หุ้นซิ่งพลังงานทางเลือก - Billionaire VI
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 03, 2018 7:14 am
บริษัท ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี แต่ก่อนเคยทำธุรกิจอิฐมวลเบาภายใต้ชื่อ ซุปเปอร์บล๊อก แต่ธุรกิจไม่เติบโตมากนักเลยขายธุรกิจออกไปตอนปี 2556 แล้วเปลี่ยนมาทำโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนตั้งแต่นั้นมา
หลังจากนั้นบริษัทก็กู้เงินมาลงทุนจำนวนมากทำให้หนี้สินเพิ่มขึ้นจาก 973 ล้านเป็น 27,000 ล้านบาทในปี 2558 พร้อมข่าวการเปิดโรงไฟฟ้าอย่างคึกคักทำให้ราคาหุ้นกระโดดขึ้นไป 10 เท่าภายใน 1 ปีจาก 20 สตางค์ไป 2.40 บาทหลังจากนั้นหุ้นก็ขึ้นลงสลับกันไปตามข่าวที่ออกมา
ล่าสุดเมื่อวันศุกร์จากข่าวการขายหุ้นของผู้ถือหุ้นใหญ่ทำให้หุ้นลดลงไปถึง 29.7% ภายในวันเดียวราคาปิดที่ 1.04 บาท
#โดยส่วนตัวไม่ได้ลงทุนในหุ้นตัวนี้เพราะ
1) ทุกบริษัทในกลุ่มพลังงานทางเลือกก็ผลิตไฟฟ้าออกมาได้เหมือนกันเพียงแค่ทำโครงการให้ดูน่าสนใจ หาผู้สนับสนุนดีๆแค่นี้ก็ได้เงินมาสร้างโรงไฟฟ้าแล้ว ไม่ต้องมีการวิจัยหรือคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆที่สร้างความแตกต่างจากเจ้าอื่น มองเป็นสินค้าโภคภัณฑ์
2) ในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นนักลงทุนต้องระวังบริษัทที่มีหนี้สินเยอะ (D/E ประมาณ 3 เท่า) เพราะค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจะเพิ่มสูงมากขึ้นจนไปกดกำไรให้ลดลง นอกจากนี้ความเสี่ยงในการชำระหนี้และหมุนเงินยังเป็นสิ่งที่ท้าทายของบริษัทอีกด้วย
3) ผู้บริหารให้ความสนใจกับหุ้นของบริษัทค่อนข้างมากดูได้จากข่าวการซื้อขายหุ้นตลอดทำให้มีความเสี่ยงที่ท่านจะมุ่งเน้นให้ธุรกิจมีข่าวดีในระยะสั้นเพื่อให้หุ้นมีราคาสูงขึ้น แต่อาจจะไม่เป็นผลดีต่อธุรกิจในระยะยาวได้
ไม่ใช่ว่าหุ้นไม่ดีแต่ไม่เข้ากับแนวทางการลงทุนแบบวีไอครับ
หลังจากนั้นบริษัทก็กู้เงินมาลงทุนจำนวนมากทำให้หนี้สินเพิ่มขึ้นจาก 973 ล้านเป็น 27,000 ล้านบาทในปี 2558 พร้อมข่าวการเปิดโรงไฟฟ้าอย่างคึกคักทำให้ราคาหุ้นกระโดดขึ้นไป 10 เท่าภายใน 1 ปีจาก 20 สตางค์ไป 2.40 บาทหลังจากนั้นหุ้นก็ขึ้นลงสลับกันไปตามข่าวที่ออกมา
ล่าสุดเมื่อวันศุกร์จากข่าวการขายหุ้นของผู้ถือหุ้นใหญ่ทำให้หุ้นลดลงไปถึง 29.7% ภายในวันเดียวราคาปิดที่ 1.04 บาท
#โดยส่วนตัวไม่ได้ลงทุนในหุ้นตัวนี้เพราะ
1) ทุกบริษัทในกลุ่มพลังงานทางเลือกก็ผลิตไฟฟ้าออกมาได้เหมือนกันเพียงแค่ทำโครงการให้ดูน่าสนใจ หาผู้สนับสนุนดีๆแค่นี้ก็ได้เงินมาสร้างโรงไฟฟ้าแล้ว ไม่ต้องมีการวิจัยหรือคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆที่สร้างความแตกต่างจากเจ้าอื่น มองเป็นสินค้าโภคภัณฑ์
2) ในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นนักลงทุนต้องระวังบริษัทที่มีหนี้สินเยอะ (D/E ประมาณ 3 เท่า) เพราะค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจะเพิ่มสูงมากขึ้นจนไปกดกำไรให้ลดลง นอกจากนี้ความเสี่ยงในการชำระหนี้และหมุนเงินยังเป็นสิ่งที่ท้าทายของบริษัทอีกด้วย
3) ผู้บริหารให้ความสนใจกับหุ้นของบริษัทค่อนข้างมากดูได้จากข่าวการซื้อขายหุ้นตลอดทำให้มีความเสี่ยงที่ท่านจะมุ่งเน้นให้ธุรกิจมีข่าวดีในระยะสั้นเพื่อให้หุ้นมีราคาสูงขึ้น แต่อาจจะไม่เป็นผลดีต่อธุรกิจในระยะยาวได้
ไม่ใช่ว่าหุ้นไม่ดีแต่ไม่เข้ากับแนวทางการลงทุนแบบวีไอครับ