ข่าวด่วน ข่าวดีมาก ดร.นิเวศน์ ลาออกSCIBมาบริหารกองทุน VIแล้ว
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 06, 2004 8:31 pm
สัมภาษณ์พิเศษ..ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร โบกมือลา SCIB ขอไปบริหารกองทุน
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนมานานกว่า 20 ปีเปิดใจกับ
EFINANCETHAI.COMเกี่ยวกับประวัติการทำงานและอนาคตเกี่ยวกับงานที่ชอบ รวมถึง
การตัดสินใจลาออกจากธนาคารนครหลวงไทยซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 2547
-ก่อนมาทำงานที่ธนาคารนครหลวงไทย ทำงานด้านใดมาก่อน
ความจริงแล้วจบทางด้านการบริหารการเงินบริหารการลงทุน จบปริญญาเอกด้านการ
ลงทุน ก่อนหน้านี้อยู่ในวงการการเงิน ได้แก่ บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย,บงล.
นวธนกิจ หลังจากนั้นก็มาทำงานที่แบงก์ ทำมาเกือบ 3 ปีแล้ว อีก 1-2 เดือนก็ครบ3 ปี เข้ามาทำ
งานก่อนที่ธนาคารจะมีการควบรวมกิจการกันประมาณ 1 ปี
-การทำงานในธนาคารดูแลด้านไหน
เป็นการบริหารความเสี่ยงให้ธนาคาร เกี่ยวกับการจัดระบบตรวจสอบความเสี่ยง ซึ่งไม่
ใช่งานเกี่ยวกับกับบริหารกองทุนหรือการลงทุน ซึ่งเราอยากทำมานาน ถึงวันนี้คิดว่าน่าจะเป็นเวลา
ที่สมควรแล้ว
-ทำไมถึงตัดสินใจลาออกจากธนาคาร
จริงๆแล้ว อยากจะทำเกี่ยวกับงานที่เราอยากทำ ทำตามใจตัวเองคือ การบริหารกอง
ทุนหรือการทำงานเกี่ยวกับการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นทางวิชาการ ให้ความรู้ หรือการบริหารเงิน ถือ
ว่าเป็นวัตถุประสงค์หลัก ยืนยันว่าการลาออกไม่ได้มีปัญหาอะไรกับแบงก์ และยังเปิดกว้างที่จะทำ
งานกับแบงก์อีก แต่ต้องอยู่ในแนวการลงทุน ซึ่งเป็นไปได้พอสมควร มีโอกาสสูงพอสมควรที่สุด
ท้ายก็อยู่ที่นี่ แต่ทำงานด้านการลงทุน แต่การย้ายไปทำตรงโน้นเลยก็ไม่เหมาะ ก็ต้องลาออก
ก่อนให้เปิดกว้างในการตัดสินใจ
-มีบลจ.ไหนติดต่อมาหรือยัง
ยังไม่ได้ติดต่อใคร แต่เราก็ลาออกมาก่อน หลังจากนั้นคงไปศึกษาดู และอาจจะไม่
ใครติดต่อมา แต่แม้ว่าจะไม่มีใครติดต่อมา แต่เราก็บริหารของเราเองอยู่แล้ว โดยส่วนตัวก็
บริหารเงินทุนการลงทุนอยู่แล้ว เป็นชีวิตจิตใจ ตอนนี้เราก็ทำให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในระหว่าง
ที่ยังไม่ได้ทำงานด้านการลงทุน ก็จะไปเป็นผู้เชียวชาญด้านวิชาการของนิด้า จะช่วยด้านวิชาการ
เป็น Part Time ไม่ใช่งานหลัก ซึ่งหากใครต้องการให้ไปช่วยงานด้านการลงทุนก็สามารถติดต่อ
มาได้
-หากมีโอกาสบริหารกองทุนกองทุนที่บริหารจะเป็นอย่างไร
จะเป็นกองทุนที่ผู้จัดการกองทุนจะมีเงินลงทุนในกองทุนดังกล่าวด้วยเช่นกัน ทำให้คน
ลงทุนมีความมั่นใจได้ว่าจะไม่เกิดความเสียหาย ถือว่าเป็นการลงทุนที่แฟร์ที่สุด ซึ่งเชื่อว่าเป็นจุด
ขายได้ ส่วนอัตราผลตอบแทนน่าจะอยู่ประมาณ 10-15% เพราะกองทุนส่วนใหญ่ ผู้จัดการกอง
ทุนไม่ได้มีส่วนในการลงทุน โดยแนวโน้มจะเป็นการลงทุนหุ้นเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งลักษณะนี้ในต่าง
ประเทศมีแล้ว แต่ในเมืองไทยยังไม่เห็นว่ามีใครทำ แต่หากจะทำจริงคงต้องพิจารณาเรื่อง
Conflict of Interest
-มีวิธีการในการลงทุนเป็นอย่างไร
หลังจากที่จบปริญญาเอก อายุ 32 ปี ก็เริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น โดยช่วงแรกเป็น
การลงทุนแบบเก็งกำไรจริงๆ เพราะตลาดหุ้นเพิ่งบูม แต่ช่วงนั้นไม่ได้ลงทุนจริงจัง เก็งกำไรเป็น
ช่วง มาลงทุนแบบValue Invester จริงในช่วงก่อนวิกฤติปี 2540 หรือประมาณ2538-2539
ตั้งแต่นั้นลงทุน 100% ปัจจุบันมีหุ้นในพอร์ทประมาณ 20 ตัว และบางตัวถือตั้งแต่วิกฤติ ทำให้
ต้นทุนต่ำ นับถึงปัจจุบันมีประสบการณ์ในการลงทุนประมาณ 20 ปี
-มีวิธีการแบ่งสัดส่วนในการบริหารเงินส่วนตัวอย่างไร
ส่วนใหญ่ลงทุนในหุ้นหมด 100% โดยผมบริหารเอง ปีนี้ผลตอบแทนไม่ดี แต่ปีที่แล้ว
ดี ซึ่งผลตอบแทนที่ผมลงทุนเองดีกว่าตลาดโดยตลอด แต่ปีนี้อาจจะแพ้ ก่อนหน้านี้ 7-8 ปีชนะมา
มาก ซึ่งการลงทุนจะเน้นหุ้นที่ให้ปันผลเกือบทุกตัว เพราะเราลงทุนยาว เราต้องคิดว่ากิจการที่ดี
แข็งแกร่งหากไม่มีปันผลต้องมีอะไรผิดปกติ แสดงว่ามีปัญหา โดยสัดส่วนการปันผลอย่างต่ำต้อง
3-4 % ขึ้นไป แต่ส่วนใหญ่จะได้ 4-5%
-เปรียบเทียบการลงทุนระหว่างตราสาร หรือหุ้นในปัจจุบันเป็นอย่างไร
ผมยังมองว่าการลงทุนในตลาดหุ้นดีกว่า เพราะดูตอนนี้ผลตอบแทนจากหุ้น 10 % ต่อ
ปี ก็ยังน่าจะได้ ขณะที่ตราสารอย่างอื่นดีที่สุดเห็นจะเป็นพันธบัตรรัฐบาลที่พึ่งออกมา แต่ให้ผล
ตอบแทนแค่ 5-6 %ต่อปีเอง ดังนั้นหุ้นก็ยังน่าจะดีกว่าแม้ว่าจะมีความผันผวนของตลาด
-หลักการลงทุนในหุ้นที่ผันผวนควรจะเลือกลงทุนอย่างไร
ต้องลงทุนในกิจการที่ปลอดภัยจากภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนได้มาก คิดว่ากลุ่มพวก
อุปโภคบริโภคพวกค้าขายที่ค่อนข้างมั่นคง พวกค้าขายที่ไม่ขึ้นกับความผันผวนขอราคาของอัตรา
ดอกเบี้ย ราคาน้ำมัน เพราะกลุ่มนี้เป็นประเภทที่ซื้อมาขายไป ทำให้โอกาสการขาดทุนมีน้อย
เศรษฐกิจจะกระทบไม่มาก หรือประเภทค้าปลีก Moder Trade เช่น CP7-11 Big C
-มองการลงทุนในตลาดหุ้นปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้างจากอดีต
ที่จริง 80-90% ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่มีคนกลุ่มหนึ่ง 10-20% ที่เริ่ม
มองหาหุ้น คุณค่ามากขึ้น ทำให้หุ้นพวกนี้เริ่มปรับตัวมากขึ้น ทำให้ราคาไม่ได้ถูกเหมือนสมัย
ก่อน คนเริ่มหาคุณค่ามากขึ้น แต่ยังมีจำนวนไม่มากเมื่อเทียบกับนักลงทุนส่วนใหญ่ในบ้านเรา
ที่พฤติกรรมยังไม่เปลี่ยนมาก ทั้งในเรื่องของความโลภ ความกลัว และสภาพแวดล้อมของตลาด
หุ้นก็เอื้ออำนวยให้เกิดการเก็งกำไร
-เตือนนักลงทุนที่เข้าไปลงทุนในตลาด
การเก็งกำไรระยะสั้นในขณะที่ภาวะผันผวนและภาวะเศรษฐกิจดูเหมือนว่าจะมี สิ่ง
ที่คาดการณ์ความเสี่ยงไม่ได้หลายเรื่อง ถือว่ามีความเสี่ยง เพราะการเก็งกำไรระยะสั้นเหมาะ
สำหรับภาวะที่ค่อนข้างจะสดใส ที่เห็นทุกอย่างดูดี การเก็งกำไรไปได้ เพราะการเก็งกำไรใช้
จิตวิทยาของคน หุ้นเก็งกำไรข้อเสียคือเวลาราคาลงจะลงมากเป็นเท่าตัว
-ตลาดหุ้นไทยจะกลับมาบูมอีกหรือไม่
คงต้องใช้เวลา เนื่องจากพึ่งจะมีการบูมเมื่อปีที่แล้ว ขึ้นไปตั้ง 117% ถือว่าในภาวะ
ปกติต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะขึ้นไปได้อย่างนั้น และหากหุ้นปรับตัวขึ้นในรอบใหม่ จะมีคนค่อย
เทขายกันมาก ต้องรอผลกำไรในการผลักดันให้ขึ้น และปกติกำไรของบริษัทไม่ได้โตมาก การที่
หุ้นขึ้นตามกำไรจะไม่มีโอกาสขึ้นทีละ 100% ถือว่าค่อนข้างผิดปกติ ช่วงนี้คงต้องหวังการขึ้นตาม
กำไรของบริษัท แม้แต่ในช่วงเลือกตั้งมีโอกาสที่หุ้นจะดีขึ้นแต่จะเป็นการไล่ราคาในหุ้นบางตัว
เท่านั้น
-มองเศรษฐกิจไทยปีนี้อย่างไร
เหลืออีกไม่กี่เดือน แต่ก็น่าจะOK เพราะภาวะน้ำมันของเราที่ถูกตรึงราคาไว้ ทำให้
คนไทยไม่รู้สึกถึงเรื่องนี้มากเท่าไรว่า เศรษฐกิจฝืดเคือง ทำให้คนไม่รู้สึกว่าต้องลดการบริโภค
ดังนั้นปีนี้ยังพอไปได้พอสมควร เพราะส่งออกก็ยังพอไปได้
-มองเศรษฐกิจไทยในปีหน้าหลังการเลือกตั้งเป็นอย่างไร
ก็ต้องดูภาวะเศรษฐกิจในตอนนั้น แต่หากราคาน้ำมันในตลาดโลกยังอยู่สูง ก็จะทำ
ให้การปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลต้องปรับมาก อาจะมีผลกระทบการชะลอการบริโภคลง ตอนนั้นจะ
เห็นภาพที่แท้จริงว่าเศรษฐกิจเราจะมีปฎิกริยาอย่างไร ซึ่งดูยากเหมือนกัน
***** ผมขอซื้อกองทุนนี้ด้วยคนนึง จองก่อนเลยครับ
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนมานานกว่า 20 ปีเปิดใจกับ
EFINANCETHAI.COMเกี่ยวกับประวัติการทำงานและอนาคตเกี่ยวกับงานที่ชอบ รวมถึง
การตัดสินใจลาออกจากธนาคารนครหลวงไทยซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 2547
-ก่อนมาทำงานที่ธนาคารนครหลวงไทย ทำงานด้านใดมาก่อน
ความจริงแล้วจบทางด้านการบริหารการเงินบริหารการลงทุน จบปริญญาเอกด้านการ
ลงทุน ก่อนหน้านี้อยู่ในวงการการเงิน ได้แก่ บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย,บงล.
นวธนกิจ หลังจากนั้นก็มาทำงานที่แบงก์ ทำมาเกือบ 3 ปีแล้ว อีก 1-2 เดือนก็ครบ3 ปี เข้ามาทำ
งานก่อนที่ธนาคารจะมีการควบรวมกิจการกันประมาณ 1 ปี
-การทำงานในธนาคารดูแลด้านไหน
เป็นการบริหารความเสี่ยงให้ธนาคาร เกี่ยวกับการจัดระบบตรวจสอบความเสี่ยง ซึ่งไม่
ใช่งานเกี่ยวกับกับบริหารกองทุนหรือการลงทุน ซึ่งเราอยากทำมานาน ถึงวันนี้คิดว่าน่าจะเป็นเวลา
ที่สมควรแล้ว
-ทำไมถึงตัดสินใจลาออกจากธนาคาร
จริงๆแล้ว อยากจะทำเกี่ยวกับงานที่เราอยากทำ ทำตามใจตัวเองคือ การบริหารกอง
ทุนหรือการทำงานเกี่ยวกับการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นทางวิชาการ ให้ความรู้ หรือการบริหารเงิน ถือ
ว่าเป็นวัตถุประสงค์หลัก ยืนยันว่าการลาออกไม่ได้มีปัญหาอะไรกับแบงก์ และยังเปิดกว้างที่จะทำ
งานกับแบงก์อีก แต่ต้องอยู่ในแนวการลงทุน ซึ่งเป็นไปได้พอสมควร มีโอกาสสูงพอสมควรที่สุด
ท้ายก็อยู่ที่นี่ แต่ทำงานด้านการลงทุน แต่การย้ายไปทำตรงโน้นเลยก็ไม่เหมาะ ก็ต้องลาออก
ก่อนให้เปิดกว้างในการตัดสินใจ
-มีบลจ.ไหนติดต่อมาหรือยัง
ยังไม่ได้ติดต่อใคร แต่เราก็ลาออกมาก่อน หลังจากนั้นคงไปศึกษาดู และอาจจะไม่
ใครติดต่อมา แต่แม้ว่าจะไม่มีใครติดต่อมา แต่เราก็บริหารของเราเองอยู่แล้ว โดยส่วนตัวก็
บริหารเงินทุนการลงทุนอยู่แล้ว เป็นชีวิตจิตใจ ตอนนี้เราก็ทำให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในระหว่าง
ที่ยังไม่ได้ทำงานด้านการลงทุน ก็จะไปเป็นผู้เชียวชาญด้านวิชาการของนิด้า จะช่วยด้านวิชาการ
เป็น Part Time ไม่ใช่งานหลัก ซึ่งหากใครต้องการให้ไปช่วยงานด้านการลงทุนก็สามารถติดต่อ
มาได้
-หากมีโอกาสบริหารกองทุนกองทุนที่บริหารจะเป็นอย่างไร
จะเป็นกองทุนที่ผู้จัดการกองทุนจะมีเงินลงทุนในกองทุนดังกล่าวด้วยเช่นกัน ทำให้คน
ลงทุนมีความมั่นใจได้ว่าจะไม่เกิดความเสียหาย ถือว่าเป็นการลงทุนที่แฟร์ที่สุด ซึ่งเชื่อว่าเป็นจุด
ขายได้ ส่วนอัตราผลตอบแทนน่าจะอยู่ประมาณ 10-15% เพราะกองทุนส่วนใหญ่ ผู้จัดการกอง
ทุนไม่ได้มีส่วนในการลงทุน โดยแนวโน้มจะเป็นการลงทุนหุ้นเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งลักษณะนี้ในต่าง
ประเทศมีแล้ว แต่ในเมืองไทยยังไม่เห็นว่ามีใครทำ แต่หากจะทำจริงคงต้องพิจารณาเรื่อง
Conflict of Interest
-มีวิธีการในการลงทุนเป็นอย่างไร
หลังจากที่จบปริญญาเอก อายุ 32 ปี ก็เริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น โดยช่วงแรกเป็น
การลงทุนแบบเก็งกำไรจริงๆ เพราะตลาดหุ้นเพิ่งบูม แต่ช่วงนั้นไม่ได้ลงทุนจริงจัง เก็งกำไรเป็น
ช่วง มาลงทุนแบบValue Invester จริงในช่วงก่อนวิกฤติปี 2540 หรือประมาณ2538-2539
ตั้งแต่นั้นลงทุน 100% ปัจจุบันมีหุ้นในพอร์ทประมาณ 20 ตัว และบางตัวถือตั้งแต่วิกฤติ ทำให้
ต้นทุนต่ำ นับถึงปัจจุบันมีประสบการณ์ในการลงทุนประมาณ 20 ปี
-มีวิธีการแบ่งสัดส่วนในการบริหารเงินส่วนตัวอย่างไร
ส่วนใหญ่ลงทุนในหุ้นหมด 100% โดยผมบริหารเอง ปีนี้ผลตอบแทนไม่ดี แต่ปีที่แล้ว
ดี ซึ่งผลตอบแทนที่ผมลงทุนเองดีกว่าตลาดโดยตลอด แต่ปีนี้อาจจะแพ้ ก่อนหน้านี้ 7-8 ปีชนะมา
มาก ซึ่งการลงทุนจะเน้นหุ้นที่ให้ปันผลเกือบทุกตัว เพราะเราลงทุนยาว เราต้องคิดว่ากิจการที่ดี
แข็งแกร่งหากไม่มีปันผลต้องมีอะไรผิดปกติ แสดงว่ามีปัญหา โดยสัดส่วนการปันผลอย่างต่ำต้อง
3-4 % ขึ้นไป แต่ส่วนใหญ่จะได้ 4-5%
-เปรียบเทียบการลงทุนระหว่างตราสาร หรือหุ้นในปัจจุบันเป็นอย่างไร
ผมยังมองว่าการลงทุนในตลาดหุ้นดีกว่า เพราะดูตอนนี้ผลตอบแทนจากหุ้น 10 % ต่อ
ปี ก็ยังน่าจะได้ ขณะที่ตราสารอย่างอื่นดีที่สุดเห็นจะเป็นพันธบัตรรัฐบาลที่พึ่งออกมา แต่ให้ผล
ตอบแทนแค่ 5-6 %ต่อปีเอง ดังนั้นหุ้นก็ยังน่าจะดีกว่าแม้ว่าจะมีความผันผวนของตลาด
-หลักการลงทุนในหุ้นที่ผันผวนควรจะเลือกลงทุนอย่างไร
ต้องลงทุนในกิจการที่ปลอดภัยจากภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนได้มาก คิดว่ากลุ่มพวก
อุปโภคบริโภคพวกค้าขายที่ค่อนข้างมั่นคง พวกค้าขายที่ไม่ขึ้นกับความผันผวนขอราคาของอัตรา
ดอกเบี้ย ราคาน้ำมัน เพราะกลุ่มนี้เป็นประเภทที่ซื้อมาขายไป ทำให้โอกาสการขาดทุนมีน้อย
เศรษฐกิจจะกระทบไม่มาก หรือประเภทค้าปลีก Moder Trade เช่น CP7-11 Big C
-มองการลงทุนในตลาดหุ้นปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้างจากอดีต
ที่จริง 80-90% ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่มีคนกลุ่มหนึ่ง 10-20% ที่เริ่ม
มองหาหุ้น คุณค่ามากขึ้น ทำให้หุ้นพวกนี้เริ่มปรับตัวมากขึ้น ทำให้ราคาไม่ได้ถูกเหมือนสมัย
ก่อน คนเริ่มหาคุณค่ามากขึ้น แต่ยังมีจำนวนไม่มากเมื่อเทียบกับนักลงทุนส่วนใหญ่ในบ้านเรา
ที่พฤติกรรมยังไม่เปลี่ยนมาก ทั้งในเรื่องของความโลภ ความกลัว และสภาพแวดล้อมของตลาด
หุ้นก็เอื้ออำนวยให้เกิดการเก็งกำไร
-เตือนนักลงทุนที่เข้าไปลงทุนในตลาด
การเก็งกำไรระยะสั้นในขณะที่ภาวะผันผวนและภาวะเศรษฐกิจดูเหมือนว่าจะมี สิ่ง
ที่คาดการณ์ความเสี่ยงไม่ได้หลายเรื่อง ถือว่ามีความเสี่ยง เพราะการเก็งกำไรระยะสั้นเหมาะ
สำหรับภาวะที่ค่อนข้างจะสดใส ที่เห็นทุกอย่างดูดี การเก็งกำไรไปได้ เพราะการเก็งกำไรใช้
จิตวิทยาของคน หุ้นเก็งกำไรข้อเสียคือเวลาราคาลงจะลงมากเป็นเท่าตัว
-ตลาดหุ้นไทยจะกลับมาบูมอีกหรือไม่
คงต้องใช้เวลา เนื่องจากพึ่งจะมีการบูมเมื่อปีที่แล้ว ขึ้นไปตั้ง 117% ถือว่าในภาวะ
ปกติต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะขึ้นไปได้อย่างนั้น และหากหุ้นปรับตัวขึ้นในรอบใหม่ จะมีคนค่อย
เทขายกันมาก ต้องรอผลกำไรในการผลักดันให้ขึ้น และปกติกำไรของบริษัทไม่ได้โตมาก การที่
หุ้นขึ้นตามกำไรจะไม่มีโอกาสขึ้นทีละ 100% ถือว่าค่อนข้างผิดปกติ ช่วงนี้คงต้องหวังการขึ้นตาม
กำไรของบริษัท แม้แต่ในช่วงเลือกตั้งมีโอกาสที่หุ้นจะดีขึ้นแต่จะเป็นการไล่ราคาในหุ้นบางตัว
เท่านั้น
-มองเศรษฐกิจไทยปีนี้อย่างไร
เหลืออีกไม่กี่เดือน แต่ก็น่าจะOK เพราะภาวะน้ำมันของเราที่ถูกตรึงราคาไว้ ทำให้
คนไทยไม่รู้สึกถึงเรื่องนี้มากเท่าไรว่า เศรษฐกิจฝืดเคือง ทำให้คนไม่รู้สึกว่าต้องลดการบริโภค
ดังนั้นปีนี้ยังพอไปได้พอสมควร เพราะส่งออกก็ยังพอไปได้
-มองเศรษฐกิจไทยในปีหน้าหลังการเลือกตั้งเป็นอย่างไร
ก็ต้องดูภาวะเศรษฐกิจในตอนนั้น แต่หากราคาน้ำมันในตลาดโลกยังอยู่สูง ก็จะทำ
ให้การปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลต้องปรับมาก อาจะมีผลกระทบการชะลอการบริโภคลง ตอนนั้นจะ
เห็นภาพที่แท้จริงว่าเศรษฐกิจเราจะมีปฎิกริยาอย่างไร ซึ่งดูยากเหมือนกัน
***** ผมขอซื้อกองทุนนี้ด้วยคนนึง จองก่อนเลยครับ