีที่แล้วจะทำผลตอบแทนได้
79% ซึ่งคงไม่เกิดขึ้นบ่อยๆ ในขณะที่ดัชนีตลาดให้ผลตอบแทน 117%
เท่ากับว่ายังแพ้ผลตอบแทนของตลาดอีกพอสมควร

เส้นทางนี้อีกยาวไกลครับ

วอร์เรน เคยกล่าวว่า "เวลาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจที่ดี แต่เป็นเสมือนคำสอบแช่งสำหรับธุรกิจที่ไม่ดีอย่างแท้จริง"

เรามากันถูกทางกันแล้วใช่ไหม เพราะวอร์เรน บัฟเฟตต์..

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ย. 19, 2004 12:54 pm
โดย บุคคลทั่วไป
Buffett เคยเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดไปแล้วครั้งนึงเมื่อปี 1993 ครับ อย่างไรก็ตาม ความมั่งคั่งที่ว่ามักจะคิดจากราคาหุ้น ฉะนั้น ถ้าจะวัดกันแบบจริงๆ ผมว่าต้องดูด้วยว่า ราคาหุ้น Microsoft และ Berkshire นั้น undervalued , fairly valued หรือ overvalued ครั้งหนึ่ง เมื่อเดือนกุมภา ปี 2000 Masayoshi Son เจ้าของ Softbank ซึ่งถือหุ้น Yahoo, E-Trade , Geocities เคยรวยถึง$ 76 billion รวยกว่า Bill Gates เสียอีก แต่มันก็เป็นเพียงช่วงสั้นมากเท่านั้น เนื่องจากในช่วงนั้น หุ้น Internet มีราคาที่ overvalued มากๆๆๆๆ
แต่ถ้าเราตั้งสมมติฐานว่า ราคาหุ้น Berkshire สะท้อนพื้นฐานของบริษัท ราคาที่ว่าก็สะท้อนถึงการลงทุนในตลาดหุ้นน้อยลงไปทุกทีครับ ปี 1997 asset ของ Berkshire ถึง 73% เป็นการลงทุนในตลาดหุ้น พอมาถึงปี 2002 การลงทุนในตลาดคิดเป็นเพียง 26% ของ asset ของ Berkshire เท่านั้นครับ พักหลัง Buffett หันไปซื้อบริษัทนอกตลาดมากขึ้นๆ ซึ่งปี 2002 คิดเป็น 30% ของ asset ของ ฺBerkshire ทีเดียว การซื้อบริษัทนอกตลาดของ Buffett เป็นความสามารถเฉพาะตัวซึ่งยากที่ใครจะเลียนแบบ ซึ่งผู้ถือหุ้น Berkshire ก็กังวลไม่น้อยว่าตรงจุดนี้ใครจะมาทำแทน Buffett ได้ เจ้าของบริษัทหลายๆแห่งที่อยากจะรักษาวัฒนธรรมองคํกรและเอกลักษณ์ของบริษัทไว้ ขณะเดียวกันก็อยากจะมีสภาพคล่องและยังทำงานในบริษัทต่อไป จะเลือกขายบริษัทให้ Buffett ในราคาที่สมเหตุผลแทนที่จะเอาบริษัทเข้าตลาดหรือขายให้คนอื่น Buffett สร้างความน่าเชื่อถือตรงนี้ไว้อย่างยาวนานมากว่าพอซื้อบริษัทมาแล้วจะไม่เข้าไปปรับเปลี่ยนซึ่ง Buffett จะบริหารแบบไม่เข้าไปบริหาร Buffett จะคอยให้คำปรึกษาเมื่อถูกร้องขอ และจะเน้นเรื่อง asset allocation เท่านั้น ส่วนนี้มีความสำคัญกับ Berkshire มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่ง Buffett เองก็บอกว่ามองตัวเองเป็น manager มากขึ้นๆ
อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ครับว่า วันนี้ของท่านมาจากการลงทุนในตลาดหุ้นและเป็นการใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบเน้นคุณค่า จึงน่าจะสรุปได้ว่า การลงทุนแบบ VI นั้นสามารถสร้างความมั่งคั่งได้แน่
สรุปของสรุปก็คือ ทั้ง Gates และ Buffett ต่างก็ประสบความสำเร็จในแง่ที่ได้ทำงานที่ตัวเองรัก ซึ่งจริงๆแล้วอาจจะเป็นความสำเร็จที่เราๆสามารถไข่วคว้าได้ไม่ยากนัก เมื่อไรที่เราได้ทำงานที่ตัวเองรัก เราอาจจะพอลืมๆคำว่าอิสรภาพทางการเงินลงไปได้บ้าง นักกีฬาประเภทอื่นที่หันไปเล่นเทนนิสเพียงเพราะเห็นภราดรทำเงินได้มากมายคงประสบความสำเร็จได้ยากฉันใด คนที่เข้ามาลงทุนในตลาดเพียงเพราะอยากรวยก็คงจะประสบความสำเร็จได้ยากฉันนั้น ผมว่านักลงทุนที่จะประสบความสำเร็จได้ต้องมีความรักในกระบวนการครับ ความเห็นส่วนตัวนะครับ บางท่านอาจจะไม่เห็นด้วย

เรามากันถูกทางกันแล้วใช่ไหม เพราะวอร์เรน บัฟเฟตต์..

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ย. 19, 2004 12:58 pm
โดย WEB
ข้างบนผมเองครับ WEB ผมว่าผม log in แล้วนะ แฮะๆ

เรามากันถูกทางกันแล้วใช่ไหม เพราะวอร์เรน บัฟเฟตต์..

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ย. 19, 2004 1:10 pm
โดย chatchai
เห็นด้วยกับคุณ WEB 100% ครับ

ผมคิดว่าตัวเองโชคดีพอสมควรที่สามารถค้นหางานที่ตัวเองรัก และงานนั้นก็ให้ผลตอบแทนที่ดีได้รวดเร็วพอควร ผมว่าหลายคนในโลกนี้ยังไม่รู้ว่าตัวเองรักที่จะทำงานอะไร เรียกว่ายังค้นหาตัวเองไม่เจอ และหลายคนก็หลงทางต้องไปทำงานที่ตัวเองไม่ได้รัก เพราะผลตอบแทนของงานนั้นมันยั่วยวนใจ (ผมว่าหลายคนที่เข้ามาซื้อขายหุ้นก็เพราะผลตอบแทนที่สูงนั้นเอง)

การที่คนบางคนมีเงินมากมายเรียกว่าใช้หลายชาติก็ยังไม่หมด แต่ก็ยังไม่มีอิสระภาพทางการเงิน เนื่องจากกิจการของครอบครัวที่ต้องบริหารต่อนั้นไม่ใช่งานที่ตัวเองใฝ่ฝันไว้ แต่ยังคงต้องทำเนื่องจากกิจการนั้นเป็นมรดกตกทอดมาจากรุ่นก่อนๆ

เรามากันถูกทางกันแล้วใช่ไหม เพราะวอร์เรน บัฟเฟตต์..

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ย. 19, 2004 3:50 pm
โดย ลูกอิสาน
เข้าใจว่าคุณเทียม โชควัฒนา เคยกล่าวประโยคอมตะไว้ว่า

"การทำงานคือการพักผ่อน"

กวีคาลิล ยิบราน ผู้ประพันธ์ปรัชญาชีวิต ก็กล่าวในเรื่องการงาน ไว้ว่า

"การงานคือความรักปรากฎตนเป็นรูปร่าง
และถ้าเธอไม่อาจประกอบการงานได้โดยมีความรัก
แต่ด้วยความจำใจเบื่อหน่าย เธอก็ควรวางมือ และไปนั่งตามประตูโบสถ์
ขอทานท่านผู้ทำงานด้วยความชื่นชมจะดีกว่า

เพราะถ้าเธอปิ้งขนมปังอย่างไม่แยแส เธอก็จะได้ขนมปังอันมีรสขม
และบรรเทาความหิวโหยของมนุษย์ได้เพียงครึ่งเดียว

และถึงแม้เธอจะร้องเพลงได้ด้วยเสียงดุจเทพธิดา
แต่ถ้าเธอมิได้รักการร้องเพลงนั้น
เธอจะทำให้หูของมนุษย์หนวกต่อสำเนียงของวันและคืน"



ผมเห็นด้วยครับว่าคนที่ทำงานที่ตนเองรัก และงานนั้นสามารถเลี้ยงปากเลี้ยงท้องได้เป็นคนที่มีชีวิตน่าอิจฉามากครับ

แต่ปัญหาก็คือบางคนหาตัวเองไม่เจอนี่ซิครับคือไม่รู้ว่าตนเองถนัดหรือชอบงานแบบไหน หรืออาจจะรู้ว่าตัวเองชอบงานแบบไหน แต่งานนั้นให้รายได้ไม่พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องนี่ซิครับ :roll:

และผมคิดว่าหลายคนที่ยังหาตัวเองไม่เจอ หากได้รับการบันดาลใจจากบุคคลที่ประสบความสำเร็จ ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดีครับ เพราะหลายครั้งเราไม่รู้ว่าเราชอบงานนั้นหรือเปล่า จะรู้ก็ต่อเมื่อเราได้ลองทำงานนั้น และการได้ทำงานซ้ำๆ ก็ทำให้เกิดความรักในการงานนั้นเช่นกันครับ


ผมเห็นด้วยกับคุณ WEB ครับว่าสินทรัพย์ของทั้งของ Bill Gate และ Warren
จะผันผวนไปตามราคาหุ้นในตลาด และหากเป็นอย่างที่คุณ WEB ว่าไว้ 74% ของสินทรัพย์วอร์เรน อยู่นอกตลาดหุ้นซึ่งไม่มีราคาตลาด ดังนั้นมักจะใช้ราคาตามบัญชีในการวัดมูลค่า ในขณะที่กิจการที่อยู่ในตลาดจะใช้ราคาตลาดวัดมูลค่า ซึ่งมักจะสูงกว่ามูลค่าทางบัญชีมากทีเดียว อาจจะหลายเท่า
ดังนั้นผมก็ตั้งสมมุติฐานได้ไหมครับว่า หากใช้มาตรฐานเดียวกันในการวัดมูลค่าสินทรัพย์ Warren น่าจะรวยกว่า Bill Gate ไปแล้ว :roll:

เรามากันถูกทางกันแล้วใช่ไหม เพราะวอร์เรน บัฟเฟตต์..

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ย. 19, 2004 4:46 pm
โดย WEB
คุณลูกอีสานครับ ผมเข้าใจว่า Berkshire บันทึกมูลค่าหุ้นบริษัทจดทะเบียนที่ถืออยู่ตามราคาตลาดครับ ( ซึ่ง Buffett ก็ยอมรับว่าราคาหุ้นหลายๆตัวแพงเกินไป) ส่วนกิจการนอกตลาดนั้น Berkshire จะบันทึกตามราคาต้นทุนที่ซื้อมาซึ่งส่วนใหญ่จะสูงกว่ามูลค่าตามบัญชีครับ ซึ่งจะเกิดรายการค่าความนิยมที่ Berkshire จะต้องตัดจำหน่ายไปในแต่ละปี อีกข้อหนึ่งก็คือ ราคาหุ้น Berkshire สูงกว่ามูลค่าตามบัญชีของ Berkshire ครับ( เมื่อสิ้นปี 2003 อยู่ที่ $ 50,498 )
ข้างต้นเป็นเพียงข้อมูลครับ ผมก็ไม่ทราบครับว่าหากเราเอา intrinsic value มาคิดแล้วใครจะเป็นที่ 1 ผมเพียงแต่คิดว่าทั้ง 2 ท่านคงมองข้ามเรื่องนี้ไปแล้ว จริงๆแล้วผมเองก็เชียร์ Buffett มากกว่าครับ ก็ท่านเป็นต้นแบบในแวดวงการลงทุนนี่ครับ แทบจะไม่มีวันไหนเลยครับที่ผมไม่ได้พูดถึง Buffett
ผมเห็นด้วยกับคุณลูกอีสานครับว่าหลายๆคนไม่รู้ครับว่าตัวเองชอบอะไร และถึงรู้บางทีสิ่งนั้นก็ไม่สามารถเลี้ยงชีพได้ ก็คงต้องเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่หลากหลายครับเผื่อจะเจอสิ่งที่เราชอบ ส่วนที่ว่าจะเลี้ยงชีพได้มั้ย บางทีมันก็อยู่ที่ว่าเราชอบมันมากขนาดไหนเหมือนกัน ผมไม่ทราบนะครับแต่เข้าใจว่ากว่าที่อ. เฉลิมชัยจะขายรูปได้แพงๆ คงต้องวาดทิ้งวาดแจกไปพอดูเหมือนกัน แต่ต้องยอมรับครับว่าลำบากเหมือนกันหากสิ่งที่เราชอบให้ผลตอบแทนต่ำ แต่ในทางกลับกันผมว่าเราไม่ควรทำกิจกรรมหนึ่งๆด้วยเหตุผลเรื่องผลตอบแทนสูงๆเป็นหลักโดยไม่ได้พิจารณาว่าเรามีความถนัดหรือไม่ ผมว่าโลกเราเป็นโลกเฉพาะทางครับ ทำให้เชี่ยวชาญแล้วน่าจะเกิดผลครับ หากตอน Telecom บูมสุดขีด Aprint, S&P, TR หันไปทำด้วยคงจะยุ่งน่าดูครับ

เรามากันถูกทางกันแล้วใช่ไหม เพราะวอร์เรน บัฟเฟตต์..

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ย. 19, 2004 5:19 pm
โดย นักดูดาว
ผมไม่คิดว่าการทบต้นแบบธรรมดาจะทำให้ผลตอบแทนดีขนาดนั้นนะครับ
หากไม่มีการลงทุนสำคัญๆ อย่าง General Re, Geico ของบัฟเฟต หรือ MS-DOS, Windows ของเกตส์ คงไม่ประสบความสำเร็จขนาดนี้

เรามากันถูกทางกันแล้วใช่ไหม เพราะวอร์เรน บัฟเฟตต์..

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ย. 19, 2004 8:02 pm
โดย chatchai
ผมว่าระบบการศึกษาระดับมัธยมของประเทศเราน่าจะเปลี่ยนแปลงได้แล้วนะครับ ปัจจุบันเน้นแต่การศึกษาด้านวิชาการเท่านั้น เพียงเพื่อให้สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้คะแนนสูงๆ

นักเรียนก็หวังที่จะสอบเข้าแต่คณะดังๆ ที่จบแล้วมีงานดีเงินเดือนเยอะ โดยไม่มีความรู้เลยว่าอาชีพนั้นๆ ในแต่ละวันทำงานอย่างไร ต้องประสบเจออะไรบ้าง แล้วตัวเองชอบหรือรักที่จะทำงานประเภทไหน

พอเรียนจบก็ต้องทนทำงานอาชีพนั้นแบบไม่ค่อยมีความสุขหนัก ถ้าใครเปลี่ยนอาชีพได้ก็เปลี่ยน วิชาความรู้ที่เรียนมาก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์ต่อสังคม

ถ้าเราเน้นให้นักเรียนระดับมัธยมได้เรียนรู้อาชีพต่างๆมากขึ้น ผมว่าคงจะช่วย PUT MAN ON THE RIGHT JOB ได้นะครับ

และเราคงจะเห็นคนจบวิศวะ แพทย์ อยู่ในงานสายการเงินน้อยลง

เรามากันถูกทางกันแล้วใช่ไหม เพราะวอร์เรน บัฟเฟตต์..

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 20, 2004 12:21 am
โดย Amorna
เห็นด้วยกับพี่ฉัตรชัย คุณ WEB และพี่ๆ ค่ะ

การทำงานเพื่อหวังเงิน แตกต่างกับการทำงานเพราะความสนุกอย่างสิ้นเชิง

สังคมของไทยเราชอบวัดความสำเร็จของคนที่เงิน โดยลืมไปว่า คุณภาพของงานต่างหากที่ทำให้คนเป็นคนที่มีคุณค่า...ส่งผลให้ระบบการศึกษาไทย ไม่สามารถสะท้อนคุณภาพของประชาชนได้

เมื่อไหร่หนอที่ลูกหลานเราจะได้เรียน ในสิ่งที่ตนสนใจจริงๆ มิใช่ปัจจัยการยอมรับจากบุคคลภายนอก เพราะตราบใดที่ยังเลือกเรียนตามกระแสสังคมอยู่ เค้าจะไม่สามารถดึงศักยภาพที่มีอยู่มาใช้ได้อย่างเต็มที่

เรามากันถูกทางกันแล้วใช่ไหม เพราะวอร์เรน บัฟเฟตต์..

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 20, 2004 1:38 am
โดย harry
ทำงานในสิ่งที่ชอบ แต่ก็ต้องมีรายได้พอกินพอใช้ด้วยครับ อยากให้ข้าราชการไม่โกงกิน ก็ให้เงินเดือนพอกินก่อนครับ เงินเดือน 4-5000 บาท จะไปพอได้งัย แต่พวกนักการเมืองนี่ผมว่าเยอะแล้วนะ เรื่องโกงกินมันโลภมากเองอ่ะ ของอย่างนี้มันแก้ยาก

เรามากันถูกทางกันแล้วใช่ไหม เพราะวอร์เรน บัฟเฟตต์..

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 20, 2004 10:20 am
โดย WEB
ความเห็นผม ผมว่า คนที่ทุ่มเทกับงานที่ตัวเองรักและมีความถนัด จะมีโอกาสประสบความสำเร็จสูงขึ้นอีกมาก แม้ว่ามันจะรับประกันไม่ได้ก็ตาม ความสำเร็จอันลือลั่นที่เราเห็น ๆ กันอยู่ บางครั้งก็เกิดจากส่วนผสมหลายอย่าง จนดูเหมือนเป็นประสบการณ์เฉพาะบุคคลไป อย่างความสำเร็จของ Gates แม้ว่าจะเกิดจากความรัก, ความถนัด และความทุ่มเทส่วนหนึ่ง แต่ก็ยังมีองค์ประกอบอย่างอื่น ๆ อย่างเช่น การได้เรียนในโรงเรียนที่มีคอมพิวเตอร์ใช้ เนื่องจากครอบครัวมีฐานะ (ช่วงนั้นมีโรงเรียนเพียงไม่กี่แห่งที่มีคอมพิวเตอร์) , การมีเพื่อนที่เสริมกันอย่าง Paul Allen , การเกิดถูกประเทศถูกเวลา, การที่คู่แข่งมองข้ามมองพลาด จะเห็นได้ว่าหลาย ๆ อย่างเป็นสิ่งที่ Gates ควบคุมไม่ได้ Buffett เองก็เคยบอกว่า หากเขาเกิดในยุคโบราณ เขาก็คงเป็นได้แค่อาหารสัตว์ เนื่องจากเขาวิ่งช้าและปีนต้นไม้ไม่เป็น ถ้าเขาไปเกิดในประเทศเปรู ความสามารถในการลงทุนของเขาก็จะไม่มีความหมายอะไรเลย

เรามากันถูกทางกันแล้วใช่ไหม เพราะวอร์เรน บัฟเฟตต์..

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 24, 2004 11:03 pm
โดย Boring Stock Lover
พอดีเห็นผลของปีนี้ เลยตัดตอนมาฝาก

Bill Gates may not have had much of a pay raise this year, but he did manage to add $2 billion to his fortune, bringing the total to $48 billion and keeping him on top of the Forbes 400 list of the wealthiest Americans.

And while being a billionaire isn't as prestigious as it used to be--there are 313 on the list this year, compared with 262 last year--Gates is a couple of lengths ahead of his nearest competitor, the legendary "Sage of Omaha" investor Warren Buffett, who has $41 billion. And Gates is half the track ahead of No. 3 Paul Allen, who sits on a mere $20 billion, after dropping $2 billion since last year.

This is the 11th year that Gates has topped the Forbes list.

เรามากันถูกทางกันแล้วใช่ไหม เพราะวอร์เรน บัฟเฟตต์..

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ย. 25, 2004 11:55 pm
โดย ผ่านมา
ผมมีความเห็นที่แตกต่าง แต่ไม่กล้าเสนอเพราะมันจะกระทบหลักการ ของVI พันธ์แท้ อยู่บ้าง เดี่ยวจะหาว่ามาป่วน :lol:

คุณฉัตรชัยตอบได้โดนใจจริงๆครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 27, 2004 2:46 am
โดย Muffin
คุณฉัตรชัยตอบได้โดนใจจริงๆครับ
ในเรื่องงานและความชอบ และธุรกิจครอบครัว

เรามากันถูกทางกันแล้วใช่ไหม เพราะวอร์เรน บัฟเฟตต์..

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 27, 2004 9:56 pm
โดย Mon money
คุณผ่านมาตอบได้ครับ ถ้าเห็นต่างกัน จะกลัวอะไรถ้าคุณเสนออย่างสุภาพ ทุกคนที่ไม่เห็นด้วยก็ตอบชี้แจงไปตามความเห็น ผมไม่เคยเห็นมีใครด่าคนที่เห็นต่างกันในนี้ นอกจากมีคนมาเหน็บผมเล็กๆน้อยๆตอนไม่ยอมบอกว่าเล่นหุ้นอะไร

เรามากันถูกทางกันแล้วใช่ไหม เพราะวอร์เรน บัฟเฟตต์..

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ย. 28, 2004 3:53 pm
โดย ForrestGump
เห็นด้วยกับคุณ มน ครับ

คุณ คนผ่านมา แสดงความคิดเห็นที่แตกต่างในเวปนี้ได้อยู่แล้ว ดีเสียอีกที่ได้พูดคุยกัน ด้วยเหตุผล ด้วยความรู้ ด้วยประสบการณ์ ด้วยมุมมอง ที่ไม่เหมือนกัน บางทีเราอาจจะได้รู้จุดอ่อนของการลงทุน เพื่อนำไปแก้ไข ว่ากันมาเลยครับ เพราะเพื่อนๆในเวปนี้ ยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างได้ (ไม่เหมือน "คนทีคุณก็รู้่ว่าใคร" ที่ถ้าคุณไม่เห็นด้วยแล้ว อาจจะด่าคุณว่า คุณมันโง่เกินกว่าจะรู้ทันผม หรอกครับ คุ้นๆ มั้ยครับ อิอิ :lol:

แล้วใครที่เข้าเวปนี้เพื่อหาเลขเด็ดจากที่นี่ ก็คงผิดวัตถุประสงค์ครับ เพราะเวปนี้ ต้องการแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์ เพื่อให้มีความรู้ความสามารถไปวิเคราะห์ เพื่อเลือกแนวทางการลงทุนได้เอง จริงมั้ยครับ คุณ มน

เอ ว่าแต่คุณ มน ว่า วันนี้ซื้อหุ้นอะไรดีครับ :-)