หนีเป็นยอดกลยุทธ์
โพสต์แล้ว: อังคาร มิ.ย. 19, 2018 9:08 am
หนีเป็นยอดกลยุทธ์
.
ชนะสิบครั้งอาจจะมาพังได้เพราะความพ่ายแพ้แค่ครั้งเดียว แม่ทัพอัจฉริยะระดับโลกเช่น นโปเลียน ที่สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ในหลายสมรภูมิ แต่เมื่อพ่ายแพ้ในศึกสำคัญที่รัสเซียแล้วประสบความล้มเหลวในการวางแผนถอยทัพ ก็ทำให้ชะตาชีวิตจากที่เคยรุ่งโรจน์กลับพลิกผันกลายเป็นตกต่ำได้ หรือนักลงทุนที่ลงทุนแล้วได้กำไรมาตลอดแต่พอผิดพลาดครั้งเดียวก็ต้องกำไรที่ได้มาทั้งหมดไป ดังนั้นแล้วนอกจากความเชี่ยวชาญในการวางแผนรุก การมีกลยุทธ์ในการถอยสำรองเอาไว้ ถ้าหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดหรือไม่เป็นใจขึ้นนั้น จึงเป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน เพราะในสถานการณ์ที่ไม่เป็นผลดีนั้น มีทางออกอยุ่ 3 ทางนั่นคือ ยอมจำนน, เจรจาสงบศึก และ ถอยทัพ ซึ่งทั้ง 3 ทางออกนี้ มีเพียงการถอยทัพเท่านั้นที่ยังมีโอกาสพลิกสถานการณ์กลับมาชนะได้
.
กลยุทธ์ในการถอยมักจะมีวัตถุประสงค์สำคัญคือการรักษาผู้นำกองทัพหรือรักษากำลังรบส่วนใหญ่ เช่นในศึกอลองพญา เมื่อกองทัพพม่ามาล้อมกรุงศรีอยุทธยาไว้แล้วกำลังจะได้รับชัยชนะ แต่เมื่อผู้นำกองทัพคือพระเจ้าอลองพญาล้มป่วยกะทันหัน เหล่าแม่ทัพพม่าจึงต้องเปลี่ยนแผนจากการยึดกรุงเป็นการวางแผนถอย โดยให้ทหารที่เก่งที่สุดเป็นแนวหลัง เพื่อให้ผู้นำคนสำคัญและกำลังหลักถอยไปได้อย่างปลอดภัย และในอีก 8 ปีต่อมาเหล่าขุนพลพม่าและลูกๆของพระเจ้าอลองพญาที่รอดกลับไปก็เป็นผู้นำทัพยึดกรุงศรึอยุทธยาในสงครามเสียกรุงครั้งที่ 2
.
ส่วนกลยุทธ์การหนีเพื่อรักษากำลังรบที่โด่งดังและคลาสสิคที่สุด เห็นจะเป็นการถอยที่เมือง 'ดันเคิร์ก' ของกองทัพสัมพันธมิตรในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
.
การถอยครั้งนี้มีสาเหตุมาจากการที่กองทัพเยอรมันสามารถเอาชนะเบลเยียมได้เร็วกว่าที่ผู้บัญชาการรบฝ่ายสัมพันธมิตรคาดการณ์ไว้ ทำให้กองทัพอังกฤษและฝรั่งเศสที่ส่งไปช่วยรบในพรมแดนเบลเยียมถูกปิดล้อมโดยกองทัพเยอรมัน
.
วินสตัน เชอชิล นายกรัฐมนตรีอังกฤษในขณะนั้น จึงตัดสินใจใช้ปฏิบัติการณ์ไดนาโม ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักคือ ถอนทหารทั้งหมดข้ามช่องแคบฝรั่งเศสกลับมายังอังกฤษ โดยระดมเรือทุกชนิดทั้งเรือรบ เรือขนส่ง เรือประมง มาช่วยในปฎิบัติการนี้ทำให้สามารถรักษาชีวิตทหารเกือบ 4 แสนนายไว้ได้ แม้ว่าจะต้องทำลายอาวุธยุทธโธปกรณ์และเผาคลังน้ำมันทิ้งทั้งหมด นับเป็นความสูญเสียที่ไม่น้อยเลยทีเดียว...
เช่นเดียวกับกรณีของกองทัพพม่า เหล่าทหารที่รอดชีวิตกลับมานั้นก็กลับมาเป็นกำลังหลักในการรบกับกองทัพนาซีจนกลายมาเป็นผู้ชนะสงครามได้
.
ในฐานะนักลงทุน เราได้ข้อคิดอะไรจากแผนการถอยทัพที่ดันเคิร์ก?...
สำหรับในโลกการลงทุน สิ่งที่แน่นอนที่สุดก็คือความไม่แน่นอน มันอาจจะมีเหตุการณ์ร้อยแปดพันประการที่ทำให้การเคลื่อนไหวของราคาหุ้น ผลประกอบการ หรือการดำเนินธุรกิจไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวังไว้ สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดเมื่อสถานการณ์ไม่เป็นใจก็คงหนีไม่พ้นการถอย และคงไม่ต่างจากการทำศึกสงครามนั่นคือ ‘เราต้องถอยอย่างมีชั้นเชิง มีการวางแผนล่วงหน้า ไม่ใช่หนีแบบไม่ลืมหูลืมตา (panic) เพราะมันอาจจะส่งผลเสียรุนแรงกว่าที่ควรจะเป็นได้’
.
จากเหตุการณ์ที่ดันเคิร์ก เราจึงสามารถนำมาประยุกต์เข้ากับกลยุทธ์การหนีในโลกการลงทุนได้ดังนี้
.
1. เมื่อประเมินแล้วว่าสถานการณ์เริ่มไม่เป็นใจ และอาจเกิดผลเสียมากกว่าผลดี การถอยออกมาดูท่าทีก่อนน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่ต้องมีวัตถุประสงค์หลักคือเพื่อรักษากำลังพลให้มากที่สุด ดังนั้น การวางแผนถอยในการลงทุนก็ต้องทำไปเพื่อรักษากำไรที่ได้มา หรือปกป้องเงินลงทุนของเราให้ได้มากที่สุดเช่นกัน ทั้งนี้เราควรวางแผนตัดสินใจล่วงหน้าอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้อารมณ์ชักนำจนหน้ามืด
.
2. การเปลี่ยนกลยุทธ์อย่างกะทันหันเป็นเรื่องที่จำเป็น โดยปกติการลงทุนในหุ้นมักจะเป็นกลยุทธ์เชิงรุกเพราะทุกต้องการหาหุ้นที่จะซิ่งที่สุดเพื่อให้กำไรมากที่สุด แต่สถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน นักลงทุนมักจะผิดพลาดที่ยังคงใช้กลยุทธ์เชิงรุกต่อไป เช่นถือจนเลยจุด cut loss หรือซื้อถัวเฉลี่ยไปเรื่อยๆ ซึ่งอาจทำให้สูญเสียเงินจำนวนมากได้ ข้อคิดจากศึกอลองพญาสอนพวกเราว่าต่อให้โอกาสที่จะชนะอยู่ใกล้มือแค่ไหน เมื่อจำเป็นต้องเปลี่ยนแผนก็ต้องทำทันที หากกองทัพพม่ายังดึงดันจะทำสงครามต่อทั้งที่เสียผู้นำไป พม่าอาจจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ย่อยยับได้
.
3. การถอยที่ดันเคิร์ก สัมพันธมิตรไม่ลังเลที่จะต้องทำลายอาวุธยุทโธปกรณ์ตลอดจนเผาคลังน้ำมันทิ้งเพื่อไม่ให้ข้าศึกเอาไปใช้ การถอยทัพในตลาดหุ้นก็เช่นกัน อย่าลังเลที่จะ cut loss เพื่อรักษาเงินทุนหลัก การโลเลหรือรอลุ้นโดยไม่มีจุดหมายอาจจะให้ผลลัพธ์ที่เลวร้ายกว่าเดิมก็เป็นได้
.
4. กองทัพอังกฤษหลังจากถอยทัพแล้ว ต้องยอมเป็นฝ่ายตั้งรับอยู่หลายปีกว่าจะได้กลับไปเป็นฝ่ายรุกกลับใส่กองทัพเยอรมัน เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า ‘เมื่อถอยแล้วอย่ารีบร้อนผลีผลามในการเอาคืน’
.
นักลงทุนเป็นจำนวนมากเมื่อ cut loss แล้วก็คิดแต่จะถอนทุนคืนด้วยการรีบกลับไปซื้อใหม่ ซึ่งบางครั้งอาจจะทำให้ต้องถอยครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 หรือมากกว่านั้น ดังนั้น การเฝ้ามองสถานการณ์อย่างใจเย็นและรอคอยโอกาสที่ดีที่สุดจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทหาร การทำธุรกิจ และการลงทุน ...
จากเพจ UP Idea
https://www.facebook.com/upideatogether ... 6159785969
.
ชนะสิบครั้งอาจจะมาพังได้เพราะความพ่ายแพ้แค่ครั้งเดียว แม่ทัพอัจฉริยะระดับโลกเช่น นโปเลียน ที่สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ในหลายสมรภูมิ แต่เมื่อพ่ายแพ้ในศึกสำคัญที่รัสเซียแล้วประสบความล้มเหลวในการวางแผนถอยทัพ ก็ทำให้ชะตาชีวิตจากที่เคยรุ่งโรจน์กลับพลิกผันกลายเป็นตกต่ำได้ หรือนักลงทุนที่ลงทุนแล้วได้กำไรมาตลอดแต่พอผิดพลาดครั้งเดียวก็ต้องกำไรที่ได้มาทั้งหมดไป ดังนั้นแล้วนอกจากความเชี่ยวชาญในการวางแผนรุก การมีกลยุทธ์ในการถอยสำรองเอาไว้ ถ้าหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดหรือไม่เป็นใจขึ้นนั้น จึงเป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน เพราะในสถานการณ์ที่ไม่เป็นผลดีนั้น มีทางออกอยุ่ 3 ทางนั่นคือ ยอมจำนน, เจรจาสงบศึก และ ถอยทัพ ซึ่งทั้ง 3 ทางออกนี้ มีเพียงการถอยทัพเท่านั้นที่ยังมีโอกาสพลิกสถานการณ์กลับมาชนะได้
.
กลยุทธ์ในการถอยมักจะมีวัตถุประสงค์สำคัญคือการรักษาผู้นำกองทัพหรือรักษากำลังรบส่วนใหญ่ เช่นในศึกอลองพญา เมื่อกองทัพพม่ามาล้อมกรุงศรีอยุทธยาไว้แล้วกำลังจะได้รับชัยชนะ แต่เมื่อผู้นำกองทัพคือพระเจ้าอลองพญาล้มป่วยกะทันหัน เหล่าแม่ทัพพม่าจึงต้องเปลี่ยนแผนจากการยึดกรุงเป็นการวางแผนถอย โดยให้ทหารที่เก่งที่สุดเป็นแนวหลัง เพื่อให้ผู้นำคนสำคัญและกำลังหลักถอยไปได้อย่างปลอดภัย และในอีก 8 ปีต่อมาเหล่าขุนพลพม่าและลูกๆของพระเจ้าอลองพญาที่รอดกลับไปก็เป็นผู้นำทัพยึดกรุงศรึอยุทธยาในสงครามเสียกรุงครั้งที่ 2
.
ส่วนกลยุทธ์การหนีเพื่อรักษากำลังรบที่โด่งดังและคลาสสิคที่สุด เห็นจะเป็นการถอยที่เมือง 'ดันเคิร์ก' ของกองทัพสัมพันธมิตรในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
.
การถอยครั้งนี้มีสาเหตุมาจากการที่กองทัพเยอรมันสามารถเอาชนะเบลเยียมได้เร็วกว่าที่ผู้บัญชาการรบฝ่ายสัมพันธมิตรคาดการณ์ไว้ ทำให้กองทัพอังกฤษและฝรั่งเศสที่ส่งไปช่วยรบในพรมแดนเบลเยียมถูกปิดล้อมโดยกองทัพเยอรมัน
.
วินสตัน เชอชิล นายกรัฐมนตรีอังกฤษในขณะนั้น จึงตัดสินใจใช้ปฏิบัติการณ์ไดนาโม ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักคือ ถอนทหารทั้งหมดข้ามช่องแคบฝรั่งเศสกลับมายังอังกฤษ โดยระดมเรือทุกชนิดทั้งเรือรบ เรือขนส่ง เรือประมง มาช่วยในปฎิบัติการนี้ทำให้สามารถรักษาชีวิตทหารเกือบ 4 แสนนายไว้ได้ แม้ว่าจะต้องทำลายอาวุธยุทธโธปกรณ์และเผาคลังน้ำมันทิ้งทั้งหมด นับเป็นความสูญเสียที่ไม่น้อยเลยทีเดียว...
เช่นเดียวกับกรณีของกองทัพพม่า เหล่าทหารที่รอดชีวิตกลับมานั้นก็กลับมาเป็นกำลังหลักในการรบกับกองทัพนาซีจนกลายมาเป็นผู้ชนะสงครามได้
.
ในฐานะนักลงทุน เราได้ข้อคิดอะไรจากแผนการถอยทัพที่ดันเคิร์ก?...
สำหรับในโลกการลงทุน สิ่งที่แน่นอนที่สุดก็คือความไม่แน่นอน มันอาจจะมีเหตุการณ์ร้อยแปดพันประการที่ทำให้การเคลื่อนไหวของราคาหุ้น ผลประกอบการ หรือการดำเนินธุรกิจไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวังไว้ สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดเมื่อสถานการณ์ไม่เป็นใจก็คงหนีไม่พ้นการถอย และคงไม่ต่างจากการทำศึกสงครามนั่นคือ ‘เราต้องถอยอย่างมีชั้นเชิง มีการวางแผนล่วงหน้า ไม่ใช่หนีแบบไม่ลืมหูลืมตา (panic) เพราะมันอาจจะส่งผลเสียรุนแรงกว่าที่ควรจะเป็นได้’
.
จากเหตุการณ์ที่ดันเคิร์ก เราจึงสามารถนำมาประยุกต์เข้ากับกลยุทธ์การหนีในโลกการลงทุนได้ดังนี้
.
1. เมื่อประเมินแล้วว่าสถานการณ์เริ่มไม่เป็นใจ และอาจเกิดผลเสียมากกว่าผลดี การถอยออกมาดูท่าทีก่อนน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่ต้องมีวัตถุประสงค์หลักคือเพื่อรักษากำลังพลให้มากที่สุด ดังนั้น การวางแผนถอยในการลงทุนก็ต้องทำไปเพื่อรักษากำไรที่ได้มา หรือปกป้องเงินลงทุนของเราให้ได้มากที่สุดเช่นกัน ทั้งนี้เราควรวางแผนตัดสินใจล่วงหน้าอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้อารมณ์ชักนำจนหน้ามืด
.
2. การเปลี่ยนกลยุทธ์อย่างกะทันหันเป็นเรื่องที่จำเป็น โดยปกติการลงทุนในหุ้นมักจะเป็นกลยุทธ์เชิงรุกเพราะทุกต้องการหาหุ้นที่จะซิ่งที่สุดเพื่อให้กำไรมากที่สุด แต่สถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน นักลงทุนมักจะผิดพลาดที่ยังคงใช้กลยุทธ์เชิงรุกต่อไป เช่นถือจนเลยจุด cut loss หรือซื้อถัวเฉลี่ยไปเรื่อยๆ ซึ่งอาจทำให้สูญเสียเงินจำนวนมากได้ ข้อคิดจากศึกอลองพญาสอนพวกเราว่าต่อให้โอกาสที่จะชนะอยู่ใกล้มือแค่ไหน เมื่อจำเป็นต้องเปลี่ยนแผนก็ต้องทำทันที หากกองทัพพม่ายังดึงดันจะทำสงครามต่อทั้งที่เสียผู้นำไป พม่าอาจจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ย่อยยับได้
.
3. การถอยที่ดันเคิร์ก สัมพันธมิตรไม่ลังเลที่จะต้องทำลายอาวุธยุทโธปกรณ์ตลอดจนเผาคลังน้ำมันทิ้งเพื่อไม่ให้ข้าศึกเอาไปใช้ การถอยทัพในตลาดหุ้นก็เช่นกัน อย่าลังเลที่จะ cut loss เพื่อรักษาเงินทุนหลัก การโลเลหรือรอลุ้นโดยไม่มีจุดหมายอาจจะให้ผลลัพธ์ที่เลวร้ายกว่าเดิมก็เป็นได้
.
4. กองทัพอังกฤษหลังจากถอยทัพแล้ว ต้องยอมเป็นฝ่ายตั้งรับอยู่หลายปีกว่าจะได้กลับไปเป็นฝ่ายรุกกลับใส่กองทัพเยอรมัน เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า ‘เมื่อถอยแล้วอย่ารีบร้อนผลีผลามในการเอาคืน’
.
นักลงทุนเป็นจำนวนมากเมื่อ cut loss แล้วก็คิดแต่จะถอนทุนคืนด้วยการรีบกลับไปซื้อใหม่ ซึ่งบางครั้งอาจจะทำให้ต้องถอยครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 หรือมากกว่านั้น ดังนั้น การเฝ้ามองสถานการณ์อย่างใจเย็นและรอคอยโอกาสที่ดีที่สุดจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทหาร การทำธุรกิจ และการลงทุน ...
จากเพจ UP Idea
https://www.facebook.com/upideatogether ... 6159785969