ลงทุนอย่างมีความสุข Happy Investing / BuffettCode
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 09, 2018 6:04 pm
แม้หุ้นจะตกลงมามากแต่หุ้นบางตัวก็ยังไม่อยู่ในข่ายที่ราคาถูกเลย
หลายๆตัวแม้ตกลงมามากแต่ก็ยังคงแพง จะดูอย่างไรว่าหุ้นตัวนั้นเข้าข่าย "ปลอดภัย" สำหรับการลงทุนหรือยัง? ปัจจัยแบบไหนที่ทำให้หุ้นตัวนั้นสามารถเติบโตฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจได้? มุมมองแบบไหนที่เป็นมุมมองที่เหมาะสมสำหรับการลงทุน?
.
1. ราคาหุ้นมี Valuation ที่ถูกกว่าหุ้นในอุตสาหกรรมที่ใกล้เคียงกัน และถูกกว่าค่าเฉลี่ยตลาด เช่นอาจะดูที่ P/E, PEG, EV/EBITDA ที่ตำ่กว่าหรือมีอัตราการปันผลต่อราคาหุ้นในสัดส่วนสูงกว่า
.
2. แต่การจะดูหุ้นที่ราคาถูกนั้นต้องดูควบคู่กับคุณภาพของหุ้นตัวนั้นๆไปด้วยว่าดีหรือไม่? เช่น ดูว่าหุ้นตัวนั้นมีการเติบโตสมำ่เสมอมั้ย? มีอัตราการทำกำไรที่ดีขึ้นหรืออย่างน้อยๆให้สามารถรักษาอัตราการทำกำไรไว้ได้อย่างต่อเนื่อง เมื่อกำไรโตแล้วปันผลโตตามหรือไม่? มี Business model ที่แข็งแกร่ง และมีผู้บริหารที่มีความสามารถ
.
3. ดูประเภทของกิจการของหุ้นตัวนั้น ว่าเป็นกิจการประเภทไหน เป็นกิจการที่มีความเสี่ยงตำ่ในการดำเนินงานหรือไม่? เช่น กิจการค้าปลีก ย่อมมีความเสี่ยงตำ่กว่ากิจการค้านำ้มัน หรือโรงงานผลิตชิ้นส่วน OEM การลงทุนในธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง ไม่ว่าสภาวะตลาดแบบไหนก็ไม่สมควรลงทุน
.
4. หาหุ้นที่มีการเติบโตเฉพาะตัวที่ไม่อิงกับตลาดหรือสภาวะเศรษฐกิจของประเทศ หุ้นบางตัวจะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการดำเนินงานภายในครั้งใหญ่ ซึ่งทำให้ผลการดำเนินงานดีขึ้น แม้จะได้รับผลลบจากการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศที่ลดลงไปบ้าง แต่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในสร้างผลบวกที่ส่งผลมากกว่าผลลบหลายเท่า
.
5. เว้นการใช้ Margin และทำ Money management อย่างเคร่งครัด ในช่วงที่ตลาดผันผวน การ "บริหารเงินบนหน้าตัก" ให้ดีจะช่วยให้คุณไม่เครียด บริหารยังไง? เช่นไม่ซื้อหุ้นแบบทุ่มสุดตัว มีการทยอยซื้อ ทยอยขายบ้าง มันอาจไม่ทำให้คุณได้กำไรสูงสุด แต่มันจะช่วยให้คุณไม่ต้องเผชิญกับความเครียดสูงสุดเช่นกัน เมื่อไหร่ก็ตามที่คนเราเครียดมากๆ เรามักจะทำอะไรที่ไร้เหตุผล ขาดสติเสมอๆ การเข้าใจตัวเราเองว่าอะไรทำให้เราขาดสติ และป้องกันไม่ให้มันเกิดจะช่วยส่งผลให้คุณลงทุนแบบสบายใจได้มากขึ้น
.
6. มองหุ้นแบบการลงทุน ไม่ใช่การพนัน ราคาหุ้นคือผลสะท้อนของคุณค่าของกิจการ และอารมณ์ของนักลงทุนด้วย เมื่อมีเรื่องอารมณ์มาเกี่ยวข้องจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดความผันผวนแบบไร้เหตุผลเกิดขึ้นในระยะสั้น แต่ในระยะยาว (1-3-5 ปี) หากหุ้นที่เราเลือกนั้นมีคุณภาพอย่างแท้จริง ราคาหุ้นจะกลับมาสู่พื้นฐานที่มันควรจะเป็นเอง
.
7. เข้าใจธรรมชาติของตลาดหุ้นที่มีสภาวะคล้ายๆกับดินฟ้าอากาศ คือมีวันที่สดใส แต่ก็มีวันที่ฝนตกชุกอย่างหดหู่ ไม่มีใครฝืนธรรมชาติข้อนี้ได้ แต่เราสามารถบริหารจิตใจให้เข้าใจถึงธรรมขาติและยอมรับมันได้ การเป็นนักลงทุนที่ดีต้องเข้าใจกับธรรมชาติข้อนี้ ถ้าคุณลงทุนเพื่อชีวิต นั่นหมายถึงการลงทุนต่อเนื่องยาวนาน ต้องเจอกับเหตุการณ์เหล่านี้แน่นอน ขอให้มีสติ ทำความเข้าใจ และมองข้ามวิกฤตไปในอนาคตข้างหน้า
.
ในสภาวะตลาดแบบนี้ หลายๆคนท้อแท้ หลายๆคนหมดหวัง อย่าปล่อยให้ความผิดพลาดในอดีตซึ่งไม่มีใครแก้ไขได้มาทำให้คุณพลาดโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในอนาคตไป ไม่มีใครทำให้คุณประสบความสำเร็จได้นอกจากตัวของคุณเอง
.
สุดท้ายอย่าลืมว่าสิ่งที่สำคัญมากกว่าการลงทุนในตลาดหุ้น คือการลงทุนในตัวท่านเองครับ
.
ขอให้ทุกท่านลงทุนอย่างมีความสุขครับ
หลายๆตัวแม้ตกลงมามากแต่ก็ยังคงแพง จะดูอย่างไรว่าหุ้นตัวนั้นเข้าข่าย "ปลอดภัย" สำหรับการลงทุนหรือยัง? ปัจจัยแบบไหนที่ทำให้หุ้นตัวนั้นสามารถเติบโตฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจได้? มุมมองแบบไหนที่เป็นมุมมองที่เหมาะสมสำหรับการลงทุน?
.
1. ราคาหุ้นมี Valuation ที่ถูกกว่าหุ้นในอุตสาหกรรมที่ใกล้เคียงกัน และถูกกว่าค่าเฉลี่ยตลาด เช่นอาจะดูที่ P/E, PEG, EV/EBITDA ที่ตำ่กว่าหรือมีอัตราการปันผลต่อราคาหุ้นในสัดส่วนสูงกว่า
.
2. แต่การจะดูหุ้นที่ราคาถูกนั้นต้องดูควบคู่กับคุณภาพของหุ้นตัวนั้นๆไปด้วยว่าดีหรือไม่? เช่น ดูว่าหุ้นตัวนั้นมีการเติบโตสมำ่เสมอมั้ย? มีอัตราการทำกำไรที่ดีขึ้นหรืออย่างน้อยๆให้สามารถรักษาอัตราการทำกำไรไว้ได้อย่างต่อเนื่อง เมื่อกำไรโตแล้วปันผลโตตามหรือไม่? มี Business model ที่แข็งแกร่ง และมีผู้บริหารที่มีความสามารถ
.
3. ดูประเภทของกิจการของหุ้นตัวนั้น ว่าเป็นกิจการประเภทไหน เป็นกิจการที่มีความเสี่ยงตำ่ในการดำเนินงานหรือไม่? เช่น กิจการค้าปลีก ย่อมมีความเสี่ยงตำ่กว่ากิจการค้านำ้มัน หรือโรงงานผลิตชิ้นส่วน OEM การลงทุนในธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง ไม่ว่าสภาวะตลาดแบบไหนก็ไม่สมควรลงทุน
.
4. หาหุ้นที่มีการเติบโตเฉพาะตัวที่ไม่อิงกับตลาดหรือสภาวะเศรษฐกิจของประเทศ หุ้นบางตัวจะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการดำเนินงานภายในครั้งใหญ่ ซึ่งทำให้ผลการดำเนินงานดีขึ้น แม้จะได้รับผลลบจากการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศที่ลดลงไปบ้าง แต่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในสร้างผลบวกที่ส่งผลมากกว่าผลลบหลายเท่า
.
5. เว้นการใช้ Margin และทำ Money management อย่างเคร่งครัด ในช่วงที่ตลาดผันผวน การ "บริหารเงินบนหน้าตัก" ให้ดีจะช่วยให้คุณไม่เครียด บริหารยังไง? เช่นไม่ซื้อหุ้นแบบทุ่มสุดตัว มีการทยอยซื้อ ทยอยขายบ้าง มันอาจไม่ทำให้คุณได้กำไรสูงสุด แต่มันจะช่วยให้คุณไม่ต้องเผชิญกับความเครียดสูงสุดเช่นกัน เมื่อไหร่ก็ตามที่คนเราเครียดมากๆ เรามักจะทำอะไรที่ไร้เหตุผล ขาดสติเสมอๆ การเข้าใจตัวเราเองว่าอะไรทำให้เราขาดสติ และป้องกันไม่ให้มันเกิดจะช่วยส่งผลให้คุณลงทุนแบบสบายใจได้มากขึ้น
.
6. มองหุ้นแบบการลงทุน ไม่ใช่การพนัน ราคาหุ้นคือผลสะท้อนของคุณค่าของกิจการ และอารมณ์ของนักลงทุนด้วย เมื่อมีเรื่องอารมณ์มาเกี่ยวข้องจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดความผันผวนแบบไร้เหตุผลเกิดขึ้นในระยะสั้น แต่ในระยะยาว (1-3-5 ปี) หากหุ้นที่เราเลือกนั้นมีคุณภาพอย่างแท้จริง ราคาหุ้นจะกลับมาสู่พื้นฐานที่มันควรจะเป็นเอง
.
7. เข้าใจธรรมชาติของตลาดหุ้นที่มีสภาวะคล้ายๆกับดินฟ้าอากาศ คือมีวันที่สดใส แต่ก็มีวันที่ฝนตกชุกอย่างหดหู่ ไม่มีใครฝืนธรรมชาติข้อนี้ได้ แต่เราสามารถบริหารจิตใจให้เข้าใจถึงธรรมขาติและยอมรับมันได้ การเป็นนักลงทุนที่ดีต้องเข้าใจกับธรรมชาติข้อนี้ ถ้าคุณลงทุนเพื่อชีวิต นั่นหมายถึงการลงทุนต่อเนื่องยาวนาน ต้องเจอกับเหตุการณ์เหล่านี้แน่นอน ขอให้มีสติ ทำความเข้าใจ และมองข้ามวิกฤตไปในอนาคตข้างหน้า
.
ในสภาวะตลาดแบบนี้ หลายๆคนท้อแท้ หลายๆคนหมดหวัง อย่าปล่อยให้ความผิดพลาดในอดีตซึ่งไม่มีใครแก้ไขได้มาทำให้คุณพลาดโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในอนาคตไป ไม่มีใครทำให้คุณประสบความสำเร็จได้นอกจากตัวของคุณเอง
.
สุดท้ายอย่าลืมว่าสิ่งที่สำคัญมากกว่าการลงทุนในตลาดหุ้น คือการลงทุนในตัวท่านเองครับ
.
ขอให้ทุกท่านลงทุนอย่างมีความสุขครับ