Money Talk @ SET 22 April 2018
โพสต์แล้ว: จันทร์ เม.ย. 23, 2018 12:37 am
Money Talk @ SET 22 April 2018 เวลา 13.30 น
ช่วงที่1 หัวข้อ “ MBA ยุคดิจิตอล—เส้นทางมืออาชีพ ”
วิทยากร
1.คุณ อภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
2.ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้เชี่ยวชาญการลงทุน
3.ศ.ดร. กำพล ปัญญาโกเมศ รองอธิการบดี นิด้า
ดร. ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ดำเนินรายการ
คราวหน้า วันอาทิตย์ที่ 27 เดือน พค 2561
จองวันที่ 19 พค ผ่าน Facebook Moneytalk
หัวขัอแรก เปิดใจกลต โดย อ รพี สุจริตกุล
สัมภาษณ์ โดย ดร ไพบูลย์ และ ดร นิเวศน์
หัวข้อต่อมาไม่มีเบรก หุ้นเด่นต้องจับตา
1. คุณ ปรียนาถ สุนทรวาทะ CEO บริษัท BGRIM
2. คุณ อัญรัตน์ พรประกิต เจ้าของ บริษัท JUBILE
3. คุณ ทรงวิทย์ ฐิติปุญญา CEO บริษัท ASAP
หมอเค ศุภศักดิ์ และ อ เสน่ห์ ศรีสุวรรณ เป็นผู้ดำเนินรายการ
หัวข้อที่สอง กลยุทธ์ฝ่าความร้อนรุ่มจากกิเลสหุ้น
1. คุณ ดนัย จันทร์เจ้าฉาย
2. คุณ ชาย มโนภาส
3. ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ดำเนินรายการ โดย ดร ไพบูลย์ และ อ เสน่ห์
เข้าสู่เนื้อหา หลักสูตรMBA มีความน่าสนใจ
อาจารย์ กำพล พูดว่า ตอนเรียนจบปริญญาตรีช่วงนั้นยังเป็นAnalogอยู่เลย
อาจารย์เสน่ห์ถามว่า analog ต่างกับ digital อย่างไร
ดร ไพบูลย์ ตอบว่า analog คือเข็มนาฬิกา ส่วนdigital จะไม่มีเข็ม แต่
เป็นภาพ ตัวเลขแสดงออกมา
แต่ อ เสน่ห์ บอกว่า ดิจิตอลมีความต่อเนื่อง คือ มีแค่ 0,1
อ กำพล บอกว่า MBA ดูออกแบบมาเป็นภาพกว้าง
MBA ย่อมาจาก คำว่า Master of Business Administration
หลักสูตรนี้เรียนเกือบทุกฟังก์ชั่นขององค์กร ได้แก่
1.Financial management
2.Operation management
3. HR Management
4. Marketing Management
ถูกพัฒนาให้คนที่เรียนมีความรู้ครบถ้วน
ทำให้เหมือนกับว่า MBAเป็นจุดเชื่อมต่อ ของหลายอาชีพ
เช่น วิศวกรพอจะเป็นผู้บริหาร ก็เลยต้องเรียนMBA เพื่อมาเป็นผู้บริหาร
ในแง่สถาบันการศึกษามีคู่แข่งทั้งในไทย ซึ่งหลักสูตรMB Aมีในมหาวิทยาลัยทุกที่
ไม่ต้องมีการลงทุนเครื่องจักร ไม่เหมือนหลักสูตร วิศว หรือ แพทย์ ต้องลงทุนเครื่องมือ
ดังนั้นการเปิดหลักสูตรMBAง่ายมาก
เรามีหลักสูตรสองหลักสูตร ทั้งภาคภาษาไทย และ ภาคภาษาอังกฤษ
ตอนนี้เทรนปัจจุบันเริ่มเปลี่ยนไป จากภาพกว้าง
ดร ไพบูลย์ บอกว่า MBA เป็นเรื่องของการจัดการ ทำอย่างไรให้บริษัทมีมูลค่า
เป็นสไตด์ของประเทศอเมริกา ทื่อื่น เช่น เยอรมัน และ ญี่ปุ่น ไม่ค่อยมีหลักสูตร MBA
MBAที่ดังๆ จะอยู่ที่อเมริกา ต่อมา ในยุโรปเริ่มมี มีเรียน1ปี หรือ บางหลักสูตรอาจปีครึ่ง
เช่น ลูกชายคุณธันวา ประมาณ ปีครึ่ง จะใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก
อาจารย์ กำพล บอกว่า เป็นเรื่องความพร้อมของภาษา หนังสือText book ตัวอย่างเช่น Marketing มาจากหนังสือ Phillip Kotler
ดังนั้นต้องมีการปรับตัวในการอ่านText book แต่บางคนก็จะสรรหาหนังสือแปลมาอ่าน
อาจารย์เสน่ห์ ถามว่า ทำไมไปเรียนMBA
คุณอภิรักษ์ ตอบว่า จบด้านFood Science and Technology มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ปี2522
เรียนนิด้า ปี 2526 ซึ่งเป็นช่วงที่มาทำงานที่พิซ่าฮัท แถว สุรวงศ์
ปกติคนจบด้านนี้ ทำโรงงาน แต่ผมมาทำTrainee เป็นจุดเปลี่ยน มาสมัครเรียนMBAและทำงานไปด้วยน่าจะดี
ตอนนี้อยากประสบความสำเร็จเร็ว พอเรียนจริง ทำงานไม่ไหว เพราะเรียนภาคปกติ เรียนช่วงกลางวัน
สมัยนั้นผมใช้ Mainframe computer ตอนนี้ ใช้Mobile Internet
แต่ช่วงนั้นการเรียนการสอน case study ทันสมัย ผมก็เรียน Kotler 101 เหมือน อ กำพล
ตอนนั้น ไม่มี googleให้ค้นหา ต้องทำงานเป็นกลุ่ม ไปศึกษาเพิ่มเติมจากข้างนอก
ผมทำcase study เรื่องสงครามน้ำดำCoke & Pepsi
และไปสมัครทำงานที่ Pepsi co แม้ว่าหลักสูตรเป็นMBA แต่มีรายละเอียดมาก
ใครสะดวกช่วงกลางวัน ก็เรียนRegular MBAซึ่งเป็นภาคปกติ
ถ้าสะดวกช่วงค่ำก็เลือกเรียน Executive MBA หรือ Flexible MBA หรือ หลักสูตรภาคภาษาอังกฤษ
ทำไมต้องมาเรียนหลักสูตรนี้ เพราะตอนนี้เราสามารถดูข่าวจากsourceที่แตกต่างกัน
มีเทคโนโลยี disruptive technology มาคอยช่วย
คนเกิดในยุคดิจิตอล ใช้มือถือ เปิดinternet ตอนเช้าเปิด line จะมีคนส่งดอกไม้ แสดงว่าคนส่งอายุเกิน50ปี
Digital ใช้ Lifestyle, value creation เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ
โลกเปลี่ยนไปแล้ว คนสมัยใหม่ เรียกว่า startup หรือ Tech startup ทำให้หลักสูตรของนิด้า
ก็ปรับเปลี่ยนไปด้วย มีพูดถึงการออกแบบธุรกิจ เหมือนกับที่ ซิลิคอนวัลเลย์
มีวิธีการทำงานโดยออกแบบหลักสูตร ที่เรียกว่า design thinking
ธุรกิจสมัยใหม่ที่แตกต่างจากสมัยผม รวมถึง ความต้องการของผู้บริโภคที่แตกต่างกันไป
ถ้าเราเรียนเฉพาะหนังสือที่เป็นtext book ก็ไม่update
ดังนั้นหลักสูตรต้องออกแบบรองรับความต้องการของคนยุคใหม่
คือต้องการเป็นผู้ประกอบการ Entrepreneur แต่ไม่ใช่การเป็นเถ้าแก่ แต่เป็นแบบสมัยใหม่
Entrepreneur ที่มีpassion มีแรงบันดาลใจให้ผลักดันองค์กรให้เจริญรุ่งเรือง
ปัจจุบันมีการออกแบบหลักสูตรมีsegmentation เพื่อตอบสนองต่อคนที่มาสมัครเรียน
เชื่อว่าเป็นจุดแข็งหรือความแตกต่างจากสถาบันอื่น
อ เสน่ห์เสริมว่า เหมาเจ๋อตุงบอกว่ามีคนสองประเภท
1. การเอาความคิดของเราไปใส่สมองคนอื่น อันแรกถ้าทำได้ จะเรียกว่า อาจารย์
2. การเอาเงินผู้อื่นมาใส่กระเป๋าเรา อันที่สองถ้าทำได้ เรียกว่า เถ้าแก่
แต่ถ้าคนที่สามารถทำสำเร็จได้ทั้งสองอย่าง เรียกว่า ภรรยา
ดร นิเวศน์ ตอบว่า ตอนนั้นทำงานโรงงาน ที่เรียนMBAเพราะนิด้าเปิดMBAเจ้าเดียวในยุคนั้น
ผมพยายาม หาหนทางไต่ไปเรื่อยๆ การเรียนMBA ทำให้เรากว้างกว่า ศักยภาพสูงกว่า
เป็นวิศวกร ถ้าเรียนต่อวิศวกรรม สำหรับ ดร เอง อันแรก สอบตก เพราะยากไป หรือ จบได้ก็ไปทำอย่างเก่า
คือ copyไปเรื่อยๆ ประโยชน์ไม่เยอะ ดังนั้นเรียนMBA สามารถคุมทั้งบริษัท
สมัยก่อนไม่มีตลาดหุ้น ทำธุรกิจก็เจ็ง
ดร ไพบูลย์ บอกว่าจุดตัดสินใจมาจากตัวอาจารย์นิเวศน์เอง ตอนนั้น ดร นิเวศน์มาหา ดร ไพบูลย์ คุยกันในห้องน้ำ และ ตัดสินใจตอนนั้นเลยว่าจะเรียนMBA
เรียนMBAแล้วกลับไปเป็นทำงานเป็นวิศวกรเหมือนเดิม แต่เราได้concept ของMBA
ตอนนั้นที่จะไปเรียนก็คิดจะลาออกจากโรงงาน เพราะเวลาเรียนคือช่วงกลางวัน
เจ้าของต้องการตัวเรามาก บอกว่าวันไหนเรียนก็ไปเรียน วันไหนว่างก็มาทำงาน ก็เลยรับเงินเดือนแค่ครึ่งนึง
ดร นิเวศน์บอกว่า อาจารย์ที่สอน MBA ก็ทำงานเป็นที่ปรึกษาของบริษัทต่างๆด้วย
ก็มาสอนไม่เต็มที่ มาบ้างไม่มาบ้าง เราก็เลยต้องกะมาเรียนให้ถูกตรงกับที่อาจารย์มา
ข้อดีในการทำงานในบริษัทที่เจ็ง คือ เราจะได้รู้ว่าทำอย่างไรให้บริษัทเจ็ง
คุณชาร์ลี มังเกอร์ บอกว่า ที่ไหนตาย ถ้าเขารู้ก็จะไม่ไป เหมือนกันว่า เรียนอย่างไรไม่ทำงานให้เจ็ง
ดร ไพบูลย์ บอกว่าเป็นประสบการณ์ส่วนตัวของดร นิเวศน์
สรุป เรียนแล้วมีประโยชน์ เป็นField ที่กว้าง บริหารได้ทุกเรื่อง เอาหลักการใหญ่ๆมาใช้ในการ
บริหารองค์กรหน่วยงานอย่างไร รวมถึงบริหารครอบครัวได้ด้วย
พอถึงการลงทุน MBAมีส่วนนำมาใช้ เพราะดูทุกส่วน ดูให้กว้าง จะรู้ว่าบริษัทไหนมีปัญหา มีจุดอ่อน หรือบริษัทจะเจ็ง ส่วนหุ้นที่จะรวยพอดูออกได้
ผมทายหุ้นมาหลายตัว เจ็งหมด บางทีสัมภาษณ์เสร็จก็รู้เลยว่าจะเจ็ง
อาจารย์ส่วนใหญ่สอนแต่เรื่องประสบความสำเร็จ
ถาม อ กำพล จบ Microbiology จาก KMIT บางมด
ทำงานที่บริษัท นมตรามะลิ และ ย้ายไปอายิโนโมโต๊ะ
หลังจากนั้นมาเรียนต่อMBA ที่นิด้า เพราะอยากก้าวหน้าต่อในเรื่องงาน
บริษัทนี้สามารถย้ายไปแต่ละแผนกได้
นักศึกษาของMBAยังมีเยอะ เพราะใครที่ต้องการบริหารหรือทำธุรกิจส่วนตัว ต้องเรียนMBA
1. ตอนนี้ Innovation Technology มาสนับสนุนการผลิตให้สินค้ามีมูลค่าเพิ่ม
คุณประสาร บอกว่าการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี มันชันมาก แต่การศึกษาตามไม่ค่อยทัน
ที่สิงคโปร์ ยังบอกว่าระบบการศึกษาของเขาต้องปรับตัว เช่น
การศึกษาต้องเป็น Experental technology คนที่เรียนสามารถไปเรียนจากแหล่งกำเนิดได้
2. Promote digital technology
3. Diversify higher & way นักศึกษาควรมีโอกาสศึกษาในเรื่องที่สนใจได้ ที่standfordมีแล้ว
4. Encourage life longing
NUS ให้ศิษย์เก่าสามารถเรียนmoduleใหม่ได้ฟรีสองหลักสูตร
5.หลักสูตรต้องเชื่อมโยงกันได้ ภาคการศึกษาเชื่อมภาครัฐ ภาคเอกชน และสังคมเข้าด้วยกัน
เมืองไทยต้องปรับตัว รวมถึง MBA ก็ต้องปรับตัวด้วย
นิด้า เป็น MBA ที่ได้รับการรับรอง AACSB เป็นหลักสูตรภาษาไทยแห่งแรก
AACSB เป็นหน่วยงานที่รองรับมาตรฐานตามสากล
MBAทั่วโลกมีมาก แต่ได้รับรองจาก AACSBไม่เกิน 5% นิด้าได้รับการรับรองทุกหลักสูตร
ดร ไพบูลย์ถามคุณอภิรักษ์ และ วิทยากรทุกท่านดังนี้
1. ควรเรียนเมืองไทยหรือเมืองนอก
2. เรียนตอนอายุเท่าไหร่
3. เรียนที่ไหน
คุณอภิรักษ์ ตอบว่า
1. คิดว่าสมัยตอนตัดสินใจตอนนั้นและตอนนี้ ปัจจัยต่างกัน เมื่อก่อน ทำงานด้วยเรียนไปด้วยกัน แต่ถ้าเรียนเมืองนอกก็จะหายไปสองปี แต่ได้เรื่องภาษา แต่ตอนนี้ เมืองไทย นิด้าไม่เหมือนสามสิบปีที่แล้ว เรามีnetworkingกับต่างประเทศ
มหาวิทยาลัยดังๆ เข้ายาก รับน้อยสมัครกันเยอะเข้ายาก นิด้ามีnetworkกับหลายมหาวิทยาลัย เช่น วาร์ตัน
ผมจบในเมืองไทย ไปเรียน Course advanceในต่างประเทศจากบริษัท Pepsi เรียน ที่ Harvard business school
2.อายุที่เหมาะสม จริงๆแล้วคนยุคสมัยใหม่อยู่ที่การทำธุรกิจ คนยุคใหม่เป็นเจ้าของธุรกิจง่าย ไม่ต้องรออายุ 30-40 ปี
สมัยก่อนจะเป็นกรรมการผู้จัดการต้องเป็นอายุ40ปี ตอนนั้นคุณอภิรักษ์เป็นตอนอายุ 34 ปี หลังจากนั้นก็เลื่อนเป็น CEO
ผมเป็น chairman ของ Bee Food วันนี้มาทำธุรกิจเองตอนอายุ50กว่าปีก็ได้
ดังนั้นอายุเท่าไหร่ก็มาเรียนได้ มีเมนูให้เลือก แล้วแต่ผู้เรียน
บางคนมีประสบการณ์เป็นมืออาชีพ อยากเติบโต ก็สามารถมาเรียนและเลือกหลักสูตรที่เหมาะสมได้ ดังนั้น เรียนในไทย หรือ ต่างประเทศ อายุเท่าไหร่ก็ได้
3. Faculty member สอนแบบเลคเชอร์
3.1 มีความหลากหลายของอาจารย์ มีอาจารย์รุ่นใหม่ อายุ 28-30 ปีเอง
3.2 ในเรื่อง networking , collaborateกับหลายมหาวิทยาลัย
3.3 alumni networking ตั้งมาตั้งนานแล้วตั้งแต่ ปี 2509 จบไปแล้วหมื่นคน มีความหลากหลายของประสบการณ์ศิษย์เก่า ที่ช่วยให้หลักสูตรในยุคสมัยใหม่ ทั้งที่คนสนใจเป็นมืออาชีพ หรือ คนที่มีประสบการณ์
การเรียนการสอน ไม่ได้มีอยู่แค่ในตำราอย่างเดียว มหาลัย โคลัมเบีย หรือ MIT ออกหลักสูตรเฉพาะให้startup
ที่นิด้า มีการออกแบบหลักสูตรให้เหมาะสมแต่ละคน
ถาม ดร นิเวศน์ ว่าควรเรียนต่อในประเทศ หรือ เรียนรู่ในต่างประเทศ
ดร นิเวศน์ ตอบว่า ถ้ามีปัญญาก็ไปเรียนเมืองนอก ที่เป็น Top50ของโลก เพราะจบมาเท่กว่าเยอะ เช่น MIT กลับมาสร้างประโยชน์
ดร ไพบูลย์เสริม ถ้ามีภาระดูแลครอบครัว ก็เรียนในเมืองไทย เช่น นิด้า ดีกว่า
เพราะ จุฬา ธรรมศาสตร์ SASIN นิด้า หลักสูตรใช้ได้ แต่ถ้าให้เลือก นิด้าดีกว่า
ช่วงอายุไหนที่เหมาะสม ดร นิเวศน์ ตอบว่าถ้ามีไฟ ก็เรียนไปเลย
ลูกสาวของ ดร นิเวศน์เรียนจบก็เรียนต่อMBAทันที
แต่ถ้าไม่มีเงิน ก็ทำงานก่อน แล้วค่อยมาเรียน เหมือน ดร นิเวศน์
ถาม ดร นิเวศน์ ว่าตอนนั้นถ้ามีเงิน จะเรียนต่อเลยใช่ไหม
ดร นิเวศน์ บอกว่าก็เรียนต่อ แต่ถ้าทำงานก่อน ก็ได้เงิน และ ไม่ค่อยได้ใช้g’
บางทีเรียนMBAแล้ว ก็จะไม่ได้นำความรู้ทางวิศวมาใช้ เพราะสายงานที่ทำหลังจบไม่เกี่ยวข้องกัน
ถาม อ กำพล นิด้ามีอะไรเรียนบ้าง
อ กำพล บอกว่า TREND MOC สามารถเรียนprofessorที่ดังๆได้
อนาคตเรียนไปด้วยทำงานด้วย และ ได้ประสบการณ์จากต่างประเทศผ่าน MOC
เราต้องปรับตัวให้ก้าวหน้ามากขึ้น จีน ให้ทุนคนไปเรียนมหาวิทยาลัยดังๆ ไม่ต้องชดใช้ทุน
และซื้อตัวกลับมาทำงานที่จีนหลังประสบความสำเร็จจากบริษัทดังๆ
ผมเคยไปลงcourse design thinking at standford ไปดูที่ google ทุกอย่างฟรีหมด
อาหารจากcanteen เอาเชฟที่มีชื่อเสียงมาทำ แต่มีสองชาติคือ จีน อินเดีย คิดเป็น 2/3 ของทั้งหมาดและจะมีอาหารจีน และ อินเดีย
ผมก็หวังว่าไทยจะเป็นเหมือน จีน และ อินเดียที่google
Nidaพยายามร่วมมือกับองค์กรวิชาชีพ เช่น Master of secient
ใครจบหลักสูตรนี้ทำงานได้เลย ยังมี operation management
อีกแนวทาง ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่างประเทศ เช่น อินเดียน่า วาร์ตัน
หรือ ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในประเทศ เช่น พระจอมเกล้าลาดกระบัง
จะมีหลักสูตรตรี ควบ โท เช่น จบวิศวที่ลาดกระบังมาต่อที่นิด้าได้เลย
หรือ MBAplus แล้วไปเรียนกฎหมาย หรือ สิ่งแวดล้อม ได้ประกาศนียบัตรเพิ่มเติม
ตอนนี้เทรน การเรียนต้องใช้หลายศาสตร์ในการแก้ปัญหา
นี่คือหลักสูตรที่นิด้าพยายามคิดเพื่อเสริม
ดร ไพบูลย์ แนะนำแต่ละหลักของMBA ที่นิด้า
1. หลักสูตร regular เรียนตอนกลางวัน วันธรรมดา
2. Flexible MBA เรียนเสาร์ อาทิตย์ ต้องมีประสบการ์ณนิดนึง
3. MBA Pro คนเรียนจะเป็นนักเรียนเกียรตินิยมทั้งหมด
4. Accelerated MBA ( A MBA ) เป็นโครงการพิเศษเรียนในวันและเวลาราชการ
เป็นหลักสูตรเร่งรัด course work 1ปี เนื้อหาเน้นธุรกิจระหว่างประเทศในแถบเอเซียแปซิฟิก
5.Inter MBA เรียนเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ หลักสูตรอินเตอร์ มีชาติอื่นๆมาร่วมเรียนด้วย
มีทุนการศึกษาสำหรับนักศึกษาต่างชาติ
6. English MBA หลักสูตรภาษาอังกฤษ เป็นโครงการภาคปกติ มีสองสาขา คือการเงิน และ การตลาด
7. หลักสูตร Y MBA สำหรบผู้บริหารระดับต้น เรียนตอนเย็น
8. หลักสูตร Executive MBA ผู้บริหารระดับสูง เรียนตอนเย็น
9. FIRM หลักสูตรสำหรับเรียนเป็น CFA จบในปีครึ่ง ปีหน้าจะเรียนเป็นภาษาไทย สอบ CFP ได้
Case study มีทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ส่วนในไทยจะเรียกว่า local content
Caseที่ต่างประเทศ เราเรียนรู้และต้องปรับให้เข้ากับไทย หรือ local ด้วย
ถาม อาจารย์กำพล จะเปิดได้เมื่อไหร่
ตอบ สอบถามจากเจ้าหน้าที่ได้
ดร ไพบูลย์ บอกว่า หลักสูตรรับตลอดเวลา รับไปเรื่อยๆ แต่บางสาขา FIRM เปิดครั้งเดียวต่อปี
คุณสมบัติ บางหลักสูตรมีการสอบข้อเขียน หรือ ภาษาอังกฤษ บางหลักสูตรก็สัมภาษณ์อย่างเดียว
จบทุกสาขาของปริญญาตรีมาก็สมัครได้
คุณ อภิรักษ์ เสริม ว่า
1 ปัจจุบันเปลี่ยนเร็ว
2.วิถีชีวิตเปลี่ยนแปลง เช่น sharing economy : Grap , Uber ,Line Man มาช่วยได้
ดังนั้นหลักสูตรMBAก็ต้องปรับเปลี่ยนให้เข้ากับปัจจุบัน
สมัยใหม่มีroad map Thailand 4.0 เราต้องรู้ว่าบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงอย่างไร
ต้องเรียนlocal contentที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์บ้านเมืองด้วย
3.Harvard , gainlog ,warton ที่เราไปร่วมมือด้วย เอาความหลากหลายของนักศึกษา
จากยุโรป จีน ญี่ปุ่น อังกฤษ ยุโรป หรือ CLMV มาร่วมเรียนด้วย
ในอาเซียนบวกสาม จีน ญี่ปุ่น เกาหลี สำคัญมาก เวลาไปแต่ละประเทศ
คนที่นั่นเขาเรียนภาษาไทยด้วย เพื่อสื่อสารกับทางเราได้
ซึ่งจะช่วยนิด้ามีความหลายหลายสำหรับนักศึกษาในการเรียนรู้ต่างประเทศ
อาลีบาบา พึ่งมาลงใน EEC แสดงว่าlocation นี้ strategic location ด้วย
การเข้ามาของJack ma ธุรกิจต้องปรับตัวเพื่อความเปลี่ยนแปลง
คนที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงจะอยู่ไม่ได้ อย่ามองเป็นลบ แต่พยายามปรับตัว
ตัวอย่างเช่น Amazon เข้ามาบริษัทretailส่วนใหญ่ปิดหมด
แต่ในไทย Central join JD.com , Alibaba ก็มาซื้อ lazada
เล็ก ใหญ่ ไม่สำคัญ แต่เอาจุดแข็งของเล็ก คือ ปรับตัวได้เร็วกว่า
Flexible อะไรที่ไม่workล้มได้เลย อย่าไปมองว่าเป็น threat
ดร ไพบูลย์ บอกว่า การเรียนMBA เป็นการเรียนปริญญาโทสาขานึง เยอะไปก็ไม่ดี
แต่ถ้าใครสนใจ ก็สามารถดูรายละเอียดของแต่ละหลักสูตร แล้วตัดสินใจ
ช่วงที่1 หัวข้อ “ MBA ยุคดิจิตอล—เส้นทางมืออาชีพ ”
วิทยากร
1.คุณ อภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
2.ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้เชี่ยวชาญการลงทุน
3.ศ.ดร. กำพล ปัญญาโกเมศ รองอธิการบดี นิด้า
ดร. ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ดำเนินรายการ
คราวหน้า วันอาทิตย์ที่ 27 เดือน พค 2561
จองวันที่ 19 พค ผ่าน Facebook Moneytalk
หัวขัอแรก เปิดใจกลต โดย อ รพี สุจริตกุล
สัมภาษณ์ โดย ดร ไพบูลย์ และ ดร นิเวศน์
หัวข้อต่อมาไม่มีเบรก หุ้นเด่นต้องจับตา
1. คุณ ปรียนาถ สุนทรวาทะ CEO บริษัท BGRIM
2. คุณ อัญรัตน์ พรประกิต เจ้าของ บริษัท JUBILE
3. คุณ ทรงวิทย์ ฐิติปุญญา CEO บริษัท ASAP
หมอเค ศุภศักดิ์ และ อ เสน่ห์ ศรีสุวรรณ เป็นผู้ดำเนินรายการ
หัวข้อที่สอง กลยุทธ์ฝ่าความร้อนรุ่มจากกิเลสหุ้น
1. คุณ ดนัย จันทร์เจ้าฉาย
2. คุณ ชาย มโนภาส
3. ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ดำเนินรายการ โดย ดร ไพบูลย์ และ อ เสน่ห์
เข้าสู่เนื้อหา หลักสูตรMBA มีความน่าสนใจ
อาจารย์ กำพล พูดว่า ตอนเรียนจบปริญญาตรีช่วงนั้นยังเป็นAnalogอยู่เลย
อาจารย์เสน่ห์ถามว่า analog ต่างกับ digital อย่างไร
ดร ไพบูลย์ ตอบว่า analog คือเข็มนาฬิกา ส่วนdigital จะไม่มีเข็ม แต่
เป็นภาพ ตัวเลขแสดงออกมา
แต่ อ เสน่ห์ บอกว่า ดิจิตอลมีความต่อเนื่อง คือ มีแค่ 0,1
อ กำพล บอกว่า MBA ดูออกแบบมาเป็นภาพกว้าง
MBA ย่อมาจาก คำว่า Master of Business Administration
หลักสูตรนี้เรียนเกือบทุกฟังก์ชั่นขององค์กร ได้แก่
1.Financial management
2.Operation management
3. HR Management
4. Marketing Management
ถูกพัฒนาให้คนที่เรียนมีความรู้ครบถ้วน
ทำให้เหมือนกับว่า MBAเป็นจุดเชื่อมต่อ ของหลายอาชีพ
เช่น วิศวกรพอจะเป็นผู้บริหาร ก็เลยต้องเรียนMBA เพื่อมาเป็นผู้บริหาร
ในแง่สถาบันการศึกษามีคู่แข่งทั้งในไทย ซึ่งหลักสูตรMB Aมีในมหาวิทยาลัยทุกที่
ไม่ต้องมีการลงทุนเครื่องจักร ไม่เหมือนหลักสูตร วิศว หรือ แพทย์ ต้องลงทุนเครื่องมือ
ดังนั้นการเปิดหลักสูตรMBAง่ายมาก
เรามีหลักสูตรสองหลักสูตร ทั้งภาคภาษาไทย และ ภาคภาษาอังกฤษ
ตอนนี้เทรนปัจจุบันเริ่มเปลี่ยนไป จากภาพกว้าง
ดร ไพบูลย์ บอกว่า MBA เป็นเรื่องของการจัดการ ทำอย่างไรให้บริษัทมีมูลค่า
เป็นสไตด์ของประเทศอเมริกา ทื่อื่น เช่น เยอรมัน และ ญี่ปุ่น ไม่ค่อยมีหลักสูตร MBA
MBAที่ดังๆ จะอยู่ที่อเมริกา ต่อมา ในยุโรปเริ่มมี มีเรียน1ปี หรือ บางหลักสูตรอาจปีครึ่ง
เช่น ลูกชายคุณธันวา ประมาณ ปีครึ่ง จะใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก
อาจารย์ กำพล บอกว่า เป็นเรื่องความพร้อมของภาษา หนังสือText book ตัวอย่างเช่น Marketing มาจากหนังสือ Phillip Kotler
ดังนั้นต้องมีการปรับตัวในการอ่านText book แต่บางคนก็จะสรรหาหนังสือแปลมาอ่าน
อาจารย์เสน่ห์ ถามว่า ทำไมไปเรียนMBA
คุณอภิรักษ์ ตอบว่า จบด้านFood Science and Technology มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ปี2522
เรียนนิด้า ปี 2526 ซึ่งเป็นช่วงที่มาทำงานที่พิซ่าฮัท แถว สุรวงศ์
ปกติคนจบด้านนี้ ทำโรงงาน แต่ผมมาทำTrainee เป็นจุดเปลี่ยน มาสมัครเรียนMBAและทำงานไปด้วยน่าจะดี
ตอนนี้อยากประสบความสำเร็จเร็ว พอเรียนจริง ทำงานไม่ไหว เพราะเรียนภาคปกติ เรียนช่วงกลางวัน
สมัยนั้นผมใช้ Mainframe computer ตอนนี้ ใช้Mobile Internet
แต่ช่วงนั้นการเรียนการสอน case study ทันสมัย ผมก็เรียน Kotler 101 เหมือน อ กำพล
ตอนนั้น ไม่มี googleให้ค้นหา ต้องทำงานเป็นกลุ่ม ไปศึกษาเพิ่มเติมจากข้างนอก
ผมทำcase study เรื่องสงครามน้ำดำCoke & Pepsi
และไปสมัครทำงานที่ Pepsi co แม้ว่าหลักสูตรเป็นMBA แต่มีรายละเอียดมาก
ใครสะดวกช่วงกลางวัน ก็เรียนRegular MBAซึ่งเป็นภาคปกติ
ถ้าสะดวกช่วงค่ำก็เลือกเรียน Executive MBA หรือ Flexible MBA หรือ หลักสูตรภาคภาษาอังกฤษ
ทำไมต้องมาเรียนหลักสูตรนี้ เพราะตอนนี้เราสามารถดูข่าวจากsourceที่แตกต่างกัน
มีเทคโนโลยี disruptive technology มาคอยช่วย
คนเกิดในยุคดิจิตอล ใช้มือถือ เปิดinternet ตอนเช้าเปิด line จะมีคนส่งดอกไม้ แสดงว่าคนส่งอายุเกิน50ปี
Digital ใช้ Lifestyle, value creation เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ
โลกเปลี่ยนไปแล้ว คนสมัยใหม่ เรียกว่า startup หรือ Tech startup ทำให้หลักสูตรของนิด้า
ก็ปรับเปลี่ยนไปด้วย มีพูดถึงการออกแบบธุรกิจ เหมือนกับที่ ซิลิคอนวัลเลย์
มีวิธีการทำงานโดยออกแบบหลักสูตร ที่เรียกว่า design thinking
ธุรกิจสมัยใหม่ที่แตกต่างจากสมัยผม รวมถึง ความต้องการของผู้บริโภคที่แตกต่างกันไป
ถ้าเราเรียนเฉพาะหนังสือที่เป็นtext book ก็ไม่update
ดังนั้นหลักสูตรต้องออกแบบรองรับความต้องการของคนยุคใหม่
คือต้องการเป็นผู้ประกอบการ Entrepreneur แต่ไม่ใช่การเป็นเถ้าแก่ แต่เป็นแบบสมัยใหม่
Entrepreneur ที่มีpassion มีแรงบันดาลใจให้ผลักดันองค์กรให้เจริญรุ่งเรือง
ปัจจุบันมีการออกแบบหลักสูตรมีsegmentation เพื่อตอบสนองต่อคนที่มาสมัครเรียน
เชื่อว่าเป็นจุดแข็งหรือความแตกต่างจากสถาบันอื่น
อ เสน่ห์เสริมว่า เหมาเจ๋อตุงบอกว่ามีคนสองประเภท
1. การเอาความคิดของเราไปใส่สมองคนอื่น อันแรกถ้าทำได้ จะเรียกว่า อาจารย์
2. การเอาเงินผู้อื่นมาใส่กระเป๋าเรา อันที่สองถ้าทำได้ เรียกว่า เถ้าแก่
แต่ถ้าคนที่สามารถทำสำเร็จได้ทั้งสองอย่าง เรียกว่า ภรรยา
ดร นิเวศน์ ตอบว่า ตอนนั้นทำงานโรงงาน ที่เรียนMBAเพราะนิด้าเปิดMBAเจ้าเดียวในยุคนั้น
ผมพยายาม หาหนทางไต่ไปเรื่อยๆ การเรียนMBA ทำให้เรากว้างกว่า ศักยภาพสูงกว่า
เป็นวิศวกร ถ้าเรียนต่อวิศวกรรม สำหรับ ดร เอง อันแรก สอบตก เพราะยากไป หรือ จบได้ก็ไปทำอย่างเก่า
คือ copyไปเรื่อยๆ ประโยชน์ไม่เยอะ ดังนั้นเรียนMBA สามารถคุมทั้งบริษัท
สมัยก่อนไม่มีตลาดหุ้น ทำธุรกิจก็เจ็ง
ดร ไพบูลย์ บอกว่าจุดตัดสินใจมาจากตัวอาจารย์นิเวศน์เอง ตอนนั้น ดร นิเวศน์มาหา ดร ไพบูลย์ คุยกันในห้องน้ำ และ ตัดสินใจตอนนั้นเลยว่าจะเรียนMBA
เรียนMBAแล้วกลับไปเป็นทำงานเป็นวิศวกรเหมือนเดิม แต่เราได้concept ของMBA
ตอนนั้นที่จะไปเรียนก็คิดจะลาออกจากโรงงาน เพราะเวลาเรียนคือช่วงกลางวัน
เจ้าของต้องการตัวเรามาก บอกว่าวันไหนเรียนก็ไปเรียน วันไหนว่างก็มาทำงาน ก็เลยรับเงินเดือนแค่ครึ่งนึง
ดร นิเวศน์บอกว่า อาจารย์ที่สอน MBA ก็ทำงานเป็นที่ปรึกษาของบริษัทต่างๆด้วย
ก็มาสอนไม่เต็มที่ มาบ้างไม่มาบ้าง เราก็เลยต้องกะมาเรียนให้ถูกตรงกับที่อาจารย์มา
ข้อดีในการทำงานในบริษัทที่เจ็ง คือ เราจะได้รู้ว่าทำอย่างไรให้บริษัทเจ็ง
คุณชาร์ลี มังเกอร์ บอกว่า ที่ไหนตาย ถ้าเขารู้ก็จะไม่ไป เหมือนกันว่า เรียนอย่างไรไม่ทำงานให้เจ็ง
ดร ไพบูลย์ บอกว่าเป็นประสบการณ์ส่วนตัวของดร นิเวศน์
สรุป เรียนแล้วมีประโยชน์ เป็นField ที่กว้าง บริหารได้ทุกเรื่อง เอาหลักการใหญ่ๆมาใช้ในการ
บริหารองค์กรหน่วยงานอย่างไร รวมถึงบริหารครอบครัวได้ด้วย
พอถึงการลงทุน MBAมีส่วนนำมาใช้ เพราะดูทุกส่วน ดูให้กว้าง จะรู้ว่าบริษัทไหนมีปัญหา มีจุดอ่อน หรือบริษัทจะเจ็ง ส่วนหุ้นที่จะรวยพอดูออกได้
ผมทายหุ้นมาหลายตัว เจ็งหมด บางทีสัมภาษณ์เสร็จก็รู้เลยว่าจะเจ็ง
อาจารย์ส่วนใหญ่สอนแต่เรื่องประสบความสำเร็จ
ถาม อ กำพล จบ Microbiology จาก KMIT บางมด
ทำงานที่บริษัท นมตรามะลิ และ ย้ายไปอายิโนโมโต๊ะ
หลังจากนั้นมาเรียนต่อMBA ที่นิด้า เพราะอยากก้าวหน้าต่อในเรื่องงาน
บริษัทนี้สามารถย้ายไปแต่ละแผนกได้
นักศึกษาของMBAยังมีเยอะ เพราะใครที่ต้องการบริหารหรือทำธุรกิจส่วนตัว ต้องเรียนMBA
1. ตอนนี้ Innovation Technology มาสนับสนุนการผลิตให้สินค้ามีมูลค่าเพิ่ม
คุณประสาร บอกว่าการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี มันชันมาก แต่การศึกษาตามไม่ค่อยทัน
ที่สิงคโปร์ ยังบอกว่าระบบการศึกษาของเขาต้องปรับตัว เช่น
การศึกษาต้องเป็น Experental technology คนที่เรียนสามารถไปเรียนจากแหล่งกำเนิดได้
2. Promote digital technology
3. Diversify higher & way นักศึกษาควรมีโอกาสศึกษาในเรื่องที่สนใจได้ ที่standfordมีแล้ว
4. Encourage life longing
NUS ให้ศิษย์เก่าสามารถเรียนmoduleใหม่ได้ฟรีสองหลักสูตร
5.หลักสูตรต้องเชื่อมโยงกันได้ ภาคการศึกษาเชื่อมภาครัฐ ภาคเอกชน และสังคมเข้าด้วยกัน
เมืองไทยต้องปรับตัว รวมถึง MBA ก็ต้องปรับตัวด้วย
นิด้า เป็น MBA ที่ได้รับการรับรอง AACSB เป็นหลักสูตรภาษาไทยแห่งแรก
AACSB เป็นหน่วยงานที่รองรับมาตรฐานตามสากล
MBAทั่วโลกมีมาก แต่ได้รับรองจาก AACSBไม่เกิน 5% นิด้าได้รับการรับรองทุกหลักสูตร
ดร ไพบูลย์ถามคุณอภิรักษ์ และ วิทยากรทุกท่านดังนี้
1. ควรเรียนเมืองไทยหรือเมืองนอก
2. เรียนตอนอายุเท่าไหร่
3. เรียนที่ไหน
คุณอภิรักษ์ ตอบว่า
1. คิดว่าสมัยตอนตัดสินใจตอนนั้นและตอนนี้ ปัจจัยต่างกัน เมื่อก่อน ทำงานด้วยเรียนไปด้วยกัน แต่ถ้าเรียนเมืองนอกก็จะหายไปสองปี แต่ได้เรื่องภาษา แต่ตอนนี้ เมืองไทย นิด้าไม่เหมือนสามสิบปีที่แล้ว เรามีnetworkingกับต่างประเทศ
มหาวิทยาลัยดังๆ เข้ายาก รับน้อยสมัครกันเยอะเข้ายาก นิด้ามีnetworkกับหลายมหาวิทยาลัย เช่น วาร์ตัน
ผมจบในเมืองไทย ไปเรียน Course advanceในต่างประเทศจากบริษัท Pepsi เรียน ที่ Harvard business school
2.อายุที่เหมาะสม จริงๆแล้วคนยุคสมัยใหม่อยู่ที่การทำธุรกิจ คนยุคใหม่เป็นเจ้าของธุรกิจง่าย ไม่ต้องรออายุ 30-40 ปี
สมัยก่อนจะเป็นกรรมการผู้จัดการต้องเป็นอายุ40ปี ตอนนั้นคุณอภิรักษ์เป็นตอนอายุ 34 ปี หลังจากนั้นก็เลื่อนเป็น CEO
ผมเป็น chairman ของ Bee Food วันนี้มาทำธุรกิจเองตอนอายุ50กว่าปีก็ได้
ดังนั้นอายุเท่าไหร่ก็มาเรียนได้ มีเมนูให้เลือก แล้วแต่ผู้เรียน
บางคนมีประสบการณ์เป็นมืออาชีพ อยากเติบโต ก็สามารถมาเรียนและเลือกหลักสูตรที่เหมาะสมได้ ดังนั้น เรียนในไทย หรือ ต่างประเทศ อายุเท่าไหร่ก็ได้
3. Faculty member สอนแบบเลคเชอร์
3.1 มีความหลากหลายของอาจารย์ มีอาจารย์รุ่นใหม่ อายุ 28-30 ปีเอง
3.2 ในเรื่อง networking , collaborateกับหลายมหาวิทยาลัย
3.3 alumni networking ตั้งมาตั้งนานแล้วตั้งแต่ ปี 2509 จบไปแล้วหมื่นคน มีความหลากหลายของประสบการณ์ศิษย์เก่า ที่ช่วยให้หลักสูตรในยุคสมัยใหม่ ทั้งที่คนสนใจเป็นมืออาชีพ หรือ คนที่มีประสบการณ์
การเรียนการสอน ไม่ได้มีอยู่แค่ในตำราอย่างเดียว มหาลัย โคลัมเบีย หรือ MIT ออกหลักสูตรเฉพาะให้startup
ที่นิด้า มีการออกแบบหลักสูตรให้เหมาะสมแต่ละคน
ถาม ดร นิเวศน์ ว่าควรเรียนต่อในประเทศ หรือ เรียนรู่ในต่างประเทศ
ดร นิเวศน์ ตอบว่า ถ้ามีปัญญาก็ไปเรียนเมืองนอก ที่เป็น Top50ของโลก เพราะจบมาเท่กว่าเยอะ เช่น MIT กลับมาสร้างประโยชน์
ดร ไพบูลย์เสริม ถ้ามีภาระดูแลครอบครัว ก็เรียนในเมืองไทย เช่น นิด้า ดีกว่า
เพราะ จุฬา ธรรมศาสตร์ SASIN นิด้า หลักสูตรใช้ได้ แต่ถ้าให้เลือก นิด้าดีกว่า
ช่วงอายุไหนที่เหมาะสม ดร นิเวศน์ ตอบว่าถ้ามีไฟ ก็เรียนไปเลย
ลูกสาวของ ดร นิเวศน์เรียนจบก็เรียนต่อMBAทันที
แต่ถ้าไม่มีเงิน ก็ทำงานก่อน แล้วค่อยมาเรียน เหมือน ดร นิเวศน์
ถาม ดร นิเวศน์ ว่าตอนนั้นถ้ามีเงิน จะเรียนต่อเลยใช่ไหม
ดร นิเวศน์ บอกว่าก็เรียนต่อ แต่ถ้าทำงานก่อน ก็ได้เงิน และ ไม่ค่อยได้ใช้g’
บางทีเรียนMBAแล้ว ก็จะไม่ได้นำความรู้ทางวิศวมาใช้ เพราะสายงานที่ทำหลังจบไม่เกี่ยวข้องกัน
ถาม อ กำพล นิด้ามีอะไรเรียนบ้าง
อ กำพล บอกว่า TREND MOC สามารถเรียนprofessorที่ดังๆได้
อนาคตเรียนไปด้วยทำงานด้วย และ ได้ประสบการณ์จากต่างประเทศผ่าน MOC
เราต้องปรับตัวให้ก้าวหน้ามากขึ้น จีน ให้ทุนคนไปเรียนมหาวิทยาลัยดังๆ ไม่ต้องชดใช้ทุน
และซื้อตัวกลับมาทำงานที่จีนหลังประสบความสำเร็จจากบริษัทดังๆ
ผมเคยไปลงcourse design thinking at standford ไปดูที่ google ทุกอย่างฟรีหมด
อาหารจากcanteen เอาเชฟที่มีชื่อเสียงมาทำ แต่มีสองชาติคือ จีน อินเดีย คิดเป็น 2/3 ของทั้งหมาดและจะมีอาหารจีน และ อินเดีย
ผมก็หวังว่าไทยจะเป็นเหมือน จีน และ อินเดียที่google
Nidaพยายามร่วมมือกับองค์กรวิชาชีพ เช่น Master of secient
ใครจบหลักสูตรนี้ทำงานได้เลย ยังมี operation management
อีกแนวทาง ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่างประเทศ เช่น อินเดียน่า วาร์ตัน
หรือ ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในประเทศ เช่น พระจอมเกล้าลาดกระบัง
จะมีหลักสูตรตรี ควบ โท เช่น จบวิศวที่ลาดกระบังมาต่อที่นิด้าได้เลย
หรือ MBAplus แล้วไปเรียนกฎหมาย หรือ สิ่งแวดล้อม ได้ประกาศนียบัตรเพิ่มเติม
ตอนนี้เทรน การเรียนต้องใช้หลายศาสตร์ในการแก้ปัญหา
นี่คือหลักสูตรที่นิด้าพยายามคิดเพื่อเสริม
ดร ไพบูลย์ แนะนำแต่ละหลักของMBA ที่นิด้า
1. หลักสูตร regular เรียนตอนกลางวัน วันธรรมดา
2. Flexible MBA เรียนเสาร์ อาทิตย์ ต้องมีประสบการ์ณนิดนึง
3. MBA Pro คนเรียนจะเป็นนักเรียนเกียรตินิยมทั้งหมด
4. Accelerated MBA ( A MBA ) เป็นโครงการพิเศษเรียนในวันและเวลาราชการ
เป็นหลักสูตรเร่งรัด course work 1ปี เนื้อหาเน้นธุรกิจระหว่างประเทศในแถบเอเซียแปซิฟิก
5.Inter MBA เรียนเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ หลักสูตรอินเตอร์ มีชาติอื่นๆมาร่วมเรียนด้วย
มีทุนการศึกษาสำหรับนักศึกษาต่างชาติ
6. English MBA หลักสูตรภาษาอังกฤษ เป็นโครงการภาคปกติ มีสองสาขา คือการเงิน และ การตลาด
7. หลักสูตร Y MBA สำหรบผู้บริหารระดับต้น เรียนตอนเย็น
8. หลักสูตร Executive MBA ผู้บริหารระดับสูง เรียนตอนเย็น
9. FIRM หลักสูตรสำหรับเรียนเป็น CFA จบในปีครึ่ง ปีหน้าจะเรียนเป็นภาษาไทย สอบ CFP ได้
Case study มีทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ส่วนในไทยจะเรียกว่า local content
Caseที่ต่างประเทศ เราเรียนรู้และต้องปรับให้เข้ากับไทย หรือ local ด้วย
ถาม อาจารย์กำพล จะเปิดได้เมื่อไหร่
ตอบ สอบถามจากเจ้าหน้าที่ได้
ดร ไพบูลย์ บอกว่า หลักสูตรรับตลอดเวลา รับไปเรื่อยๆ แต่บางสาขา FIRM เปิดครั้งเดียวต่อปี
คุณสมบัติ บางหลักสูตรมีการสอบข้อเขียน หรือ ภาษาอังกฤษ บางหลักสูตรก็สัมภาษณ์อย่างเดียว
จบทุกสาขาของปริญญาตรีมาก็สมัครได้
คุณ อภิรักษ์ เสริม ว่า
1 ปัจจุบันเปลี่ยนเร็ว
2.วิถีชีวิตเปลี่ยนแปลง เช่น sharing economy : Grap , Uber ,Line Man มาช่วยได้
ดังนั้นหลักสูตรMBAก็ต้องปรับเปลี่ยนให้เข้ากับปัจจุบัน
สมัยใหม่มีroad map Thailand 4.0 เราต้องรู้ว่าบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงอย่างไร
ต้องเรียนlocal contentที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์บ้านเมืองด้วย
3.Harvard , gainlog ,warton ที่เราไปร่วมมือด้วย เอาความหลากหลายของนักศึกษา
จากยุโรป จีน ญี่ปุ่น อังกฤษ ยุโรป หรือ CLMV มาร่วมเรียนด้วย
ในอาเซียนบวกสาม จีน ญี่ปุ่น เกาหลี สำคัญมาก เวลาไปแต่ละประเทศ
คนที่นั่นเขาเรียนภาษาไทยด้วย เพื่อสื่อสารกับทางเราได้
ซึ่งจะช่วยนิด้ามีความหลายหลายสำหรับนักศึกษาในการเรียนรู้ต่างประเทศ
อาลีบาบา พึ่งมาลงใน EEC แสดงว่าlocation นี้ strategic location ด้วย
การเข้ามาของJack ma ธุรกิจต้องปรับตัวเพื่อความเปลี่ยนแปลง
คนที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงจะอยู่ไม่ได้ อย่ามองเป็นลบ แต่พยายามปรับตัว
ตัวอย่างเช่น Amazon เข้ามาบริษัทretailส่วนใหญ่ปิดหมด
แต่ในไทย Central join JD.com , Alibaba ก็มาซื้อ lazada
เล็ก ใหญ่ ไม่สำคัญ แต่เอาจุดแข็งของเล็ก คือ ปรับตัวได้เร็วกว่า
Flexible อะไรที่ไม่workล้มได้เลย อย่าไปมองว่าเป็น threat
ดร ไพบูลย์ บอกว่า การเรียนMBA เป็นการเรียนปริญญาโทสาขานึง เยอะไปก็ไม่ดี
แต่ถ้าใครสนใจ ก็สามารถดูรายละเอียดของแต่ละหลักสูตร แล้วตัดสินใจ