อันตรายที่ซุกซ่อน “บาทแข็ง-เกินดุล”/ บากบั่น บุญเลิศ
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 11, 2017 6:06 pm
อันตรายที่ซุกซ่อน “บาทแข็ง-เกินดุล” / โดย : บากบั่น บุญเลิศ
http://www.thansettakij.com/content/192951
กลายเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันไม่รู้จบว่า เศรษฐกิจไทยจะยืนอยู่ตรงไหนในสถานการณ์ที่ค่าเงินบาทแข็งค่าอย่างพรวดพราด
ผมไปดูดัชนีค่าเงินของรอยเตอร์เมื่อเทียบเคียงกับเงินดอลลาร์สหรัฐในภูมิภาคนี้พบว่า ตอนนี้ค่าเงินบาทของไทยแข็งค่าขึ้นมากที่สุดเข้าไปแล้ว โดยนับตั้งแต่ต้นปี 2560
ค่าเงินบาทของไทยแข็งค่าขึ้นมาแล้ว 7.78%
เงินวอนของเกาหลีใต้ที่ว่าแข็งค่ามากนั้นตอนนี้แข็งค่าแค่ 7.37% เท่านั้น
เงินดอลลาร์ไต้หวันแข็งค่า 6.70%
เงินดอลลาร์สิงคโปร์แข็งค่า 6.66%
ค่าเงินรูปีของอินเดียแข็งค่า 6.65%
เงินเยนของญี่ปุ่นแข็งค่า 6.28%
เงินริงกิตมาเลเซียแข็งค่าแค่ 4.86%
เงินหยวนของจีนแข็งค่า 3.35%
เงินดอลลาร์ฮ่องกงอ่อนค่า 0.79%
เงินเปโซของฟิลิปปินส์อ่อนค่าลง 0.85%
ค่าเงินบาทของไทยไปยืนหัวแถวในอัตราที่ถือว่าแข็งค่าเอามากๆ
แน่นอนว่า การแข็งค่าของค่าเงินบาทนั้นเป็นตัวสะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางด้านเศรษฐกิจการคลังของประเทศ แต่ไม่ได้หมายความว่า ไทยจะได้เปรียบในด้านการค้า
อย่าลืมว่า ไทยนั้นเป็นประเทศที่พึ่งพาด้านการส่งออก ถ้าพิจารณาจากยอดการส่งออกแค่เดือนละ 19,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ การที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมา 7.78% หมายถึงว่า เม็ดเงินที่ได้จากการค้าขายข้างนอกมาหล่อเลี้ยงการซื้อขายสินค้าภายในประเทศ จะหายไปทันทีเดือนละ 1,478 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เมื่อแปลงเป็นเงินสกุลบาทหมายถึงว่า เม็ดเงินที่ได้จากการค้าขายจะหายไปทันทีเดือนละ 48,770 ล้านบาท
เงินรายได้ที่หายไปจากค่าเงินบาทที่แข็งค่านั้น มีผลต่อระบบเศรษฐกิจไทยไม่น้อยทีเดียว เงินก้อนนี้คือหน่วยที่สร้างการจ้างงาน การผลิตสินค้า และสร้างกำลังซื้อในระบบเศรษฐกิจอย่างแข็งขันและทรงพลัง
ใครอย่าริอ่านมาบอกชาวบ้านเชียวว่า นั่นคือ ค่าเงินที่หายไปทางบัญชี..มิได้มีผลทางเศรษฐกิจ
ผมเจาะข้อมูลลงไปเพิ่มเติมเพื่อดูว่าเงินบาทที่แข็งค่านั้นมาจากมูลเหตุเงินทุนไหลเข้าใช่หรือไม่ พบว่าเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (เอฟดีไอ) นับจากต้นปีมาถึงปัจจุบันมีเงินไหลเข้ามาแล้วรวม 4,558 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เงินก้อนนี้ไหลเข้ามาลงทุนธุรกิจผลิตภัณฑ์ยาง เข้ามาลงทุนในธุรกิจบริการทางการเงิน และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
มีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้อีก 4,657 ล้านดอลลาร์ ในจำนวนนี้ลงทุนในตลาดบอนด์ถึง 3,474 ล้านดอลลาร์ จะพบว่ามีเงินไหลเข้ารวม 9,215 ล้านดอลลาร์
อันนี้ยังไม่นับรวมเงินที่ทางกลุ่มธนาคาร CTBC จากประเทศไต้หวัน โอนเงินเข้าซื้อหุ้นบริษัท LH ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (LHBANK) จำนวน 16,595 ล้านบาท และเงินก้อนโตที่ทางบริษัทประกันภัย FWD นำเข้ามาสดๆ ร้อนๆ เพื่อจ่ายให้กับทางธนาคารทหารไทยในสัปดาห์นี้อีก 2 หมื่นล้านบาท
แต่เมื่อพิจารณาจากเม็ดเงินไหลออกของไทย ที่คนไทยนำไปลงทุนพบว่า ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ มีเงินทุนไหลออกสุทธิ 1.37 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือตกประมาณ 4.5 แสนล้านบาท
ไตรมาสแรกไหลออกสุทธิ 6,785 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไตรมาส 2 ไหลออกสุทธิอีก 6,893 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เฉพาะเดือนมิถุนายนที่ผ่านมามีเงินไหลออกสุทธิถึง 3,339 ล้านดอลลาร์ เงินทุนไหลออกไปลงทุนนอกประเทศมากกว่าเงินทุนไหลเข้า
ดังนั้น การกล่าวอ้างว่าเงินบาทที่แข็งค่ามาจากเงินทุนไหลเข้าจึงไม่ใช่คำตอบ...
แล้วคำตอบที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าอย่างรวดเร็วอยู่ตรงๆ ไหน...
ผมไปตรวจสอบข้อมูลแล้วตกตะลึงพรึงเพริด เมื่อพบว่ายอดการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยนั้นก้อนโตมหาศาล โดยนับตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมาไทยเกินดุลมาตลอด โดยถึงตอนนี้ไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัดมาแล้ว 23,522 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือตกประมาณ 787,987 แสนล้านบาท ตกประมาณ 15% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือจีดีพีเข้าไปแล้ว
เฉลี่ยไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนละ 3,000 ล้านดอลาร์สหรัฐ เดือนมกราคมเพียงเดือนเดียวเกินดุลไปกว่า 5,416 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 181,436 แสนล้านบาท
ดุลบัญชีเดินสะพัด (current account balance) ที่บวกมากขนาดนี้มาจากไหน ก็มาจากดุลการค้าที่เป็นบวก เรามีรายได้จากการส่งออกมากกว่ารายจ่าจากการนำเข้าสินค้า เรามีรายได้จากภาคบริการ เช่น การท่องเที่ยว บริการทางการเงิน และอื่นๆเข้ามามาก เรามีเงินโอน และเงินที่จ่ายแก่เจ้าของ เช่น ค่าดอกเบี้ย ค่าเช่า และกำไรส่งกลับประเทศน้อย
ตรงนี้แหละครับที่เป็นโจทย์ชวนให้คิดกันว่า ที่เราเกินดุลนั้น เพราะเราไม่ลงทุนเครื่องจักรและอุปกรณ์ใช่หรือไม่….อย่าหลงระเริงกับการเกินดุลจนเกินไปนะครับ...
ที่เราเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างมาก ไม่ใช่เพราะส่งออกได้มากขึ้นนะครับ แต่เป็นเพราะการนำเข้าที่หดตัวอย่างรุนแรง ทั้งจากราคาน้ำมันที่ลดลง การชะลอตัวของการนำเข้าสินค้าเพื่อบริโภค การนำเข้าเครื่องจักรและวัตถุดิบที่ลดลงไปตามการผลิตและการลงทุน
นี่คือปัจจัยที่ทำให้ไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัดแบบไม่คาดฝันใช่มั้ย....
และการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดเยอะๆ กำลังแปลว่า เรากำลังอยู่ในภาวะเงินออมล้นประเทศ เราใช้จ่ายในประเทศน้อยกว่าที่ประเทศหาได้ใช่หรือไม่….
คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อผมไม่รู้...ผมรู้แต่ว่าตอนนี้เศรษฐกิจไทยกำลังบิดเบี้ยวพิลึก อัตราดอกเบี้ย 10 ปีของรัฐบาลไทย อยู่ในระดับ 1.7-1.8% ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ย 10 ปีของสหรัฐเข้าไปแล้ว...มันเกิดอะไรขึ้น...
http://www.thansettakij.com/content/192951
กลายเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันไม่รู้จบว่า เศรษฐกิจไทยจะยืนอยู่ตรงไหนในสถานการณ์ที่ค่าเงินบาทแข็งค่าอย่างพรวดพราด
ผมไปดูดัชนีค่าเงินของรอยเตอร์เมื่อเทียบเคียงกับเงินดอลลาร์สหรัฐในภูมิภาคนี้พบว่า ตอนนี้ค่าเงินบาทของไทยแข็งค่าขึ้นมากที่สุดเข้าไปแล้ว โดยนับตั้งแต่ต้นปี 2560
ค่าเงินบาทของไทยแข็งค่าขึ้นมาแล้ว 7.78%
เงินวอนของเกาหลีใต้ที่ว่าแข็งค่ามากนั้นตอนนี้แข็งค่าแค่ 7.37% เท่านั้น
เงินดอลลาร์ไต้หวันแข็งค่า 6.70%
เงินดอลลาร์สิงคโปร์แข็งค่า 6.66%
ค่าเงินรูปีของอินเดียแข็งค่า 6.65%
เงินเยนของญี่ปุ่นแข็งค่า 6.28%
เงินริงกิตมาเลเซียแข็งค่าแค่ 4.86%
เงินหยวนของจีนแข็งค่า 3.35%
เงินดอลลาร์ฮ่องกงอ่อนค่า 0.79%
เงินเปโซของฟิลิปปินส์อ่อนค่าลง 0.85%
ค่าเงินบาทของไทยไปยืนหัวแถวในอัตราที่ถือว่าแข็งค่าเอามากๆ
แน่นอนว่า การแข็งค่าของค่าเงินบาทนั้นเป็นตัวสะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางด้านเศรษฐกิจการคลังของประเทศ แต่ไม่ได้หมายความว่า ไทยจะได้เปรียบในด้านการค้า
อย่าลืมว่า ไทยนั้นเป็นประเทศที่พึ่งพาด้านการส่งออก ถ้าพิจารณาจากยอดการส่งออกแค่เดือนละ 19,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ การที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมา 7.78% หมายถึงว่า เม็ดเงินที่ได้จากการค้าขายข้างนอกมาหล่อเลี้ยงการซื้อขายสินค้าภายในประเทศ จะหายไปทันทีเดือนละ 1,478 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เมื่อแปลงเป็นเงินสกุลบาทหมายถึงว่า เม็ดเงินที่ได้จากการค้าขายจะหายไปทันทีเดือนละ 48,770 ล้านบาท
เงินรายได้ที่หายไปจากค่าเงินบาทที่แข็งค่านั้น มีผลต่อระบบเศรษฐกิจไทยไม่น้อยทีเดียว เงินก้อนนี้คือหน่วยที่สร้างการจ้างงาน การผลิตสินค้า และสร้างกำลังซื้อในระบบเศรษฐกิจอย่างแข็งขันและทรงพลัง
ใครอย่าริอ่านมาบอกชาวบ้านเชียวว่า นั่นคือ ค่าเงินที่หายไปทางบัญชี..มิได้มีผลทางเศรษฐกิจ
ผมเจาะข้อมูลลงไปเพิ่มเติมเพื่อดูว่าเงินบาทที่แข็งค่านั้นมาจากมูลเหตุเงินทุนไหลเข้าใช่หรือไม่ พบว่าเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (เอฟดีไอ) นับจากต้นปีมาถึงปัจจุบันมีเงินไหลเข้ามาแล้วรวม 4,558 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เงินก้อนนี้ไหลเข้ามาลงทุนธุรกิจผลิตภัณฑ์ยาง เข้ามาลงทุนในธุรกิจบริการทางการเงิน และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
มีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้อีก 4,657 ล้านดอลลาร์ ในจำนวนนี้ลงทุนในตลาดบอนด์ถึง 3,474 ล้านดอลลาร์ จะพบว่ามีเงินไหลเข้ารวม 9,215 ล้านดอลลาร์
อันนี้ยังไม่นับรวมเงินที่ทางกลุ่มธนาคาร CTBC จากประเทศไต้หวัน โอนเงินเข้าซื้อหุ้นบริษัท LH ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (LHBANK) จำนวน 16,595 ล้านบาท และเงินก้อนโตที่ทางบริษัทประกันภัย FWD นำเข้ามาสดๆ ร้อนๆ เพื่อจ่ายให้กับทางธนาคารทหารไทยในสัปดาห์นี้อีก 2 หมื่นล้านบาท
แต่เมื่อพิจารณาจากเม็ดเงินไหลออกของไทย ที่คนไทยนำไปลงทุนพบว่า ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ มีเงินทุนไหลออกสุทธิ 1.37 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือตกประมาณ 4.5 แสนล้านบาท
ไตรมาสแรกไหลออกสุทธิ 6,785 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไตรมาส 2 ไหลออกสุทธิอีก 6,893 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เฉพาะเดือนมิถุนายนที่ผ่านมามีเงินไหลออกสุทธิถึง 3,339 ล้านดอลลาร์ เงินทุนไหลออกไปลงทุนนอกประเทศมากกว่าเงินทุนไหลเข้า
ดังนั้น การกล่าวอ้างว่าเงินบาทที่แข็งค่ามาจากเงินทุนไหลเข้าจึงไม่ใช่คำตอบ...
แล้วคำตอบที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าอย่างรวดเร็วอยู่ตรงๆ ไหน...
ผมไปตรวจสอบข้อมูลแล้วตกตะลึงพรึงเพริด เมื่อพบว่ายอดการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยนั้นก้อนโตมหาศาล โดยนับตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมาไทยเกินดุลมาตลอด โดยถึงตอนนี้ไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัดมาแล้ว 23,522 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือตกประมาณ 787,987 แสนล้านบาท ตกประมาณ 15% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือจีดีพีเข้าไปแล้ว
เฉลี่ยไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนละ 3,000 ล้านดอลาร์สหรัฐ เดือนมกราคมเพียงเดือนเดียวเกินดุลไปกว่า 5,416 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 181,436 แสนล้านบาท
ดุลบัญชีเดินสะพัด (current account balance) ที่บวกมากขนาดนี้มาจากไหน ก็มาจากดุลการค้าที่เป็นบวก เรามีรายได้จากการส่งออกมากกว่ารายจ่าจากการนำเข้าสินค้า เรามีรายได้จากภาคบริการ เช่น การท่องเที่ยว บริการทางการเงิน และอื่นๆเข้ามามาก เรามีเงินโอน และเงินที่จ่ายแก่เจ้าของ เช่น ค่าดอกเบี้ย ค่าเช่า และกำไรส่งกลับประเทศน้อย
ตรงนี้แหละครับที่เป็นโจทย์ชวนให้คิดกันว่า ที่เราเกินดุลนั้น เพราะเราไม่ลงทุนเครื่องจักรและอุปกรณ์ใช่หรือไม่….อย่าหลงระเริงกับการเกินดุลจนเกินไปนะครับ...
ที่เราเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างมาก ไม่ใช่เพราะส่งออกได้มากขึ้นนะครับ แต่เป็นเพราะการนำเข้าที่หดตัวอย่างรุนแรง ทั้งจากราคาน้ำมันที่ลดลง การชะลอตัวของการนำเข้าสินค้าเพื่อบริโภค การนำเข้าเครื่องจักรและวัตถุดิบที่ลดลงไปตามการผลิตและการลงทุน
นี่คือปัจจัยที่ทำให้ไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัดแบบไม่คาดฝันใช่มั้ย....
และการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดเยอะๆ กำลังแปลว่า เรากำลังอยู่ในภาวะเงินออมล้นประเทศ เราใช้จ่ายในประเทศน้อยกว่าที่ประเทศหาได้ใช่หรือไม่….
คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อผมไม่รู้...ผมรู้แต่ว่าตอนนี้เศรษฐกิจไทยกำลังบิดเบี้ยวพิลึก อัตราดอกเบี้ย 10 ปีของรัฐบาลไทย อยู่ในระดับ 1.7-1.8% ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ย 10 ปีของสหรัฐเข้าไปแล้ว...มันเกิดอะไรขึ้น...