บทความ ดร.นิเวศน์ อาทิตย์นี้พูดถึง ปีเตอร์ ลินช์ ครับ
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 13, 2004 5:09 pm
ตำนานของนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่คงต้องบันทึกชื่อของปีเตอร์ ลินช์ไว้ด้วย เหตุผลข้อหนึ่งก็คือ เขาเคยเป็นผู้บริหารกองทุนรวมที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดคนหนึ่งด้วยสถิติการบริหารกองทุนแม็คเจ็ลลัน 13 ปี ตั้งแต่ปี 1977- 1990 ซึ่งให้ผลตอบแทนทบต้นปีละประมาณ 29% ทำให้กองทุนแม็คเจ็ลลันกลายเป็นกองทุนรวมที่มีผลงานที่ดีที่สุดและใหญ่ที่สุดเมื่อเขาเลิกบริหารและเกษียณอายุตัวเองก่อนกำหนดเมื่อมีอายุเพียง 46 ปี
แต่เหตุผลที่ทำให้ปีเตอร์ลินช์เป็นนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่แม้กระทั่งปัจจุบันและต่อไปตราบนานเท่านานนั้น อีกส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการที่เขาได้เขียนหนังสือบอกวิธีการลงทุนของเขารวมกันไม่น้อยกว่า 3 เล่มคือ One Up on Wall Street, Beating the Street และ Learn to Earn ทั้งสามเล่มขายดีเป็น Best Seller แต่ผมคิดว่า One Up on Wall Street ซึ่งเป็นเล่มแรกน่าจะเป็นเล่มที่ขายดีที่สุดและน่าจะขายได้เป็นล้านเล่มนับจากวันที่เริ่มตีพิมพ์จนถึงวันนี้
สำหรับผม One Up on Wall Street คือหนังสือ How to คือเป็นคู่มือที่สามารถนำไปใช้ได้ง่ายและน่าอ่านที่สุดเล่มหนึ่ง เพราะมันรวบรวมประสบการณ์จริงของเซียนหุ้นระดับโลกที่เล่าถึงวิธีการลงทุนในทางปฎิบัติที่คนธรรมดาสามารถเอาไปประยุกต์ใช้ได้
ว่าที่จริงผมยังไม่เคยเจอหนังสือการลงทุนที่สนุกสนานและมีเนื้อหาเข้มข้นเท่ากับ One Up on Wall Street ที่สำคัญ หนังสือเริ่มตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1989 จนถึงขณะนี้มันยังทันสมัยและไม่น่าเบื่อที่จะอ่านซ้ำ และผมคิดว่ามันจะกลายเป็นหนังสือคลาสสิคแบบเดียวกับหนังสืออย่าง Intelligent Investor ของเบน เกรแฮม และ Common Stock and Uncommon Profit ของฟิลิป ฟิสเชอร์
หัวใจสำคัญของการลงทุนข้อหนึ่งที่ปีเตอร์ลินช์บอกก็คือ ในการวิเคราะห์หุ้นคุณจะต้องรู้ว่าหุ้นตัวนั้นเป็นหุ้นประเภทใดใน 6 ประเภทซึ่งประกอบไปด้วย:
หุ้นโตช้า นี่คือหุ้นที่กำไรของกิจการเติบโตไปพร้อมกับเศรษฐกิจหรือต่ำกว่าและคุณซื้อหุ้นเหล่านี้เพื่อหวังปันผล เวลาดูว่าน่าสนใจหรือไม่คุณต้องตรวจสอบว่ามันจ่ายปันผลมาตลอดหรือไม่ ปันผลของบริษัทสม่ำเสมอแค่ไหนและมันค่อย ๆ เพิ่มขึ้นหรือเปล่า นอกจากนั้นปันผลที่จ่ายคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของกำไรของบริษัท เพราะถ้าจ่ายในอัตราที่สูงมากก็อาจจะรักษาระดับปันผลนั้นไม่ได้เมื่อบริษัทประสบกับปัญหาหรือกำไรตกต่ำลง ในเมืองไทยนี่น่าจะรวมถึงหุ้นในกลุ่มสิ่งทอ เกษตร และอาหาร เป็นต้น
หุ้นแข็งแกร่ง นี่คือหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ที่มีความเข้มแข็งทางด้านการตลาด การเงิน การบริหาร และอื่น ๆ เป็นหุ้นบลูชิพที่สามารถทนต่อภาวะการณ์เลวร้ายทางเศรษฐกิจและไม่เจ๊งง่าย ๆ การเล่นหุ้นในกลุ่มนี้จะค่อนข้างปลอดภัยถ้าคุณไม่ซื้อหุ้นที่มีค่า PE สูง และคุณดูแล้วว่าอัตราการเจริญเติบโตในระยะยาวของบริษัทพอใช้ได้ บริษัทไม่ขยายตัวไปทำอะไรนอกลู่นอกทางที่จะทำให้กิจการเสียหาย
ข้อควรตระหนักสำหรับหุ้นเหล่านี้ก็คือ หุ้นพวกนี้เป็นหุ้นช้าง เพราะฉะนั้นมันไม่สามารถ บิน หรือ กระโดด ได้ ดังนั้นเมื่อคุณได้กำไรสัก 30% ก็ปล่อยของได้แล้ว การที่หุ้นจะวิ่งขึ้นไปหลาย ๆ เท่าในระยะเวลาอันสั้นนั้นเป็นไปไม่ได้ แต่หุ้นเหล่านี้บางตัวคุณถือได้จนตายและอาจได้ผลตอบแทนในอัตรา 10-15% ต่อปีในระยะยาว
หุ้นวัฏจักร เป็นหุ้นของบริษัทที่มียอดขายและกำไรขึ้นลงเป็นช่วง ๆ ที่พอคาดการณ์ได้ การเล่นหุ้นวัฏจักรนั้น หัวใจสำคัญก็คือคุณต้องรู้จักอุตสาหกรรมนั้นดีพอที่จะรู้ว่าอุตสาหกรรมนั้นกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลง เพราะราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นสูงสุด และกำลังจะปรับตัวลงเมื่อกำไรของกิจการขึ้นสู่จุดสูงสุด
หุ้นวัฏจักรที่เห็นชัดเจนในตลาดหุ้นไทยน่าจะอยู่ในอุตสาหกรรมที่ผลิตวัตถุดิบที่เป็นโภคภัณฑ์ซึ่งรวมถึง ปิโตรเคมี เยื่อกระดาษ เหล็ก การขนส่งทางทะเล หรือแม้แต่อสังหาริมทรัพย์
หุ้นโตเร็ว นี่คือหุ้นของกิจการที่กำไรเติบโตเร็ว 20-25% ขึ้นไป อย่างน้อยในช่วงเวลา 4-5 ปีข้างหน้า หุ้นเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องอยู่ในอุตสาหกรรมที่โตเร็ว หรือมียอดขายเติบโตมาก การดูหุ้นโตเร็วจะต้องวิเคราะห์ว่ายังมีช่องว่างที่บริษัทจะเติบโตต่อไปอีกมากไม่ใช่โตต่อไปได้อีกไม่เท่าไรก็ตันแล้ว นอกจากนั้น หุ้นที่โตเร็วเกินไปซึ่งมักจะอยู่ในอุตสาหกรรมที่ร้อนแรงนั้นมักจะอันตราย เพราะคู่แข่งจะเข้ามามากทำให้การเจริญเติบโตไม่ยั่งยืน
การเลือกหุ้นโตเร็วต้องดูว่าค่า PE ไม่สูงเกินไป ปีเตอร์ลินช์บอกว่าค่า PE ควรจะต่ำกว่าอัตราการเจริญเติบโตของบริษัท เช่นถ้าเติบโต 20% ต่อปี ก็ควรมีค่า PE ไม่เกิน 20 เท่า หุ้นโตเร็วเป็นหุ้นที่มีศักยภาพในการที่จะทำกำไรได้สูงสุดในความเห็นของปีเตอร์ลินช์ ในเมืองไทยหุ้นโตเร็วน่าจะรวมถึงหุ้นในอุตสาหกรรมรถยนต์ บันเทิง และอาจจะสื่อสารบางส่วน เป็นต้น
หุ้นฟื้นตัว นี่คือหุ้นของกิจการที่มีปัญหาและมีโอกาสที่จะเอาตัวรอดและกลับมาทำกำไรได้ ในแง่ของปีเตอร์ลินช์ซึ่งอยู่ในสังคมของประเทศพัฒนาแล้ว เขาคิดว่าจะต้องเป็นบริษัทที่มีหนี้น้อยและมีเงินสดมาก รวมทั้งโครงสร้างหนี้จะต้องเอื้ออำนวยนั่นคือ หนี้ระยะสั้นที่ถึงกำหนดชำระคืนเร็วควรจะมีน้อย สิ่งสำคัญต่อมาก็คือ บริษัทจะต้องมีหนทางที่จะฟื้นตัว เช่น สามารถขายทรัพย์สินหรือกิจการอื่นเพื่อนำเงินสดมาใช้
ในตลาดหุ้นไทยนั้น ผมคิดว่าหุ้นมีโอกาสฟื้นตัวได้ง่ายกว่าเพราะบริษัทสามารถบีบสถาบันการเงินได้มากกว่า และโครงสร้างหนี้ก็สามารถปรับได้ง่าย การขอลดหนี้ของบริษัทก็ทำได้ง่าย เพราะกฎหมายและการบังคับใช้เอื้ออำนวยให้กับลูกหนี้มาก
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร
หุ้นฟื้นตัวเป็นหุ้นที่สามารถสร้างความร่ำรวยให้กับคนที่สามารถคาดการสถานการณ์ได้ถูกต้องและซื้อหุ้นในขณะที่ราคาต่ำติดดิน
หุ้นทรัพย์สินมาก ซึ่งเป็นกลุ่มสุดท้าย เป็นหุ้นของกิจการที่มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สินมากเมื่อเทียบกับราคาหุ้น สิ่งที่ต้องจับตาดูก็คือ บริษัทกำลังจะไปก่อหนี้ใหม่หรือเอาเงินไปใช้ในสิ่งที่อาจทำให้เกิดความเสียหายหรือไม่ แต่ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ จะมีนักล่ากิจการเข้ามาปลดปล่อยทรัพย์สินที่ซ่อนอยู่เพื่อให้ผู้ถือหุ้นได้ประโยชน์หรือไม่
ทั้งหมดนั้นก็คือเกร็ดวิธีอย่างย่อที่สุดของการเลือกหุ้นในแบบฉบับของปีเตอร์ลินช์ที่ Value Investor ทุกคนควรเรียนรู้ เช่นเดียวกับนักเก็งกำไร แม่บ้าน และมืออาชีพ เช่น ผู้จัดการกองทุนต่าง ๆ เพราะนี่คือวิธีการลงทุนสำหรับทุกคนอย่างแท้จริง
แต่เหตุผลที่ทำให้ปีเตอร์ลินช์เป็นนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่แม้กระทั่งปัจจุบันและต่อไปตราบนานเท่านานนั้น อีกส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการที่เขาได้เขียนหนังสือบอกวิธีการลงทุนของเขารวมกันไม่น้อยกว่า 3 เล่มคือ One Up on Wall Street, Beating the Street และ Learn to Earn ทั้งสามเล่มขายดีเป็น Best Seller แต่ผมคิดว่า One Up on Wall Street ซึ่งเป็นเล่มแรกน่าจะเป็นเล่มที่ขายดีที่สุดและน่าจะขายได้เป็นล้านเล่มนับจากวันที่เริ่มตีพิมพ์จนถึงวันนี้
สำหรับผม One Up on Wall Street คือหนังสือ How to คือเป็นคู่มือที่สามารถนำไปใช้ได้ง่ายและน่าอ่านที่สุดเล่มหนึ่ง เพราะมันรวบรวมประสบการณ์จริงของเซียนหุ้นระดับโลกที่เล่าถึงวิธีการลงทุนในทางปฎิบัติที่คนธรรมดาสามารถเอาไปประยุกต์ใช้ได้
ว่าที่จริงผมยังไม่เคยเจอหนังสือการลงทุนที่สนุกสนานและมีเนื้อหาเข้มข้นเท่ากับ One Up on Wall Street ที่สำคัญ หนังสือเริ่มตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1989 จนถึงขณะนี้มันยังทันสมัยและไม่น่าเบื่อที่จะอ่านซ้ำ และผมคิดว่ามันจะกลายเป็นหนังสือคลาสสิคแบบเดียวกับหนังสืออย่าง Intelligent Investor ของเบน เกรแฮม และ Common Stock and Uncommon Profit ของฟิลิป ฟิสเชอร์
หัวใจสำคัญของการลงทุนข้อหนึ่งที่ปีเตอร์ลินช์บอกก็คือ ในการวิเคราะห์หุ้นคุณจะต้องรู้ว่าหุ้นตัวนั้นเป็นหุ้นประเภทใดใน 6 ประเภทซึ่งประกอบไปด้วย:
หุ้นโตช้า นี่คือหุ้นที่กำไรของกิจการเติบโตไปพร้อมกับเศรษฐกิจหรือต่ำกว่าและคุณซื้อหุ้นเหล่านี้เพื่อหวังปันผล เวลาดูว่าน่าสนใจหรือไม่คุณต้องตรวจสอบว่ามันจ่ายปันผลมาตลอดหรือไม่ ปันผลของบริษัทสม่ำเสมอแค่ไหนและมันค่อย ๆ เพิ่มขึ้นหรือเปล่า นอกจากนั้นปันผลที่จ่ายคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของกำไรของบริษัท เพราะถ้าจ่ายในอัตราที่สูงมากก็อาจจะรักษาระดับปันผลนั้นไม่ได้เมื่อบริษัทประสบกับปัญหาหรือกำไรตกต่ำลง ในเมืองไทยนี่น่าจะรวมถึงหุ้นในกลุ่มสิ่งทอ เกษตร และอาหาร เป็นต้น
หุ้นแข็งแกร่ง นี่คือหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ที่มีความเข้มแข็งทางด้านการตลาด การเงิน การบริหาร และอื่น ๆ เป็นหุ้นบลูชิพที่สามารถทนต่อภาวะการณ์เลวร้ายทางเศรษฐกิจและไม่เจ๊งง่าย ๆ การเล่นหุ้นในกลุ่มนี้จะค่อนข้างปลอดภัยถ้าคุณไม่ซื้อหุ้นที่มีค่า PE สูง และคุณดูแล้วว่าอัตราการเจริญเติบโตในระยะยาวของบริษัทพอใช้ได้ บริษัทไม่ขยายตัวไปทำอะไรนอกลู่นอกทางที่จะทำให้กิจการเสียหาย
ข้อควรตระหนักสำหรับหุ้นเหล่านี้ก็คือ หุ้นพวกนี้เป็นหุ้นช้าง เพราะฉะนั้นมันไม่สามารถ บิน หรือ กระโดด ได้ ดังนั้นเมื่อคุณได้กำไรสัก 30% ก็ปล่อยของได้แล้ว การที่หุ้นจะวิ่งขึ้นไปหลาย ๆ เท่าในระยะเวลาอันสั้นนั้นเป็นไปไม่ได้ แต่หุ้นเหล่านี้บางตัวคุณถือได้จนตายและอาจได้ผลตอบแทนในอัตรา 10-15% ต่อปีในระยะยาว
หุ้นวัฏจักร เป็นหุ้นของบริษัทที่มียอดขายและกำไรขึ้นลงเป็นช่วง ๆ ที่พอคาดการณ์ได้ การเล่นหุ้นวัฏจักรนั้น หัวใจสำคัญก็คือคุณต้องรู้จักอุตสาหกรรมนั้นดีพอที่จะรู้ว่าอุตสาหกรรมนั้นกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลง เพราะราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นสูงสุด และกำลังจะปรับตัวลงเมื่อกำไรของกิจการขึ้นสู่จุดสูงสุด
หุ้นวัฏจักรที่เห็นชัดเจนในตลาดหุ้นไทยน่าจะอยู่ในอุตสาหกรรมที่ผลิตวัตถุดิบที่เป็นโภคภัณฑ์ซึ่งรวมถึง ปิโตรเคมี เยื่อกระดาษ เหล็ก การขนส่งทางทะเล หรือแม้แต่อสังหาริมทรัพย์
หุ้นโตเร็ว นี่คือหุ้นของกิจการที่กำไรเติบโตเร็ว 20-25% ขึ้นไป อย่างน้อยในช่วงเวลา 4-5 ปีข้างหน้า หุ้นเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องอยู่ในอุตสาหกรรมที่โตเร็ว หรือมียอดขายเติบโตมาก การดูหุ้นโตเร็วจะต้องวิเคราะห์ว่ายังมีช่องว่างที่บริษัทจะเติบโตต่อไปอีกมากไม่ใช่โตต่อไปได้อีกไม่เท่าไรก็ตันแล้ว นอกจากนั้น หุ้นที่โตเร็วเกินไปซึ่งมักจะอยู่ในอุตสาหกรรมที่ร้อนแรงนั้นมักจะอันตราย เพราะคู่แข่งจะเข้ามามากทำให้การเจริญเติบโตไม่ยั่งยืน
การเลือกหุ้นโตเร็วต้องดูว่าค่า PE ไม่สูงเกินไป ปีเตอร์ลินช์บอกว่าค่า PE ควรจะต่ำกว่าอัตราการเจริญเติบโตของบริษัท เช่นถ้าเติบโต 20% ต่อปี ก็ควรมีค่า PE ไม่เกิน 20 เท่า หุ้นโตเร็วเป็นหุ้นที่มีศักยภาพในการที่จะทำกำไรได้สูงสุดในความเห็นของปีเตอร์ลินช์ ในเมืองไทยหุ้นโตเร็วน่าจะรวมถึงหุ้นในอุตสาหกรรมรถยนต์ บันเทิง และอาจจะสื่อสารบางส่วน เป็นต้น
หุ้นฟื้นตัว นี่คือหุ้นของกิจการที่มีปัญหาและมีโอกาสที่จะเอาตัวรอดและกลับมาทำกำไรได้ ในแง่ของปีเตอร์ลินช์ซึ่งอยู่ในสังคมของประเทศพัฒนาแล้ว เขาคิดว่าจะต้องเป็นบริษัทที่มีหนี้น้อยและมีเงินสดมาก รวมทั้งโครงสร้างหนี้จะต้องเอื้ออำนวยนั่นคือ หนี้ระยะสั้นที่ถึงกำหนดชำระคืนเร็วควรจะมีน้อย สิ่งสำคัญต่อมาก็คือ บริษัทจะต้องมีหนทางที่จะฟื้นตัว เช่น สามารถขายทรัพย์สินหรือกิจการอื่นเพื่อนำเงินสดมาใช้
ในตลาดหุ้นไทยนั้น ผมคิดว่าหุ้นมีโอกาสฟื้นตัวได้ง่ายกว่าเพราะบริษัทสามารถบีบสถาบันการเงินได้มากกว่า และโครงสร้างหนี้ก็สามารถปรับได้ง่าย การขอลดหนี้ของบริษัทก็ทำได้ง่าย เพราะกฎหมายและการบังคับใช้เอื้ออำนวยให้กับลูกหนี้มาก
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร
หุ้นฟื้นตัวเป็นหุ้นที่สามารถสร้างความร่ำรวยให้กับคนที่สามารถคาดการสถานการณ์ได้ถูกต้องและซื้อหุ้นในขณะที่ราคาต่ำติดดิน
หุ้นทรัพย์สินมาก ซึ่งเป็นกลุ่มสุดท้าย เป็นหุ้นของกิจการที่มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สินมากเมื่อเทียบกับราคาหุ้น สิ่งที่ต้องจับตาดูก็คือ บริษัทกำลังจะไปก่อหนี้ใหม่หรือเอาเงินไปใช้ในสิ่งที่อาจทำให้เกิดความเสียหายหรือไม่ แต่ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ จะมีนักล่ากิจการเข้ามาปลดปล่อยทรัพย์สินที่ซ่อนอยู่เพื่อให้ผู้ถือหุ้นได้ประโยชน์หรือไม่
ทั้งหมดนั้นก็คือเกร็ดวิธีอย่างย่อที่สุดของการเลือกหุ้นในแบบฉบับของปีเตอร์ลินช์ที่ Value Investor ทุกคนควรเรียนรู้ เช่นเดียวกับนักเก็งกำไร แม่บ้าน และมืออาชีพ เช่น ผู้จัดการกองทุนต่าง ๆ เพราะนี่คือวิธีการลงทุนสำหรับทุกคนอย่างแท้จริง