หน้า 1 จากทั้งหมด 1

ลงทุนให้เหมาะกับตัวเอง โดย ชัชวนันท์ สันธิเดช

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 14, 2018 10:26 pm
โดย always24
ลงทุนให้เหมาะกับตัวเอง

การลงทุนหุ้นแบบเน้นพื้นฐานทั่วไปนั้น โดยส่วนตัวผมแบ่งออกเป็นสองประเภท ตาม “วิธีลงทุน” ดังนี้

หนึ่ง คือ ซื้อหุ้นที่พื้นฐานดีและกำลังโต

ลงทุนหุ้นประเภทนี้ไม่ยากเลย คือซื้อหุ้นที่กิจการดีเยี่ยมอยู่แล้ว และยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก ขณะที่โอกาสเจ๊งแทบจะไม่มี (หมายถึงธุรกิจแทบไม่มีโอกาสเจ๊ง ไม่ใช่ซื้อหุ้นแล้วจะไม่เจ๊ง)

ลักษณะของหุ้นประเภทนี้ก็คือ รายได้-กำไร มักจะโตเอาๆ ควบคู่ไปกับราคาหุ้นที่โตตามไปด้วย โดยมากก็เป็นไปตามนิยามของ growth stock ทั่วไปนั่นเอง

ถ้าเป็นเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ก็นำโดยพวกหุ้นค้าปลีก หุ้นโรงพยาบาล แต่ถ้าเป็นห้าปีที่ผ่านมา ที่โดดเด่นมากๆ คงไม่มีอะไรเกินไปกว่าหุ้นสนามบิน และยังมีที่รองๆ ลงมาอีกหลายเซคเตอร์

ทว่าข้อเสียของหุ้นประเภทนี้คือ ราคามักจะแพง เนื่องจากใครๆ ก็เห็นชัดอยู่แล้วว่าดี จึงมักแย่งกันเข้ามาซื้อ
ดังนั้น คนที่ซื้อหุ้นจำพวกนี้ มีโอกาสสูงที่จะได้ของแพง แม้โอกาสเจ๊งจะน้อย แต่ส่วนต่างกำไรที่ได้ก็จะไม่มากนัก

ที่ต้องระวังอีกอย่างก็คือ มีหลายเคสที่เป็นการโตหลอกๆ คือโตจาก potential ในอนาคตซึ่งเป็น “การคาดการณ์” แต่กำไรจริงยังไม่โต หรือโตไม่มาก พวกนี้หากซื้อเข้าไปแล้วมันไม่เป็นไปตามนั้น คือสิ่งที่หวังไว้ไม่เกิดขึ้น ก็มีโอกาสเจ็บตัวสูง

ตัวอย่างเช่น พวกหุ้นพลังงานทางเลือกที่เคยฮ็อตมากช่วง 4-5 ปีก่อน พวกนี้บางบริษัทไม่มีแผนการณ์ชัดเจนเท่าไรนัก แค่ออกข่าวว่ามีแผนจะทำ หุ้นก็วิ่งแล้ว หรือบางบริษัททำจริง แต่ทำออกมาแล้วไม่ดีอย่างที่ฝันกัน อันนี้นักลงทุนก็เจ็บหนักได้

และสอง คือการซื้อหุ้นที่กำลังมีปัญหา และราคาไม่ realize พื้นฐาน หรือไม่เล็งเห็นถึงโอกาสในอนาคต หรือไม่เล็งเห็นถึงผลบวกอื่นใด “ซึ่งตัวเรามองเห็น”

หุ้นบางตัวอาจไม่ได้มีกำไรมากมาย บางตัวถึงขนาด “ขาดทุน” อยู่ก็มี (พวกหุ้น turnaround ก็อยู่ในจำพวกนี้) หรือในเคสที่เบาอยู่คือยังกำไรอยู่ แต่อาจประสบปัญหาเล็กน้อย ทว่าราคาหุ้นหล่นลงมาฮวบฮาบเกินกว่าที่ควรจะเป็น

เขียนแค่นี้ท่านก็น่าจะพอเดาได้ว่า การจะลงทุนในแนวทางนี้ ต้องใช้ความสามารถสูงกว่าแนวทางแรก เพราะต้อง “เห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น” ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะแปลว่าคุณต้องมองเก่งกว่าคนอีกมากมาย

ข้อดีก็คือ การลงทุนในแนวทางนี้ หากประสบความสำเร็จ ก็มีโอกาสได้กำไรสูงมาก เช่น หากเลือกซื้อหุ้นที่กำลังมีปัญหาหนักๆ ราคาหุ้นอาจลดลง 50% จากภาวะปกติ (เทียบกับสถิติ PE เฉลี่ยของหุ้นตัวนั้น) แต่ปัญหานั้นเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นชั่วครั้งชั่วคราว พอบริษัทแก้ไขปัญหานั้นได้ ราคาจึงกลับเข้าสู่จุดเดิม เราก็จะได้กำไรถึง 50%

ข้อเสียก็คือ เนื่องจากเป็นการ “เล่นท่ายาก” หากพลาดพลั้งจึงอาจบาดเจ็บถึงตายได้ เช่น เข้าไปซื้อหุ้นที่คาดว่าธุรกิจกำลังแย่ แต่เดี๋ยวจะกลับมา ปรากฏว่ามองผิด คือปัญหานั้นหนักกว่าที่เราคิด สุดท้ายจึงกลับมาไม่ได้ กรณีอย่างนี้ มีโอกาสเสียเงินไปถึง 70-80% หรืออาจเสียทั้ง 100% เลยก็ได้ เพราะกิจการตายสนิท

ดังนั้น ใครที่กระดูกยังไม่แข็งจริง ยังไม่แนะนำให้ใช้วิธีนี้ หรือถ้าจะใช้ ให้เลือกหุ้นที่เจอปัญหาไม่หนัก คือกำไรยังมี แต่อาจจะลดลง เพื่อที่แม้มองผิด ก็อาจจะไม่ตายสนิท

และทั้งหมดนี้คือการแบ่งแยกประเภทการลงทุนแบบเน้นพื้นฐาน บนพื้นฐานของวิธีลงทุน ขอให้เลือกใช้ให้เหมาะกับตัวเองกันนะครับ