กระแส “ออเจ้า”/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์แล้ว: เสาร์ เม.ย. 07, 2018 1:33 pm
โค้ด: เลือกทั้งหมด
นาทีนี้คำว่า “ออเจ้า” ที่เป็นคำโบราณสมัยอยุธยาที่ใช้เรียกแทนชื่อเวลาพูดกับคนอื่นที่อายุน้อยกว่า อาวุโสน้อยกว่า หรือเพื่อนกันนั้น กลายเป็น “กระแส” หรือ “แฟชั่น” ที่คนกล่าวถึงในแทบทุกวงการอานิสงค์จากความนิยมของละครทีวีเรื่อง “บุพเพสันนิวาส” ทางช่อง 3 ที่ “ลบสถิติ” เรทติ้งของรายการทีวีหลังจากประเทศไทยเปลี่ยนมาเป็นระบบดิจิตอล และแน่นอนว่าผมในฐานะนักดูละครทีวีก็ไม่พลาดที่จะติดตามชมละครเรื่องนี้หลังจากที่เริ่มห่างจากการดูละครหลังข่าวไปบ้างในระยะหลัง ๆ
ก่อนที่จะพูดถึงเรื่องของบุพเพสันนิวาส ผมอยากที่จะพูดถึงการดูละครของผมก่อนเพราะผมรู้สึกว่าพฤติกรรมการดูทีวีของผม หรือว่าที่จริงคือการดูละคร “ที่บ้าน” ซึ่งรวมถึงภรรยาผมนั้นเปลี่ยนแปลงไป ย้อนหลังไปไกลตั้งแต่สมัยที่สื่อสังคมแบบไลน์ยังไม่มีนั้น ทีวีดูเหมือนว่าจะครองเวลาหรือสายตาของคนทั้งประเทศในช่วงหัวค่ำหลังเลิกงานและละครก็คือสิ่งที่คนจำนวนมากติดตามชมโดยเฉพาะละครจากช่อง 7 และช่อง 3 และนั่นทำให้เรทติ้งของสองช่องนี้สูงลิ่ว แต่หลังจากที่มีทีวีดิจิตอลเพิ่มขึ้นหลายสิบช่อง เรทติ้งของทีวีช่องเดิมก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง พอไลน์และเฟสบุคเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง เรทติ้งของช่องทีวีก็ยิ่งตกต่ำลง ละครซึ่งที่บ้านผมต้องเปิดดูทุกวันในช่วงหัวค่ำเวลานี้ก็อาจจะยังเปิดอยู่บ้างแต่บ่อยครั้งก็แทบจะไม่ได้ดู เราเริ่มรู้สึกว่ามัน “ซ้ำซาก” ไม่สนุก เหตุผลคงเป็นเพราะว่าเรา “มีทางเลือก” อื่นที่น่าสนใจกว่า เหนือสิ่งอื่นใด เรามีสื่อสังคมที่พร้อมให้ความเพลิดเพลินหรือมีความน่าสนใจในระดับหนึ่งเสมอเพราะมันเป็นเรื่องของการ “ติดต่อสื่อสาร” ที่ทุกคนต่างก็ชอบทำ เพราะมันอยู่ในยีนของมนุษย์
ว่าที่จริงในตอนหรือสองตอนแรกผมเองไม่ได้ดูละครเรื่องบุพเพสันนิวาสด้วยซ้ำเพราะผมคิดว่ามันก็เป็น “ละครน้ำเน่า” Remake หรือทำซ้ำอีกครั้งหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเป็นประจำและคนจำนวนไม่น้อยรวมถึงที่บ้านผม “เบื่อแล้ว” แต่หลังจากนั้นผมก็เริ่มรับรู้และหันมาติดตามชมเนื่องจากละครเรื่องนี้มีเนื้อเรื่องที่เป็นแนวใหม่ที่ละครไทยไม่เคยทำมาก่อน มันเป็นเรื่อง “อิงประวัติศาสตร์” ของไทยสมัยพระนารายณ์มหาราชของอยุธยาซึ่งเป็นประวัติศาสตร์ไทยช่วงที่น่าสนใจที่สุดช่วงหนึ่ง แต่ก็แน่นอนว่าไม่ใช่แค่เรื่องที่อิงประวัติศาสตร์ที่ทำให้ละครโดดเด่นมาก เพราะละครที่อิงประวัติศาสตร์ก็เคยมีไม่น้อย แต่ละครเหล่านั้นมักเป็นประวัติศาสตร์ “จากตำราเรียน” ที่มักจะถูกเขียนหรืออาจจะ “แต่ง” ขึ้นในภายหลังโดยนักประวัติศาสตร์ “ของรัฐ” ซึ่งประชาชนหรือคนทั่วไปอาจจะ “จับต้องไม่ได้” เพราะมันมักจะไม่ได้เขียนหรือกล่าวถึง “คนธรรมดา” หรือภาพของสังคมในยุคนั้นจริง ๆ
ประวัติศาสตร์ช่วงยุคพระนารายณ์นั้น ดูเหมือนว่าจะโดดเด่นส่วนหนึ่งเพราะมันถูกเขียนโดยคนต่างชาติที่ไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรจากการที่จะบิดเบือนสิ่งที่เขาเห็นมากนักโดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับสังคมและชีวิตของคนไทยในยุคนั้น คนเขียนนิยายและคนเขียนบทละครเรื่องนี้เองก็ดูเหมือนว่าจะพยายามสะท้อนภาพของคนในสมัยนั้นอย่างเท่าเทียมตั้งแต่คนระดับสูงสุดจนถึงไพร่และใกล้เคียงกับความเป็นจริงเท่าที่จะทำได้โดยอาศัยเอกสารอ้างอิงจากบันทึกของชาวต่างชาติที่จารึกไว้ในยุคนั้น แน่นอน รายละเอียดเช่นสถานที่เสื้อผ้าหน้าผมก็คงต้องดูดีกว่าความเป็นจริงตามปกติของการสร้างหนังที่ไม่ใช่สารคดี แต่การเดินเรื่องและบทพูดต่าง ๆ นั้นผมคิดว่าทำได้กระชับมีเหตุผลและมีความบันเทิงจนแม้แต่คนที่ไม่เคยดูละครไทยก็ดูได้อย่างไม่น่าเบื่อแม้บางคนจะบอกว่า “ต้องดู” เพราะจะตามคนอื่นไม่ทันคุยกันไม่รู้เรื่องในช่วงที่วงสนทนาในช่วงนี้ต่างก็กล่าวขวัญถึง
ความนิยมของละครบุพเพสันนิวาสก่อให้เกิดกิจกรรมต่าง ๆ ตามมามากมาย การท่องเที่ยวสถานที่ในอยุธยาและลพบุรีพุ่งขึ้นหลายเท่าเช่นเดียวกับชุดไทยที่มีคนซื้อและเช่าสูงขึ้นอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ดาราที่แสดงต่างก็มีงานโชว์ตัวเต็มอัตรา รายได้จากการโฆษณาที่เกี่ยวข้องโตขึ้นหลายเท่า อาหารที่คนไทยไม่เคยรู้จักเช่น “หมูสร่ง” ก็ถูกนำออกมาแสดงการทำและขายในงานออกร้าน คนหันมาสนใจประวัติศาสตร์มากขึ้น แม้แต่คณะโบราณคดีในมหาวิทยาลัยก็ยังมีคนสนใจสอบเข้าไปเรียนสูงขึ้นหลายเท่าตัว ทุกคนตั้งแต่ชาวบ้านที่เอาลูกเล็กแต่งตัวถ่ายรูปขึ้น IG ไปถึงนักการเมืองต่างให้สัมภาษณ์หรือสร้างอิเว้นท์เพื่อให้ตนเองอยู่ในกระแส นี่คืออาการของ FOMO หรือ “Fear of missing out” อย่างสมบูรณ์แบบ
หุ้นของช่อง 3 หรือ BEC ปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นหลังจากที่ตกลงมายาวนานต่อเนื่องเพราะเรทติ้งต่ำลงต่อเนื่องยาวนานส่งผลต่อกำไรของบริษัทที่ลดลงตามกัน ตรงกันข้าม หุ้น WORK ที่ก่อนหน้านี้ที่มีรายการหน้ากากนักร้องหรือ “Mask Singer” ทำเรทติ้งสูงกว่าละครจากช่องเจ้าตลาดดั้งเดิมและทำให้ราคาหุ้นเพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดนั้น ช่วงนี้ก็ปรับตัวลดลงอย่างแรง เหตุผลส่วนหนึ่งนั้นน่าจะมาจากละครเรื่องบุพเพสันนิวาสที่มีบางคนคำนวณว่าอาจจะสร้างรายได้ให้กับคนที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะ BEC เป็น “พันล้านบาท”
ทั้งหมดที่กล่าวถึงนั้นผมคิดว่ามันเป็นกระแสหรือแฟชั่น “ชั่วคราว” ที่ “มาเร็วไปเร็ว” แต่ผลกระทบของมันต่อความคิดหรือแนวทางการทำละครและการศึกษาเรื่องของประวัติศาสตร์ไทยโดยเฉพาะต่อ “คนรุ่นใหม่” เปลี่ยนแปลงไปไม่มากก็น้อย ว่าถึงเรื่องของการทำละครนั้น ผมคิดว่าหลังจากเรื่องนี้น่าจะมีคนที่กล้าสร้างสรรค์เรื่องราวใหม่ ๆ มากขึ้น หมดยุคที่จะนำนิยายเก่า ๆ มาทำซ้ำโดยเปลี่ยนผู้แสดงและบทพูดเล็ก ๆ น้อย เพราะคิดว่ายังไงคอละครก็จะดูเรื่องที่เคยพิสูจน์ว่าประสบความสำเร็จมาทุกครั้งที่นำมาสร้างใหม่ พูดถึงเรื่องนี้ผมเองคิดถึง NETFLIX ที่สร้างละครที่น่าดูมากมายขายสมาชิกบอกรับทั่วโลกและทำให้ราคาหุ้นขึ้นเป็นจรวดต่อเนื่องมานาน บางทีทีวีบ้านเราอาจจะถึงเวลาที่จะต้อง “คิดใหม่” เพื่อที่จะรักษาสถานะของสื่อที่เคยรุ่งเรืองเป็นซุปเปอร์สต็อกให้ยังมีที่ยืนในยุคดิจิตอลนี้
ในด้านของสังคม ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงมากน้อยแค่ไหนโดยเฉพาะในด้านเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และการเรียนรู้ เรื่องนี้จะทำให้คนไทยโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ Conservative หรือมีความคิดอนุรักษ์นิยมมากขึ้นหรือไม่เนื่องจากมันเกี่ยวข้องกับเรื่องราวเก่า ๆ และมีเรื่องราวเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างต่างชาติกับไทยที่อาจจะก่อให้เกิดความรู้สึกชาตินิยมมากขึ้น หรือตรงกันข้าม มันทำให้เราเป็น Liberal หรือมีความคิดเสรีนิยมมากขึ้นหรือไม่เนื่องจากตัวนางเอกเองนั้นมีความคิดแบบคนยุคใหม่ในขณะเดียวกันก็ยอมรับกับค่านิยมของไทยยุคโบราณในบางเรื่องและนี่ก็อาจจะเป็นคนที่มีแนวคิดแบบ “เสรีนิยม” โดยแท้ บทละครเองก็แสดงให้เห็นว่า ที่จริงคนสมัยกว่าสามร้อยปีที่อยุธยาเองนั้นไม่ได้มีความคิดอนุรักษ์และ “กดขี่” อย่างที่คนบางคนในปัจจุบันคิด บทบาทของ “อีปลิก” ไพร่ที่โดดเด่นมากในเรื่องที่กล้าโต้เถียงกับนายนั้น ผมคิดว่ามันฉีกแนวจากละครย้อนยุคเรื่องอื่น ๆ ที่อาจจะมีผลสะเทือนต่อความคิดของคนในสังคมไทยบางส่วนที่คาดหวังว่าคนที่ต่ำกว่านั้นไม่ควรมีสิทธิที่จะโต้เถียง ทั้งหลายทั้งปวงนั้นผมไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าละครเรื่องนี้จะส่งผลมากน้อยแค่ไหนหรือไม่ส่งผลเลย แต่จากการศึกษาประวัติศาสตร์เช่นของอเมริกานั้นผมพบว่า เหตุการณ์ทางสังคมหรือเรื่องราวผ่านภาพยนตร์ดังนั้น บ่อยครั้ง ส่งสัญญาณที่ไม่ลำเอียงว่า สังคมกำลังเปลี่ยนไป
ผมเองชอบศึกษาประวัติศาสตร์ แต่ที่ผ่านมามักจะเป็นประวัติศาสตร์โลกเช่นเรื่องของการสงครามและเศรษฐกิจ บางทีถ้ามีเวลาผมอาจจะหันมาศึกษาประวัติศาสตร์ไทยโดยเฉพาะในช่วงพระนารายณ์ หนังสือเล่มที่ผมดูอยู่ก็คือจดหมายเหตุลาลูแบร์ที่เล่าเรื่องของคนไทยและสภาวะแวดล้อมของราชอาณาจักรสยามในยุคนั้น