หน้า 1 จากทั้งหมด 1

Stock Battle the series

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ย. 05, 2017 10:36 am
โดย amornkowa
Stock Battle the series
EP1 SIS & SYNEX ตอนที่1 SIS


ที่มาของบทความเรื่องนี้ ผมได้ไอเดียจากรายการ วีไอกึ่งสำเร็จรูป ซึ่งดำเนินรายการโดย กรรมการและอนุกรรมกาสมาคมไทยวีไอ ได้แก่ น้องตู้ น้องเบส น้องปริญญ์ โดยทุกเดือนจะมีการเปรียบเทียบหุ้นที่มีลักษณะคล้ายกัน ว่าแต่ละบริษัท
มีความเหมือน และ แตกต่างกันอย่างไรบ้าง ก็เลยคิดว่าจะลองเขียนแนวนี้น่าจะมีประโยชน์กับผู้อ่านบ้าง

เหตุที่เลือกคู่ Battle SIS & SYNEX เป็นคู่แรกนั้นส่วนนึง คืออยู่ในวงการคอมพิวเตอร์มาตลอดเลยอยากแชร์ข้อมูลที่ไปสัมผัสมา และ ข้อมูลหาได้ไม่ยากจาก Webboard Thaivi , Finomina ที่เขียนก่อนหน้านี้ ต้องขอบคุณทั้งสองแหล่งข้อมูลนะครับ
ผมจะเริ่มที่บริษัท เอสไอเอส หรือ SIS Distribution (Thailand ) ก่อนนะครับ

ข้อมูลช่วงแรกของ SIS

บริษัทฯ ประกอบธุรกิจขายส่งคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ต่อพ่วงและอุปกรณ์สำนักงานอัตโนมัติต่าง ๆ โดยบริษัทฯ เป็นผู้แทนจำหน่ายสินค้าจากผู้ผลิตประมาณ 53 ราย และมีจำนวนสินค้าที่จำหน่ายมากกว่า 4,600 รายการ บริษัทฯ มีฐานลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบการคอมพิวเตอร์ทั้งที่เป็นร้านค้าปลีก บริษัทผู้ค้าที่จำหน่ายเข้าภาคธุรกิจและหน่วยงานราชการ ผู้รับวางระบบ ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ภายใต้เครื่องหมายการค้าของตัวเอง ฯลฯ โดยในปี 2549 มีจำนวนคู่ค้ามากกว่า 3,900 ราย

วิเคราะห์ความเสี่ยงของธุรกิจ

1.1) ความเสี่ยงจากการพึ่งพาผู้ผลิตน้อยราย

ถึงแม้บริษัทฯ จะซื้อสินค้าจากผู้ผลิต 53 ราย ในปี 2549, ร้อยละ 80 ของยอดขาย เป็นสินค้าที่มาจากผู้ผลิตเพียง 8 รายคือ Acer, Apple, Dopod, HP, IBM, Lenovo, Philips, Samsung

ผู้ผลิตที่บริษัทฯ ขายสินค้ามากที่สุดในปี 2549 คือ HP ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 45 ของสินค้าทั้งหมดเนื่องจาก HP เป็นผู้ผลิตสินค้า IT หลายประเภท ครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภคทั้งส่วนบุคคลและองค์กร รวมไปถึง HP ก็มีนโยบายที่จะจัดจำหน่ายสินค้าผ่านผู้ค้าส่งจึงทำให้บริษัทฯ มียอดจำหน่ายสินค้าของ HP เป็นสัดส่วนที่สูง อันทำให้บริษัทฯ มีความเสี่ยงในแง่ของการพึ่งพาผู้ผลิตน้อยราย อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ก็เป็นลูกค้ารายใหญ่ของ HP เช่นกัน ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทฯ และ HP เป็นความสัมพันธ์ที่ต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน ต่อมาเมื่อHP drop ลง ก็มาขายสินค้าของ Acer แทน ทำให้ยังรักษาส่วนแบ่งตลาดคอมพิวเตอร์ แต่หลังจากแบรนด์อื่นเริ่มเข้ามาทำตลาดมากขึ้นเช่น Asus , Lenovo ทำให้ SISเข้ามาทำตลาดในสองยี่ห้อมากขึ้น ทำให้ยังมีส่วนแบ่งตลาดค่อนข้างสม่ำเสมอ แต่น่าเสียดายว่า เทรนของTablet , Smart phoneมาแรง ทำให้ยอดขายโดยรวมdropลง

ส่วนสินค้าSmartphone ถือว่าในอดีตค่อนข้างทำได้ดี เป็นผู้นำในตลาด โดยได้นำสินค้า Dopodเข้ามาขาย ต่อมาได้
เปลี่ยนชื่อเป็นHTC ก็ยังสามารถโปรโมทแบรนด์ให้ติดอันดับหนึ่ง ต่อมาได้ทำตลาดมือถือBB ในช่วงที่ตลาดเริ่มเป็นขาลง แต่ก็พยายามทำตลาดในส่วนองค์กร โดย BB มีจุดแข็งที่สามารถchatหากันโดยไม่มีค่าใช้จ่าย และโทรฟรีหากันในองค์กร สุดท้ายก็ไม่สามารถฝืนแนวโน้มตลาดได้ ทำให้สินค้าค้างstockมากมาย
อย่างไรก็ตาม กำไรในส่วนsmartphoneก็เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยสร้างกำไรให้บริษัทมากมายในช่วงที่ผ่านมา
ต่อมาทางOperatorเริ่มเข้ามาทำตลาดเอง มีการsubsidizeราคาให้กับผู้ใช้บริการ ทำให้บทบาทของSISค่อยๆลดลง
ปัจจุบัน ได้ทำตลาดมือถือWIKOจากฝรั่งเศส ยอดขายถ้าเทียบกับสมัยก่อน ถือว่าน้อยมาก ยังไม่ใช่จุดแข็งที่จะช่วยSISได้มากนัก

ส่วนตลาดเครื่องประกอบนั้น SIS ถือเป็นอันดับTOP3 ร่วมกับ DCOM, SYNEX ต่อมา DCOM เกิดปัญหาภายใน
ทำให้ต้องปิดกิจการไป ทำให้เหลือผู้เล่นรายใหญ่แค่ SIS,SYNEX ต่อมาก็มา chainstoreเข้ามาทำตลาดได้แก่ Advice , JIB เป็นต้น ถือเป็นตลาดที่แข่งขันกันสูง ส่วนใหญ่จะเจาะไปที่ตลาดของคนเล่นเกม ส่วนถ้าผู้ใช้ที่ใช้งานเอกสาร ดูwebsite ส่วนใหญ่หันมาซื้อเครื่องBrand name มากกว่าเพราะราคาได้ลดลงมามาก ตลาดPantipซึ่งเป็นเครืองประกอบในสมัยก่อน ตอนนี้ก็หันไปขายเครื่องbrand nameกันมากขึ้น แต่ผู้เดินก็น้อยลง

1.2) ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีที่กระทบต่อสินค้าคงคลัง
เนื่องจากสินค้าหลักของบริษัทฯ เป็นคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง ซึ่งสินค้าในกลุ่มนี้มีการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ทำให้สินค้าคงคลังของบริษัทฯ อาจจะมีการล้าสมัย สร้างความเสียหายกับบริษัทฯ ได้ เช่น สินค้ามือถือBB เป็นต้น

1.3) ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
บริษัทฯ มีการสั่งซื้อสินค้าบางส่วนโดยชำระด้วยเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่สินค้าทั้งหมดจะจำหน่ายในประเทศเป็นเงินบาท บริษัทฯ มีการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศโดย มีการทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงล่วงหน้าบางส่วน ส่วนนี้ทางSynexทำได้ค่อนข้างดีกว่า เพราะ ตัวคุณสุทธิดามีความเชี่ยงชาญในการบริหารอัตราแลกเปลี่ยนได้ดี

1.4) ความเสี่ยงจากการแข่งขันและกำไรขั้นต้นต่ำ
ธุรกิจขายส่งอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ถือเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง มีกำไรขั้นต้นอยู่ในระดับต่ำ แต่เป็นอุตสาหกรรมที่มีขนาดใหญ่และมีการเติบโตสูง โดยคาดว่ายังคงมีการเติบโตที่มากกว่า 10% ไปได้อีกหลายปี ซึ่งจากลักษณะอุตสาหกรรมแบบนี้ อาจมีคู่แข่งใช้ราคามาเป็นกลยุทธหลักในการแข่งขัน ซึ่งถ้าเกิดขึ้น บริษัทฯ อาจต้องลดราคาสินค้าเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ดีขึ้น และอาจจะกระทบผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ได้ บริษัทฯ ได้พยายามลดความเสี่ยงด้วยการเพิ่มประเภทสินค้า ทำให้มีการขายสินค้ากระจายมากประเภทขึ้น ส่วนนี้ถือว่า SIS ทำได้ดีกว่า SYNEX จากการสังเกตพบว่า SYNEX เน้นเรื่องการตัดราคาเพื่อให้ได้ส่วนแบ่งการตลาดมากขึ้น ทำให้GPไม่ค่อยสูง

1.5) ความเสี่ยงจากลูกหนี้การค้า
บริษัทฯ มียอดขายเครดิต และลูกหนี้ส่วนใหญ่ ไม่ได้มอบหลักประกันที่ครอบคลุมหนี้สินทั้งหมดให้กับบริษัทฯ รวมไปถึงลูกค้าของบริษัทฯ หลายราย เป็นบริษัทขนาดเล็กและเป็นบริษัท ใหม่ที่ยังไม่มีเงินทุนมากนัก ดังนั้นหากลูกหนี้การค้าของบริษัทฯ เกิดปัญหาในการบริหารงาน ไม่สามารถชำระเงินได้ตามกำหนด จะส่งผลต่อสภาพคล่องของบริษัทซึ่งในส่วนนี้ ทั้ง SIS , SYNEX ก็เจอปัญหาหนี้เสียรายเดียวกันในช่วงปี 2556 และยังเก็บหนี้ไม่ได้

1.6) ความเสี่ยงด้านการเงิน
จากการที่ธุรกิจค้าส่งคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง เป็นธุรกิจที่มี cash cycle อยู่ในช่วง 30 - 50 วัน ทำให้ปริมาณเงินทุนหมุนเวียนที่ต้องใช้ เพิ่มขึ้นตามยอดขายที่เพิ่มขึ้น และจากการขยายงานของบริษัทฯ ที่มีเพิ่มของยอดขายในอัตราสูงกว่าร้อยละ 10 มาตลอด ความต้องการเงินทุนหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นความเสี่ยงและภาระของบริษัทฯ ที่ต้องจัดหาเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มขึ้น

1.7) ความเสี่ยงจากการพึ่งพาบุคลากร
IT เป็นธุรกิจที่ต้องอาศัยบุคลากรที่มีความรู้เฉพาะด้าน เข้ามาร่วมงานจำนวนมากซึ่งนอกเหนือจากการรับพนักงานที่มีประสบการณ์เข้ามาร่วมงานแล้ว บริษัทฯ ยังต้องมีการฝึกอบรมพนักงานอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งหากบุคลากรที่มีความสามารถและความชำนาญงานได้ลาออกจากบริษัทฯ อาจมีผลกระทบต่อการดำเนินงานและความสามารถในการขยายงานของบริษัทฯ ในระยะสั้น และก่อให้เกิดงบประมาณเพิ่มเติมที่ต้องใช้ในการฝึกอบรมบุคลากรกลุ่มใหม่ขึ้นมาทดแทน ทางSIS ผู้บริหารหลักๆจะมีคุณสมชัยและคุณสมบัติ แต่ทาง SYNEX ส่งเสริมให้ผู้บริหารรุ่นใหม่เข้ามาเพิ่มเติม ทำให้มีความคิดหลากหลายมากกว่า

ปัจจุบันบริษัทฯ ได้รับ แบบประกาศเจตนาในการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงํากิจการ (แบบ 247-3) จากบริษัท ไทยอัลลิแอนซ์จํากัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ของ SIS ที่ต่างประเทศ
ประเภทของหลักทรัพย์ และจํานวนหุ้นที่เสนอซื้อ: 350,198,655 หุ้นสามัญ ราคาที่คาดว่าจะเสนอซื้อ: 7.00 บาท วันที่คาดว่าจะยื่นคําเสนอซื้ออย่างเป็นทางการ: 6 พฤศจิกายน 2560 ผู้จัดเตรียมคําเสนอซื้อ: บริษัท อวานการ์ด แคปปิ ตอล จํากัด
ดูราคาตลาดตอนนี้ขึ้นไปสูงกว่าราคารับซื้อค่อนข้างมาก แต่ดูจากวัตถุประสงค์ของการซื้อครั้งนี้ถ้าได้จำนวนหุ้นมากพอให้ถือเกิน 50% ก็ยังมีโอกาสอยู่ รอลุ้นต่อไปว่ามีการปรับราคารับซื้อหรือไม่

ตอนต่อไปจะพูดถึง SYNEX นะครับ

Re: Stock Battle the series

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ย. 05, 2017 1:00 pm
โดย FiveStars
ขอบคุณมากครับ

Re: Stock Battle the series

โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ย. 10, 2017 5:03 am
โดย amornkowa
Stock Battle the series
EP1 SIS & SYNEX


(ผมได้เพิ่มเติมข้อมูลของSynnex เพิ่มเติมเข้าไปเพื่อให้ข้อมูลครบถ้วนเป็น Stock Battleจริงๆ)

ที่มาของบทความเรื่องนี้ ผมได้ไอเดียจากรายการ วีไอกึ่งสำเร็จรูป ซึ่งดำเนินรายการโดย กรรมการและอนุกรรมกาสมาคมไทยวีไอ ได้แก่ น้องตู้ น้องเบส น้องปริญญ์ โดยทุกเดือนจะมีการเปรียบเทียบหุ้นที่มีลักษณะคล้ายกัน ว่าแต่ละบริษัท
มีความเหมือน และ แตกต่างกันอย่างไรบ้าง ก็เลยคิดว่าจะลองเขียนแนวนี้น่าจะมีประโยชน์กับผู้อ่านบ้าง

เหตุที่เลือกคู่ Battle SIS & SYNEX เป็นคู่แรกนั้นส่วนนึง คืออยู่ในวงการคอมพิวเตอร์มาตลอดเลยอยากแชร์ข้อมูลที่ไปสัมผัสมา และ ข้อมูลหาได้ไม่ยากจาก Webboard Thaivi , Finomina ที่เขียนก่อนหน้านี้ ต้องขอบคุณทั้งสองแหล่งข้อมูลนะครับ

ข้อมูลช่วงแรกของ SIS/ SYNNEX

บริษัทฯ ประกอบธุรกิจขายส่งคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ต่อพ่วงและอุปกรณ์สำนักงานอัตโนมัติต่าง ๆ โดยบริษัทฯ เป็นผู้แทนจำหน่ายสินค้าจากผู้ผลิตประมาณ 53 ราย และมีจำนวนสินค้าที่จำหน่ายมากกว่า 4,600 รายการ บริษัทฯ มีฐานลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบการคอมพิวเตอร์ทั้งที่เป็นร้านค้าปลีก บริษัทผู้ค้าที่จำหน่ายเข้าภาคธุรกิจและหน่วยงานราชการ ผู้รับวางระบบ ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ภายใต้เครื่องหมายการค้าของตัวเอง ฯลฯ โดยในปี 2549 มีจำนวนคู่ค้ามากกว่า 3,900 ราย

ส่วน Synnex เป็นบริษัทลูกของ TKS
สมัยก่อนเน้นขาย Computer components (อะไหล่คอม เช่น cpu harddisk ram monitor ) ทำให้ตลาด DIY Do it yourself-พวกคอมประกอบโตมากๆ ยอดขายของ synnex ก็จะโดดเด่น / รวมถึงบริษัทพยายามผลักดัน brand Lemel ของตัวเองเพื่อถ่างกำไรให้กว้างขึ้น ซึ่งต่อมาจะไปเน้นงานประมูลภาครัฐ) ต่อมาได้เปิด Synnex shop ซึ่งมีการขายสินค้าจำพวก component ส่วนสินค้าเครื่องBrand name ก็ได้เริ่มทำตลาดขายผ่านร้านค้าเช่นกัน

วิเคราะห์ความเสี่ยงของธุรกิจ

1.1) ความเสี่ยงจากการพึ่งพาผู้ผลิตน้อยราย

ถึงแม้บริษัทฯ SIS จะซื้อสินค้าจากผู้ผลิต 53 ราย ในปี 2549, ร้อยละ 80 ของยอดขาย เป็นสินค้าที่มาจากผู้ผลิตเพียง 8 รายคือ Acer, Apple, Dopod, HP, IBM, Lenovo, Philips, Samsung

ผู้ผลิตที่บริษัทฯ ขายสินค้ามากที่สุดในปี 2549 คือ HP ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 45 ของสินค้าทั้งหมดเนื่องจาก HP เป็นผู้ผลิตสินค้า IT หลายประเภท ครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภคทั้งส่วนบุคคลและองค์กร รวมไปถึง HP ก็มีนโยบายที่จะจัดจำหน่ายสินค้าผ่านผู้ค้าส่งจึงทำให้บริษัทฯ มียอดจำหน่ายสินค้าของ HP เป็นสัดส่วนที่สูง อันทำให้บริษัทฯ มีความเสี่ยงในแง่ของการพึ่งพาผู้ผลิตน้อยราย อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ก็เป็นลูกค้ารายใหญ่ของ HP เช่นกัน ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทฯ และ HP เป็นความสัมพันธ์ที่ต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน ต่อมาเมื่อHP drop ลง ก็มาขายสินค้าของ Acer แทน ทำให้ยังรักษาส่วนแบ่งตลาดคอมพิวเตอร์ แต่หลังจากแบรนด์อื่นเริ่มเข้ามาทำตลาดมากขึ้นเช่น Asus , Lenovo ทำให้ SISเข้ามาทำตลาดในสองยี่ห้อมากขึ้น ทำให้ยังมีส่วนแบ่งตลาดค่อนข้างสม่ำเสมอ แต่น่าเสียดายว่า เทรนของTablet , Smart phoneมาแรง ทำให้ยอดขายโดยรวมdropลง
ส่วนสินค้าSmartphone ถือว่าในอดีตค่อนข้างทำได้ดี เป็นผู้นำในตลาด โดยได้นำสินค้า Dopodเข้ามาขาย ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นHTC ก็ยังสามารถโปรโมทแบรนด์ให้ติดอันดับหนึ่ง ต่อมาได้ทำตลาดมือถือBB ในช่วงที่ตลาดเริ่มเป็นขาลง แต่ก็พยายามทำตลาดในส่วนองค์กร โดย BB มีจุดแข็งที่สามารถchatหากันโดยไม่มีค่าใช้จ่าย และโทรฟรีหากันในองค์กร สุดท้ายก็ไม่สามารถฝืนแนวโน้มตลาดได้ ทำให้สินค้าค้างstockมากมาย
อย่างไรก็ตาม กำไรในส่วนsmartphoneก็เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยสร้างกำไรให้บริษัทมากมายในช่วงที่ผ่านมา

ต่อมาทางOperatorเริ่มเข้ามาทำตลาดเอง มีการsubsidizeราคาให้กับผู้ใช้บริการ ทำให้บทบาทของSISค่อยๆลดลง
ปัจจุบัน ได้ทำตลาดมือถือWIKOจากฝรั่งเศส ยอดขายถ้าเทียบกับสมัยก่อน ถือว่าน้อยมาก ยังไม่ใช่จุดแข็งที่จะช่วยSISได้มากนัก

ส่วนตลาดเครื่องประกอบนั้น SIS ถือเป็นอันดับTOP3 ร่วมกับ DCOM, SYNEX ต่อมา DCOM เกิดปัญหาภายใน
ทำให้ต้องปิดกิจการไป ทำให้เหลือผู้เล่นรายใหญ่แค่ SIS,SYNEX ต่อมาก็มา chainstoreเข้ามาทำตลาดได้แก่ Advice , JIB เป็นต้น ถือเป็นตลาดที่แข่งขันกันสูง ส่วนใหญ่จะเจาะไปที่ตลาดของคนเล่นเกม ส่วนถ้าผู้ใช้ที่ใช้งานเอกสาร ดูwebsite ส่วนใหญ่หันมาซื้อเครื่องBrand name มากกว่าเพราะราคาได้ลดลงมามาก ตลาดPantipซึ่งเป็นเครืองประกอบในสมัยก่อน ตอนนี้ก็หันไปขายเครื่องbrand nameกันมากขึ้น แต่ผู้เดินก็น้อยลง

ส่วนทางSynnex Brand หลักๆ ทำตลาดในปี 2549 เช่น

Asus Component (Synnex D-Computer A&L) ปัจจุบัน D-Com, A&L ได้เลิกกิจการไป ทำให้ Synnex เป็นผู้ทำตลาดหลัก แต่ถ้าเป็นสินค้าเครื่องคอมพิวเตอร์มีหลายบริษัทมาทำตลาด
ASRock (Synnex)
Brother (Synnex /D-Computer /Ingram)
Seagate (Synnex /D-Computer)
HP (Synnex /Ingram /Value /SiS)
Canon (Synnex/ SiS)
APC (Synnex /SiS)
BenQ (Synnex /Value)
AMP (Synnex /G-Net /ILINK)
Cisco (Synnex)
Dell (Synnex/ A&L/ Dell)
Intel (Synnex/ WPG /Ingram)
Kingston (Synnex /Ingram/ Silicon Data)
Lemel (Synnex local branding)
Microsoft (Synnex /Ingram)
Gigabyte (Synnex/ Scanner)
LG (Synnex/ D-Computer)
Logitech (Synnex /Chin Inter)
Mio (Synnex)
Samsung (Synnex/ Ingram/ SiS)
Western Digital (Synnex/ A&L)
ViewSonic (Synnex)
etc.
หมายเหตุ ข้อมูลข้างบนเป็นของปี 2549 ซึงหลายDistri อาจปิดกิจการไปแล้ว เช่น D com
A&L etc

Synnex มีความได้เปรียบ Distributors เจ้าอื่นๆ ตรงที่มีความหลากหลายในสินค้า ซึ่งเป็นการกระจายความเสี่ยงที่ดี และสินค้าหลายรุ่นได้รับแต่งตั้งเป็น Exclusive Distributors เนื่องจากช่องทางจำหน่ายที่มากกว่า และหลากหลายกว่า ซึ่งสินค้าในปัจจุบัน มือถือหัวเหว่ย ก็ติดTop5ในตลาด ตามติด Iphone and Samsung มา

ส่วนสินค้าที่น่าจับตามองคือ Drone ซึ่งน่าจะมีโอกาสเติบโตในอนาคต
สังเกตุว่าในงาน Commart จะนำสินค้าDroneมีสาธิตในบูทที่แยกต่างหาก
ผมเห็นdealerในต่างจังหวัดก็นำมาขายและมีบริษัทหรือองค์กรการศึกษามาซื้อพอสมควร

1.2) ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีที่กระทบต่อสินค้าคงคลัง
เนื่องจากสินค้าหลักของบริษัทฯ เป็นคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง ซึ่งสินค้าในกลุ่มนี้มีการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ทำให้สินค้าคงคลังของบริษัทฯ อาจจะมีการล้าสมัย สร้างความเสียหายกับบริษัทฯ ได้ เช่น สินค้ามือถือBB ที่มีการเสื่อมความนิยม ทำให้ต้องตั้งสำรองเป็นต้น การจัดเก็บสินค้าสมัยก่อนคลังสินค้าอยู่ที่พระรามเก้า การตรวจนับสินค้าค่อนข้างยาก หลังจากย้ายไปที่ใหม่ได้มีการจัดหมวดหมู่ของสินค้า ทำให้ตรวจนับง่ายขึ้น
ส่วน Synnex มีการวางแผนเรื่องจัดเก็บสินค้าได้ดีกว่า โดยใช้Robotมาช่วย ทำให้การตรวจนับสินค้าง่ายกว่าแต่เรื่องความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี ก็ยังมีความเสี่ยงเหมือนSIS

1.3) ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
บริษัทฯ มีการสั่งซื้อสินค้าบางส่วนโดยชำระด้วยเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่สินค้าทั้งหมดจะจำหน่ายในประเทศเป็นเงินบาท บริษัทฯ มีการสั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศโดย มีการทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงล่วงหน้าบางส่วน ส่วนนี้ทางSynexทำได้ค่อนข้างดีกว่า เพราะ ตัวคุณสุทธิดามีความเชี่ยวชาญในการบริหารอัตราแลกเปลี่ยนได้ดี

1.4) ความเสี่ยงจากการแข่งขันและกำไรขั้นต้นต่ำ
ธุรกิจขายส่งอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ถือเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง มีกำไรขั้นต้นอยู่ในระดับต่ำ แต่เป็นอุตสาหกรรมที่มีขนาดใหญ่และมีการเติบโตสูง โดยคาดว่ายังคงมีการเติบโตที่มากกว่า 10% ไปได้อีกหลายปี ซึ่งจากลักษณะอุตสาหกรรมแบบนี้ อาจมีคู่แข่งใช้ราคามาเป็นกลยุทธหลักในการแข่งขัน ซึ่งถ้าเกิดขึ้น บริษัทฯ อาจต้องลดราคาสินค้าเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ดีขึ้น และอาจจะกระทบผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ได้ บริษัทฯ ได้พยายามลดความเสี่ยงด้วยการเพิ่มประเภทสินค้า ทำให้มีการขายสินค้ากระจายมากประเภทขึ้น ส่วนนี้ถือว่า SIS ทำได้ดีกว่า SYNEX จากการสังเกตพบว่า SYNEX เน้นเรื่องการตัดราคาเพื่อให้ได้ส่วนแบ่งการตลาดมากขึ้น ทำให้GPไม่ค่อยสูง

1.5) ความเสี่ยงจากลูกหนี้การค้า
บริษัทฯ มียอดขายเครดิต และลูกหนี้ส่วนใหญ่ ไม่ได้มอบหลักประกันที่ครอบคลุมหนี้สินทั้งหมดให้กับบริษัทฯ รวมไปถึงลูกค้าของบริษัทฯ หลายราย เป็นบริษัทขนาดเล็กและเป็นบริษัท ใหม่ที่ยังไม่มีเงินทุนมากนัก ดังนั้นหากลูกหนี้การค้าของบริษัทฯ เกิดปัญหาในการบริหารงาน ไม่สามารถชำระเงินได้ตามกำหนด จะส่งผลต่อสภาพคล่องของบริษัทซึ่งในส่วนนี้ ทั้ง SIS , SYNEX ก็เจอปัญหาหนี้เสียรายเดียวกันในช่วงปี 2556 และยังเก็บหนี้ไม่ได้

1.6) ความเสี่ยงด้านการเงิน
จากการที่ธุรกิจค้าส่งคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง เป็นธุรกิจที่มี cash cycle อยู่ในช่วง 30 - 50 วัน ทำให้ปริมาณเงินทุนหมุนเวียนที่ต้องใช้ เพิ่มขึ้นตามยอดขายที่เพิ่มขึ้น และจากการขยายงานของบริษัทฯ ที่มีเพิ่มของยอดขายในอัตราสูงกว่าร้อยละ 10 มาตลอด ความต้องการเงินทุนหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นความเสี่ยงและภาระของบริษัทฯ ที่ต้องจัดหาเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มขึ้น

1.7) ความเสี่ยงจากการพึ่งพาบุคลากร
IT เป็นธุรกิจที่ต้องอาศัยบุคลากรที่มีความรู้เฉพาะด้าน เข้ามาร่วมงานจำนวนมากซึ่งนอกเหนือจากการรับพนักงานที่มีประสบการณ์เข้ามาร่วมงานแล้ว บริษัทฯ ยังต้องมีการฝึกอบรมพนักงานอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งหากบุคลากรที่มีความสามารถและความชำนาญงานได้ลาออกจากบริษัทฯ อาจมีผลกระทบต่อการดำเนินงานและความสามารถในการขยายงานของบริษัทฯ ในระยะสั้น และก่อให้เกิดงบประมาณเพิ่มเติมที่ต้องใช้ในการฝึกอบรมบุคลากรกลุ่มใหม่ขึ้นมาทดแทน ทางSIS ผู้บริหารหลักๆจะมีคุณสมชัยและคุณสมบัติ ตอนนี้คุณสมชัยได้เริ่มให้ลูกสาวเข้ามาช่วยงาน ส่วนทาง SYNEX ส่งเสริมให้ผู้บริหารรุ่นใหม่เข้ามาเพิ่มเติม ทำให้มีความคิดหลากหลายมากกว่า

รายได้และกำไรของ SIS

ปี 2559 อยู่ที่ 18,497 ลบ. กำไรขั้นต้น 5.2% และ กำไรสุทธิ 1.2%
ปี 2558 อยู่ที่ 18,121 ลบ. กำไรขั้นต้น 5.4% และ กำไรสุทธิ 0.9%
ปี 2557 อยู่ที่ 18,593 ลบ. กำไรขั้นต้น 5.2% และ กำไรสุทธิ 1%
ปี 2556 อยู่ที่ 18,345 ลบ. กำไรขั้นต้น 5.7% และ กำไรสุทธิ 1%
ปี 2555 อยู่ที่ 22,091 ลบ. กำไรขั้นต้น 3.0% และ กำไรสุทธิ -2.5%
ปี 2554 อยู่ที่ 22,713 ลบ. กำไรขั้นต้น 4.7% และ กำไรสุทธิ 0.6%
จากสถิติหลายปีที่ผ่านมา SiS ไม่ได้มีการเติบโตมากนัก แต่ก็มีการรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ได้เกินกว่า 5% แต่กำไรสุทธินั้นต่ำเพียง 1% หรือคิดเป็นตัวเงินจะอยู่เพียงประมาณปีละ 200 ลบ. เท่านั้น
ปัจจุบันบริษัทSIS ได้รับ แบบประกาศเจตนาในการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงํากิจการ (แบบ 247-3) จากบริษัท ไทยอัลลิแอนซ์จํากัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ของ SIS ที่ต่างประเทศ
ประเภทของหลักทรัพย์ และจํานวนหุ้นที่เสนอซื้อ: 350,198,655 หุ้นสามัญ ราคาที่คาดว่าจะเสนอซื้อ: 7.00 บาท วันที่คาดว่าจะยื่นคําเสนอซื้ออย่างเป็นทางการ: 6 พฤศจิกายน 2560 ผู้จัดเตรียมคําเสนอซื้อ: บริษัท อวานการ์ด แคปปิ ตอล จํากัด
ปีนี้ผลการดำเนินงานดีขึ้น ราคาตลาดตอนนี้ขึ้นไปสูงกว่าราคารับซื้อค่อนข้างมาก แต่ดูจากวัตถุประสงค์ของการซื้อครั้งนี้ถ้าได้จำนวนหุ้นมากพอให้ถือเกิน 50% ก็ยังมีโอกาสอยู่ รอลุ้นต่อไปว่ามีการปรับราคารับซื้อหรือไม่

รายได้และกำไรของ Synex

ปี 2559 อยู่ที่ 23,823 ลบ. กำไรขั้นต้น 4.7% และ กำไรสุทธิ 1.7%
ปี 2558 อยู่ที่ 21,515 ลบ. กำไรขั้นต้น 5.0% และ กำไรสุทธิ 1.7%
ปี 2557 อยู่ที่ 19,092 ลบ. กำไรขั้นต้น 4.1% และ กำไรสุทธิ 1%
ปี 2556 อยู่ที่ 18,759 ลบ. กำไรขั้นต้น 4.9% และ กำไรสุทธิ 1.2%
ปี 2555 อยู่ที่ 20,576 ลบ. กำไรขั้นต้น 5.1% และ กำไรสุทธิ 1.8%
ปี 2554 อยู่ที่ 20,238 ลบ. กำไรขั้นต้น 5.5% และ กำไรสุทธิ 1.9%

Synnex ก่อนหน้านี้ปี2556ที่ช่วงสินค้าNotebook,PCยอดขายเริ่มตกลง ทำให้ผลการดำเนินงานไม่ค่อยดี ราคาตลาดลดลงไปน้อยกว่าIPO ในช่วง2ปีหลัง ยอดขายทำได้ดี รวมถึงกำไรสุทธิก็เติบโตตลอดทำให้ราคาตลาดปรับตัวขึ้นอย่างแรงในปี2559-2560 ถ้าดูจากกำไรสุทธิค่อนข้างโดดเด่นกว่าSIS

สุดท้ายก็เป็นการตัดสินใจของนักลงทุนเองว่าชอบบริษัทไหนเป็นพิเศษ

Re: Stock Battle the series

โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 09, 2018 10:45 am
โดย amornkowa
Stock Battle the series
EP3 การลงทุนหุ้นในตลาดเวียดนาม


หลายๆท่านสนใจหุ้นในตลาดเวียดนาม เพราะกูรูวีไอต้นตำรับในเมืองทอง ดร นิเวศน์
ได้ลงทุนหุ้นเวียดนามเมื่อ3ปีที่แล้ว และ ประสบความสำเร็จในการลงทุนระดับนึง
แต่เนื่องจากการลงทุนในหุ้นเวียดนามมีข้อจำกัดหลายอย่าง เช่น การเปิดพอร์ต การศึกษา
บริษัท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาษาเวียดนาม มีส่วนน้อยที่เป็นภาษาอังกฤษ
ดังนั้น จึงมีนักลงทุนส่วนนึงไปเปิดพอร์ต
ที่บล Phillip แบบ Private fund ซึ่งเริ่มต้นที่ 3 ล้านบาท ซึ่งผลตอบแทนสูงพอสมควร

สำหรับนักลงทุนที่ไม่อยากลงทุนหุ้นเวียดนามด้วยเงินมากขนาดนั้น
เมื่อปีที่แล้วก็มีบลจ 2 แห่ง ออกกองทุนรวมขึ้นมาคือ บลจ กรุงไทย และ CIMB Principle

1. บลจ กรุงไทย ออกกองทุนรวม KT-CLMVT เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2560 ตอนนี้ขนาดกองทุน 588 ล้านบาท
โดยมีสัดส่วนในการลงทุนหุ้นในตลาดหุ้นไทย 40% ตลาดหุ้นเวียดนาม 40%
และอีก20%ลงทุนในตลาดหุ้นพม่า ลาว เป็นต้น

ผลประกอบปีที่แล้วค่อนข้างโดดเด่นในช่วงครึ่งปีหลัง 18.38% ในช่วง 9 เดือน
มาจากดัชนีตลาดหุ้นไทยโต cap gian + Dividend = 13+3% และตลาดหุ้นเวียดนามก็เติบโตด้วยเช่นกัน

2. กองทุนที่สอง บริหารโดย CIMB Principle เปิดกองทุนเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2560
โดยลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามเต็มจำนวน แบ่งเป็นเลือกหุ้นเวียดนามเอง 70%
และ ลงทุนใน ETF VN30 30%
ผลตอบแทนที่ผ่านมา 10% ในช่วง 3 เดือน

ปีนี้เปิดศักราชใหม่ บลจ Asset plus ก็ออกกองทุนรวมที่ลงในตลาดหุ้นเวียดนาม
โดย แบ่งเป็นสามส่วน

ส่วนที่หนึ่งเลือกหุ้นลงทุนเองในสัดส่วนไม่เกิน 30%

ส่วนทีสอง ลงทุนในกองทุนหุ้นในประเทศเวียดนาม เช่น JP Morgan Vietnam Opportunity fund,
Dragon Capital VEIL Fund

ส่วนที่สาม ลงทุนในกองทุนรวม ETF เช่น Viet Fund Management , Deutsche Bank , SSI Asset Management
สัดส่วนลงทุนไม่เกิน 40%

ผมทำตารางเปรียบเทียบทั้งสามกองแล้ว

No Description ASP-VIET CIMB VNEQ-A KT-CLMVTA
1 บลจ ที่บริหาร Asset plus CIMB Principle KTB
2 นโยบายในการลงทุน
2.1 เลือกหุ้นลงทุนเอง 30% 70% n.a.
2.2 ลงทุนผ่าน ETF 40% 30% n.a.
2.3 ลงทุนผ่านกองทุนหุ้นVN 30% 0% n.a.
2.4 เลือกหุ้นไทย/เวียดนาม/CLM n.a. n.a. 40%/40%/20%
3 ค่าธรรมเนียมการขาย 1.5%-2.14% 1.50% 1.50%
4 ค่าธรรมเนียมการรับซื้อคืน ไม่เกิน 1.5% ยกเว้น ยกเว้น
5 ค่าบริหาร Management Fee 1.6%-1.8725% 1.60% 1.60%
6 เพดานค่าธรรมเนียมรวม 6% n.a. n.a.
7 วันที่ซื้อกองทุน วันที่ 25 ของเดือน วันที่ 29 ของ ธค,มีค,มิย,กย ทุกวัน
8 วันที่ขายกองทุน วันที่ 25 ของเดือน วันที่ 29 ของ มีค,กย ทุกวัน
9 ขั้นต่ำในการซื้อกองทุน (บาท) 5,000 50,000 1,000
10 ขนาดกองทุน (ล้านบาท) 1,500 2,000 588
11 วันที่ก่อตั้ง 25/1/2018 16/10/2017 2/3/2017

หลักเกณฑ์การเลือกกองทุนเบื้องต้น

1.ถ้ามีเงินลงทุนไม่มาก ลงใน KT-CLMVTA, ASP-VIET เพราะขั้นต่ำในการซื้อไม่ถึงหมื่นบาท

2.ถ้าต้องการลงทุนในประเทศเวียดนามประเทศเดียวให้ลงใน ASP-VIET,CIMB VNEQ-A

ดังนั้นเราจะมาพูดเปรียบเทียบกองทุนที่ลงทุนในเวียดนามอย่างเดียว
มีตัวเลือกสองกอง ASP-VIET,CIMB VNEQ-A

3. ถ้าจะเปรียบเทียบเรื่องค่าธรรมเนียม ตอนนี้ดู ASP น่าจะแพงกว่า แต่ท้ายที่สุด ค่าธรรมเนียมก็คง
ปรับลดมาเท่ากัน เพื่อจะได้แข่งขันกันได้

4. การกระจายความเสี่ยง ดูเหมือนASPกระจายความเสี่ยงได้ดีกว่า เพราะ มีทั้งลงใน ETF และ กระจาย
ผ่านกองทุนในประเทศเวียดนามด้วย

5. แต่ก็มีข้อเสียคือ ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมบริหารให้กับกองทุนรวมด้วย ในกรณีถ้าperformanceใกล้เคียงกัน
กองของ CIMB VNEQ-A จะโตเร็วกว่า เพราะบริหารเอง70% ไม่ได้เสียค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อน

ข้อมูลของกอง ASP-VIET ถ้ามีเพิ่มเติม ผมจะมาเพิ่มให้ภายหลัง เพราะจะมีการจัดสัมมนาในสัปดาห์หน้า

สุดท้ายก็เป็นการตัดสินใจของนักลงทุนว่าจะเลือกกองไหนดี แต่อย่างไรก็ตามก็ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จในการลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามนะครับ