Thai VI

ขออนุญาต ตั้งกระทู้โพล สรุปผลตอบแทน ชาว Thai VI ประจำปี 2559
(เหมือนปีที่แล้วครับ)

ท่านใดสะดวกให้ข้อคิดการลงทุน จากปีที่ผ่านมา
เพื่อเป็นวิทยาทานด้วยจะดีมากเลยครับ

**สวัสดีปีใหม่ 2560 นะครับ**

ปล. กระทู้ปีที่แล้ว http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=59572

ข้อผิดพลาดปีที่ผ่านมา
คือลงทุนไม่ถึง10%ของport.
มิเช่นนั้นผลตอบแทนจะดีมากกว่านี้ครับ

สวัสดีปีใหม่ทุกท่านครับ

ไม่มีคนขาดทุนเลย 55555

ดูจากผลตอบแทนเพื่อนๆ แล้ว ที่กังวลว่าจะหมดยุคทองสงสัยจะไม่ต้องกังวลแล้วครับ

6 Dimensions เขียน:ดูจากผลตอบแทนเพื่อนๆ แล้ว ที่กังวลว่าจะหมดยุคทองสงสัยจะไม่ต้องกังวลแล้วครับ

ฮา

ตกใจกับผล pollเหมือนกัน. รู้สึกยินดีกับชาว VI ครับ. แสดงว่าแอบรวยกันเยอะ
ส่วนตัวทำได้ 54% เหนือความคาดหมายครับ... เคยplan focus 2ธุรกิจคือ เหล็กส่งออกไปญี่ปุ่นกับธุรกิจติดตามหนี้...ราคาหุ้นตอบสนองดีมากครับ(ตัวหนึ่งไปตาม ผล ปกก.แต่อีกตัวไปตามความคาดหวังในอนาคต)เสียที่ขายตัวหลังไปก่อนไม่งั้นกระฉูดกว่านี้..
บทเรียนที่ได้ปีนี้... ธุรกิจบางอย่างคิดว่าศึกษาอย่างดีแต่พอเอาเข้าจริงก็ยังมีข้อมูลที่ยังไมรู้อีกเยอะ พอซื้อแล้วราคาลงเหตุผลก็ตามมา(หรือเราเป็นคนสุดท้ายที่รู้ข้อมูล,???)จ่ายค่าเล่าเรียนไปเยอะครับแต่ยังโชคดีที่คิดเปนส่วนน้อยของport...
...ปีนี้คงยังเน้นเหล็กไปญี่ปุ่น, น้ำตาล, renewal energy ครับ...port duration ของผมประมาณ 1ปีครับ

เห็นโพลแล้ว ยินดีกับเพื่อนๆพี่ๆชาวVIด้วยครับ ผลตอบแทนระดับสูงหลายท่านเลย
ปีนี้ผมได้ 27.2% รวมปันผล ชนะsetนิดหน่อย เป็นเพราะขายหมูเยอะไปหน่อยครับ

คนเก่งในนี้มีมากจริง ๆ ปีนี้ดัชนีตลาดเพิ่มขึ้นเกือบ 20% แต่ผลตอบแทนของผมแพ้ตลาดมากพอควร ผมได้ผลตอบแทนเพียง 11.35% เท่านั้นเอง ... สงสัยต้องปรับกลยุทธใหม่เสียแล้ว ผมไปเน้นหุ้นปันผลสูง ส่วนการเติบโตไม่เด่นชัดเท่าไหร่ แต่มีความปลอดภัยสูง ปีนี้จะเปลี่ยนกลยุทธไปหาหุ้นปันผลระดับ 3% แต่มีการเติบโตที่เด่นชัดกว่า จะคอยดูซิว่าปีใหม่นี้จะเป็นอย่างไร แต่ผมสนุกกับการลงทุน และ ลดความเครียดไปมากไม่กังวลกับหุ้นที่ถือ ไม่ได้เล่นเร็ว ส่วนใหญ่จะถือยาว ปีใหม่สงสัยจะต้องลงทุนเร็วและเสี่ยงกับหุ้นมากหน่อย ปีใหม่ผมคาดว่าจะลำบากกว่าปี 2559 อีก ต้องระวังตัวด้วยเพราะเศรษฐโลกไม่โตแบบที่คิด ดีนะที่เงินสำรองของประเทศไทยมีมาก เลยไม่ค่อยเกิดปัญหาเท่าไหร่ ...สู้กันต่อไปนะครับ ขอให้โชคดีในการลงทุนด้วยครับ

ปี 59 กลัวมากถือเงินสด40-50% ทั้งปี
ผลตอบแทนแพ้ตลาดมาก ได้ +14%

ปีนี้ผลตอบแทนแพ้ตลาด -22% :cry:

ขอวิธีการคิดผลตอบแทนทั้งปี แบบใส่เงินเพิ่มระหว่างทางด้วยครับ

เห็นผลpollแล้วตกกระจัยเลยครับคนส่วนใหญ่ได้ผลตอบแทนชนะตลาดขาดลอย ส่วนตัวผมก็ชนะตลาดขาดลอยแต่ปีนี้ข้อนข้างกลัวและระวังเลยนำเงินส่วนนึงไปลงทุนอสังหา(ตึกแถวให้7-11เช่า)เลยทำให้พลาดโอกาสทำกำไรในหุ้นไปส่วนนึง

สำหรับผมยังถือว่าเป็นปีที่ดีปีหนึ่งชนะตลาดมากพอสมควร ถึงแม้ว่าจะทำเปอร์เซ็นต์กำไรต่อปีได้ต่ำสุดตั้งแต่มาลงทุนในแนววีไอ เนื่องด้วยขนาดพอร์ทที่เติบโตใหญ่ขึ้น การหาหุ้นที่เราชำนาญยากขึ้น เน้นตั้งรับมากขึ้น เนื่องจากดัชนีอยู่ระดับสูงพอสมควร ปกติโดยมากพอร์ทลงทุนมีหุ้นประมาณ6ตัว แต่ปีนี้มีอยู่ประมาณ 10 ตัว เนื่องจากเน้นตั้งรับชะส่วนใหญ่ โดยมองdownside ต่ำๆเป็นหลัก ช่วงเกิดเหตุเดือนตุลา กำไรที่ได้สะสมจากต้นปีประมาณ32% กลับคืนตลาดเกือบหมด เลยตัดสินใจ ก็ทำการปรับเปลี่ยนหุ้นเหลือ 5 ตัวหลักๆ ในช่วงที่เวลานั้น ดีที่ตัดสินใจถูก ทำให้พอร์ทพลิกกลับมาทำนิวไฮของปีนี้ได้

อย่างไรก็ตาม ขอขอบคุณสมาชิกทุกๆท่านที่ช่วยกันโพส ช่วยกันคอมเม้นท์ รวมถึงคณะกรรมการทุกๆท่านครับ
สวัสดีปีใหม่ 2560 ทุกๆท่านครับ

พอดีคิดต่างนิดหน่อยครับ
ส่วนตัวแล้วไม่ค่อยสนใจว่าจะชนะตลาดฯ รึแพ้ตลาดเท่าไร
ขอแค่ได้ผลตอบแทนจากกำไรของบริษัทฯมาปีละล้าน ก็พอใจละครับ
ถ้าบริษัทฯที่ลงทุนยังมีผลประกอบการที่ดี ก็นอนสบายใจครับ อิอิ

ผมคิดผลตอบแทนไม่ถูก กะกะเอาประมาณ 9% ละกัน(ต่ำกว่าตลาด 555)
ผมสนใจเม็ดเงินที่ได้จากปันผลมากกว่าครับว่า YoY เติบโตขึ้นเท่าไร เพียงพอต่อการดำรงในระยะยาวได้หรือไม่ และรวมถึงฐานะความมั่นคง/อนาคตของบริษัทฯ ที่ลงทุนครับ (ต้องไม่เจ๊ง)
ผมเป็น Conservative Investor กลัวหุ้น Growth P/E สูงๆครับ Capital gain ไม่ต้องมากขอแค่เงินต้นไม่ขาดทุนก็พอใจแล้วครับ

taothiam เขียน:ขอวิธีการคิดผลตอบแทนทั้งปี แบบใส่เงินเพิ่มระหว่างทางด้วยครับ

http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=54748

ส่วนตัวใช้ xirr ครับ

ปีนี้ผลตอบแทนตลาดหุ้น +19.4 ( ไม่พิจารณาเงินปันผล) ผลตอบแทนของพอร์ทหุ้นผม +32.5%(Total asset +46.38%)
ปีนี้เป็นปีที่ผลตอนแทนสูงสุดตั้งแต่ลงทุนหุ้นมา 5 ปีครึ่ง แต่ผมมองว่าผลตอบแทนปีนี้เป็นเพราะตลาดดี มากกว่าฝีมือผมเอง เพราะว่าต้นปีใช้เวลาทำงานเกือบ ¾ ของวันให้บริษัทที่เพิ่งมาตั้งใหม่ แต่นี้ก็เป็นเพียงข้ออ้างในการบริหารเวลาที่ไม่ดีของผมมากกว่า
โดยปีนี้ ผมเน้นลงทุนในกลุ่มมีการคาดการณ์ว่าจะมีการเติบโตของกำไรที่สูง โดยเมื่อถึงสิ้นปีนี้แบ่งเป็นลงทุนใน Big Cap 2 ตัว และ Middle& Small Cap 6 ตัว ซึ่งมีสัดส่วนดังนี้ ค้าปลีก(41%), ท่องเที่ยว(24%), โรงพยาบาล(17 %) อาหาร(11 %) และธุรกิจสิ่งพิมพ์ (7%)

โดยปีนี้ขอแชร์ข้อผิดพลาดในการลงทุน เช่นเคย เป็นข้อเตือนใจและปรับปรุงสำหรับผมและอาจจะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนนักลงบ้าง ดังนี้
1) ใช้อคติต่อผู้บริหารและอารมณ์ ตัดสินใจขายหุ้น มากกว่าตัวธุรกิจของบริษัท ทำให้พลาด Capital Gain อีก 66%ในสิ้นปี 2016 โดยเริ่มจากเมื่อปลายปี 2015 ผมได้ลงทุนหุ้นเครื่องสำอางตัวหนึ่ง เหตุผลที่ลงทุนหุ้นตัวนี้คือ (1) ผู้บริหารที่เป็นลูก ดูเป็นคนตั้งใจในการทำธุรกิจนี้โดยเป็นผู้ริเริ่มทำธุรกิจนี้ให้กับบริษัทซึ่งทำให้บริษัท Turn around กลับมาเมื่อหลายปีก่อน และปีนี้เขาตั้งใจที่จะเจาะตลาดลูกค้าจีนแบบอีกหนึ่งบริษัทในตลาดที่ทำได้ดีมาก ซึ่งภาพระยะยาวน่าจะโตไปได้อีกเรื่อยๆ (2)และผมยังคาดการณ์ว่าบริษัทการตัดขายธุรกิจที่ยังขาดทุน ออกให้หมดภายในปีนี้ (3) ค่า P/E 20-30 ซึงยอมรับได้ (4) คาดการณ์ว่ากำไรบริษัท จะโตมากกว่า 30 % (ผลประกอบการณ์จริง9 เดือน + 41%) แต่กลางปีมีข่าวประกาศ จากบริษัท ว่ามีการปล่อยกู้เงินให้ความช่วยเหลือกับบุคคลภายนอก ซึ่งเมื่อผมได้วิเคราะห์ว่ามันไม่ใช่ธุรกิจหลักของบริษัท ผมจึงไม่ชอบกับการทำอย่างนี้และรวมกับความมีอคติต่อความน่าเชื่อถือผู้บริหารคนพ่อ รวมถึงผมยังได้ไปอ่านกระทู้ใน web board ที่มีการพูดถึงเรื่องนี้ในแง่ลบส่วนมาก สุดท้ายผมก็ขายหุ้นตัวนี้ทิ้งทั้งหมดเลยไปในวันถัดไป ซึงผมได้กำไร + 5% หลังจากนั้นหุ้นก็ขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ +90% จากราคาที่ผมขาย

บทเรียนที่ผมได้รับในปีนี้คือ (1) คอยได้ ใจเย็น ต้องฝึกให้ชิน (2) การขายให้ทำการแบ่งขาย ห้ามขายไม้เดียว เพราะเราอาจจะคิดผิดก็ได้ (3) ถ้าเชื่อในภาพใหญ่ รายละเอียดเล็กๆที่ไม่มีนัยยะก็จะกวนใจเราน้อยลง


2) หุ้นสิ่งพิมพ์กำไรเติบโตที่ไม่ได้มาจากธุรกิจหลักของตัวเองและอยู่ในอุตสาหกรรมตะวันตกดิน ผลคือราคาหุ้นไม่โต
โดยในวันเดียวที่ผมได้ขายหุ้นข้อหนึ่งออกไป ผมได้เปลี่ยนมาซื้อหุ้นสิ่งพิมพ์ตัวนี้ ด้วยเหตุผลที่มองว่า (1)กำไรน่าจะโต 20 % (2) ตลาดยังให้ PE ประมาณ 10 เท่า ซึ่งผมมองว่ายังต่ำอยู่ และ(3) ธุรกิจใหม่ที่มีความเป็นไปได้ที่จะมาแทนสินค้าเดิม เพราะราคาถูกกว่าจะการใช้วัตถุดิบน้อยกว่า

แต่ผลการลงทุนตอนสิ้นปี ราคาหุ้นไม่ไปไหน เพราะธุรกิจใหม่ยังไม่มีรายได้โดยกำลังอยู่ในช่วงทดลองกับลูกค้าอยู่ ส่วนกำไร 9 เดือน +23% โดยโตมาจากบริษัทลูกขายอุปกรณ์ไอที ซึ่งตลาดก็ยังไม่เพิ่มมูลค่าให้เช่นเดิม

ข้อคิดคือ (1) การดูค่า PE ในปัจจุบัน ให้มองค่า PE ย้อนหลังด้วย ถ้ามันไม่แตกต่างกันเลย ก็ยากที่ตลาดจะปรับค่าให้เช่นกัน คงต้องรอธุรกิจใหม่ทำรายได้อย่างมีนัยสำคัญ (2) การลงทุนในธุรกิจหลักของบริษัทที่ไม่โตแล้ว ควรหวังแค่ปันผลก็พอ การคาดหวังราคาหุ้นที่จะปรับขึ้นจะต้องอยู่กับธุรกิจใหม่ว่าจะดีหรือไม่

สุดท้ายผมก็ยังถือหุ้นตัวนี้ต่อไป โดยติดตามข้อมูลผู้บริหารจากข่าวและ OPPDAYโดยหวังว่าธุรกิจใหม่ที่เริ่มมี Demo ออกมา บ้างแล้วจะช่วยให้กำไรบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะในปี 2017 ครับ

3) การดันทุรังถือหุ้นโรงแรมและอาหารที่กำไรเติบโตน้อยในปีนี้
เนื่องด้วยปี 2558 ผมได้ลงทุนในหุ้นโรงแรมและอาหาร เป็นตัวสัดส่วนมากอันดับที่ 1 และราคาหุ้นเติบโตดีประมาณ +30% เนื่องจากฐานกำไรปี 2557 ต่ำผิดปกติจากปัญหาทางการเมือง แต่ช่วงปลายปีผมได้ประมาณกำไรปี 2559 แล้วมองว่าการเติบโตปกติจะน้อยไม่เกิน 10% เพราะอัตราการเข้าพักเฉลี่ยของโรงแรมเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว และการเปิดโรงแรมใหม่มีน้อย ส่วนเรื่องร้านอาหาร SSG ก็เติบโตไม่มาก มีความหวังเติบโตคือการ M&A ซึงความเห็นของผมว่าควรขายไปถือตัวที่มี Upside มากกว่าแทน แต่ผมกลับไม่ยอมขาย ถือทนข้ามปี 2558 จนราคาลดลงจากสิ้นปี 2558 กว่า -20% แล้วก็ทนไม่ไหว เมื่อโดนผลกระทบจากข่าวการปราบปราม ทัวส์ 0 เหรียญและตลาดบวกเยอะ แต่ผลตอบแทนพอร์ทของผมยังแย่กว่าตลาด สุดท้ายก็ตัดสินใจขาย 2 ไม้ และหมดตอนเดือน พฤศจิกายน สรุปทำให้กำไรจากการลงทุนหุ้นตัวนี้เหลือเพียง 7 % เท่านั้น

บทเรียนจากการลงทุนครั้งนี้ คือ เมื่อวิเคราะห์ ถ้าเราไม่สามารถหาเหตุผลที่กำไรบริษัทจะเติบโตในปีข้างหน้า ต้องมีวินัยและลงมือทำ
4) หุ้นพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ผู้นำ community Malls
ผมเริ่มลงทุนหุ้นตอนปี 2555 ตอนที่ห้างใหญ่ตรงข้ามทางเข้าราม 2 เพิ่งเปิด ปรากฏว่าราคาหุ้นตอบรับกับเรื่องนี้มา ราคาหุ้นของผมขึ้นไปราว 80% แต่ผมไม่ขายเพราะรอโครงการใหม่ขนาดใหญ่ฝั่งตะวันตกและฝั่งทิศเหนือ สุดท้ายราคาก็ลงมาเรื่อยๆ เนื่องจากไม่มีโครงการใหญ่ๆ โครงการใหม่ แต่กำไรบริษัทก็เติบโตดีจากส่วนแบ่งกำไรของห้างใหญ่ตรงข้ามราม 2 และปี 2557 ผมได้เก็บหุ้นตัวนี้เพิ่มอีก โดยสลับขายหุ้นปั้มปีเตอร์ออกไป เพราะหวังจากโครงการฝั่งตะวันตก(จากนั้นปั้มปีเตอร์ก็วิ่งไป 7.5 เท่าใน 2 ปี แต่หุ้นตัวนี้ราคาคงที่ ) ผมก็ถือต่อมาเรื่อยๆ จนถึงปีนี้ปรากฏว่าแผนการสร้างห้างใหญ่ถูกยกเลิกเนื่องจากไม่สามารถรวบรวมที่ดินจึงทำให้พาร์ทเนอร์ขายฟอร์นิเจอร์ไปเปิดในพื้นที่ของห้างคู่แข่งฝั่งตรงข้ามที่สร้างเสร็จแล้ว ดังนั้นที่ดินฝั่งตะวันตกรอขายทำกำไร และผมก็ตามข่าวและถามใน OPPDAY เกี่ยวกับการสร้างห้างฝั่งทิศเหนือ แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ เพิ่มเติม สุดท้ายผมก็ขายหุ้นตัวนี้ไปตอนกลางปีเพื่อไปหุ้นที่ผมมองว่ารายได้และกำไรมีโอกาสเติบโตมากกว่า สุดท้ายลงทุนหุ้นตัวนี้มา 3 ปีได้กำไรมารวม 17%

บทเรียนจากการลงทุนครั้งนี้ คือ เมื่อเราได้กำไรที่ดีมากกับหุ้นที่ไม่มีความแข็งแกร่งมาก ต้องล็อคกำไรไว้โดยการแบ่งขายออกไปบ้าง เพราะถ้าหุ้นไม่แข็งแกร่งและเติบโตอย่างตอเนื่องราคาหุ้นจะกลับมาที่เดิม

5) เล่นหุ้นตามเซียน แต่ผมมีความเข้าใจในธุรกิจน้อย
ผมซื้อหุ้นตัวนี้โดยการสลับขายหุ้นข้อ 5 ออกไป สาเหตุที่ผมสนในหุ้นตัวนี้ เนื่องจากว่าปีบริษัทจะขายโรงแรมเพิ่มเข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์ มาตรการณ์สนับสนุนจากรัฐบาล และมี Celeb ถือหุ้นตัวนี้กันหลายคน ซึงผลปรากฏว่ารายได้บริษัทโตจริง แต่กำไรบริษัทรวม 9 เดือนกลับขาดทุน เพราะโดยทั้งดอกเบี้ยและภาษีกินส่วนกำไร และยังต้องจ่ายให้ส่วนที่เป็นของผู้มีส่วนได้เสียไปหมด

สุดท้ายท้ายก็ตัดสินใจขายหุ้นตัวนี้ไปหลังจากถือมาครึ่งปี พร้อมกลับขาดทุนไป – 9% ซึ่งเป็นผลทำให้กำไรการลงทุนในข้อ 4 ลดลงเหลือเพียง 6 % เท่านั้นจากการลงทุนมา 4 ปี

บทเรียน คือ อย่าคิดว่าจะทำกำไรง่ายๆ จากการลอก ถ้าเรายังไม่ทำการบ้านเยอะพอ เพราะมันเหมือนกับการเอาเงินมาทิ้งง่ายๆ ในขณะที่พอร์ทเรายังเล็กซึ่งจะเป็นผลทำให้เราหมดกำลังใจเมื่อเวลาผ่านไปแต่เรายังไม่ถึงเป้าหมายเสียที่

6) สิ้นปี 2558 ได้ตั้งเป้าหมายว่าจะลดการถือหุ้นลงให้เหลือ 6 ตัว แต่ผลที่เกิดขึ้นจริงคือ ตอนนี้ยังถือหุ้นอยู่ 8 ตัว ซึ่งยังไม่ได้ตามเป้า

สำหรับเป้าหมายการลงทุนปี 2560 ผมเป็นดังนี้
1) คาดหวังผลตอบแทน 26% ต่อปี
2) ถือหุ้น 6 ตัวเพื่อ Focus โดยต้องฝึกทักษะการขายหุ้น
3) อ่านหนังสือเพื่อพัฒนาขอบข่ายความรู้ เดือนละ 4 เล่ม รวม 52 เล่มต่อปี ทำ Track record ทุกเดือน
4) ศึกษาและหาหุ้นเดือนละ 2 ตัว รวม 24 ตัวต่อปี ทำ Track record ทุกเดือน
5) เข้าสัมมนาเพิ่มความรู้เดือนละ 1 ครั้ง รวม 12 ครั้งต่อปี

บทส่งท้าย ตอนนี้ผมลงทุนมาได้ 5ปีครึ่งแล้วแต่ความรู้และผลตอบแทนยังไม่เพียงพอที่จะมีอิสรภาพทางการเงิน ยังไงก็ต้องสู้ต่อไปเพื่อตามฝันที่เราตั้งไว้ สุดท้ายผมยินดีกับคำวิจารณ์และข้อชี้แนะที่จะทำให้ผม พัฒนาดีขึ้นกว่าปัจจุบันครับ

ขอบคุณมากครับ
นักลงทุนลูกชาวนา
8/1/2017

-23เปอเซน ครับ

ของผมปีนี้ได้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างพอใจ +21.4% ชนะตลาดนิดหน่อย แต่เสียดายที่โดยเฉลี่ยทั้งปี ถือหุ้นประมาณ 60% ไม่งั้นคงได้ผลตอบแทนดีกว่านี้

ในปีนี้ได้มีประสบการณ์ไปอบรมเข้าคอร์สของ ThaiVI รุ่น 11 ก็เห็นเลยว่า มีนักลงทุนเก่งๆมากมายจริงๆครับ ทั้งที่เรียนด้วยกันก็ดีหรือทั้งอาจารย์ทุกๆคนที่ได้ถ่ายทอดวิชา ได้มุมมองการประเมิณมูลค่าหุ้นแบบที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อนและได้เริ่มรู้จิตวิทยาการลงทุน จากอาจารย์หลายๆคน จากการสอบถามนอกรอบ

ปีที่ผ่านมาผมอาจจะเหมือนหลายๆท่านที่เน้นในหุ้นปลอดภัยในพอร์ตมากเกินไป หลายๆตัวที่คิดว่า downside ต่ำแต่ก็ขาดทุนไปเยอะ โชคดีที่มีเงินสดพอสมควรทำให้สามารถช้อนหุ้นราคาถูกได้เยอะในช่วงที่ตลาด panic หลายๆครั้ง ทำให้ผลตอบแทนยังดูดีอยู่ ปีนี้คงปรับกลยุทธ์ให้ดีกว่าเดิม ให้มีทั้งเกมรุก (หุ้นเติบโต) และเกมรับ (หุ้นแข็งแกร่ง) ที่สมดุล ในขณะที่หุ้นที่ยังไม่มี upside ในระยะสั้น อาจจะพิจารณาเป็นตัวเลือกรองๆแทน

ต้องสารภาพว่าปีก่อนผม ผมผิดพลาดเยอะมาก จนแพ้ตลาดอย่างยับเยินเป็นครั้งแรกของการลงทุน
มาปีนี้โชคดีได้ความสนใจของลูกสาวที่มีต่ออุปกรณ์ อีเลคโทรนิคชนิดหนึ่ง ซึ่งกำลังเทิร์นอะราวด์
และโชคดีซ้ำสองที่ได้พบหุ้นที่ทำธุรกิจนั้นในห้องร้อยคนร้อยหุ้น ลองศึกษาดู เริ่มรู้สึกว่าทิศทางธุรกิจสอคล้องกับสิ่งที่ได้รับรู้จากลูก ประจวบกับหุ้นP/Eต่ำ กว่าธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตสูงตัวอื่นเอามากๆ จึงตัดสินใจเทเงินลงทุนทั้งหมดลงในหุ้นตัวนี้ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในชีวิตการลงทุนที่ผมลงเงินทั้งหมดในหุ้นตัวเดียว ทำให้ผมเริ่มเข้าใจคำพูดของ ปีเตอร์ ลินซ์ ที่เคยบอกให้ลองสังเกตุถึงความสนใจของคนใกล้ตัวดู อาจจะพบโอกาสการลงทุนที่สุดยอดเข้าก็ได้ เพราะถึงตอนนี้ ผมได้คืนทบต้นทบดอก สร้างนิวไฮของพอร์ทตัวเองอีกครั้ง ทั้งที่ระหว่างปี ผมได้ขายหุ้นออกไปถึง50%

ขอขอบคุณ เว็บไทยวีไอ ขอบคุณปีเตอร์ ลินซ์ ขอบคุณดร.นิเวศน์ ผู้แปลหนังสือเล่มนั้น และที่ลืมไม่ได้เลย ขอขอบคุณลูกสาวของผมเอง ที่ทำให้ผมสามารถกลับมาได้อีกครั้ง ขอบคุณจริงๆครับ

สำหรับปี 2559 +28.8% ครับ มีหุ้นประกันตัวนึง underperform

suwicha เขียน:ต้องสารภาพว่าปีก่อนผม ผมผิดพลาดเยอะมาก จนแพ้ตลาดอย่างยับเยินเป็นครั้งแรกของการลงทุน
มาปีนี้โชคดีได้ความสนใจของลูกสาวที่มีต่ออุปกรณ์ อีเลคโทรนิคชนิดหนึ่ง ซึ่งกำลังเทิร์นอะราวด์
และโชคดีซ้ำสองที่ได้พบหุ้นที่ทำธุรกิจนั้นในห้องร้อยคนร้อยหุ้น ลองศึกษาดู เริ่มรู้สึกว่าทิศทางธุรกิจสอคล้องกับสิ่งที่ได้รับรู้จากลูก ประจวบกับหุ้นP/Eต่ำ กว่าธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตสูงตัวอื่นเอามากๆ จึงตัดสินใจเทเงินลงทุนทั้งหมดลงในหุ้นตัวนี้ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในชีวิตการลงทุนที่ผมลงเงินทั้งหมดในหุ้นตัวเดียว ทำให้ผมเริ่มเข้าใจคำพูดของ ปีเตอร์ ลินซ์ ที่เคยบอกให้ลองสังเกตุถึงความสนใจของคนใกล้ตัวดู อาจจะพบโอกาสการลงทุนที่สุดยอดเข้าก็ได้ เพราะถึงตอนนี้ ผมได้คืนทบต้นทบดอก สร้างนิวไฮของพอร์ทตัวเองอีกครั้ง ทั้งที่ระหว่างปี ผมได้ขายหุ้นออกไปถึง50%

ขอขอบคุณ เว็บไทยวีไอ ขอบคุณปีเตอร์ ลินซ์ ขอบคุณดร.นิเวศน์ ผู้แปลหนังสือเล่มนั้น และที่ลืมไม่ได้เลย ขอขอบคุณลูกสาวของผมเอง ที่ทำให้ผมสามารถกลับมาได้อีกครั้ง ขอบคุณจริงๆครับ

อุปกรณ์นั้น คืออะไรครับ

Juninho เขียน:

suwicha เขียน:ต้องสารภาพว่าปีก่อนผม ผมผิดพลาดเยอะมาก จนแพ้ตลาดอย่างยับเยินเป็นครั้งแรกของการลงทุน
มาปีนี้โชคดีได้ความสนใจของลูกสาวที่มีต่ออุปกรณ์ อีเลคโทรนิคชนิดหนึ่ง ซึ่งกำลังเทิร์นอะราวด์
และโชคดีซ้ำสองที่ได้พบหุ้นที่ทำธุรกิจนั้นในห้องร้อยคนร้อยหุ้น ลองศึกษาดู เริ่มรู้สึกว่าทิศทางธุรกิจสอคล้องกับสิ่งที่ได้รับรู้จากลูก ประจวบกับหุ้นP/Eต่ำ กว่าธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโตสูงตัวอื่นเอามากๆ จึงตัดสินใจเทเงินลงทุนทั้งหมดลงในหุ้นตัวนี้ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในชีวิตการลงทุนที่ผมลงเงินทั้งหมดในหุ้นตัวเดียว ทำให้ผมเริ่มเข้าใจคำพูดของ ปีเตอร์ ลินซ์ ที่เคยบอกให้ลองสังเกตุถึงความสนใจของคนใกล้ตัวดู อาจจะพบโอกาสการลงทุนที่สุดยอดเข้าก็ได้ เพราะถึงตอนนี้ ผมได้คืนทบต้นทบดอก สร้างนิวไฮของพอร์ทตัวเองอีกครั้ง ทั้งที่ระหว่างปี ผมได้ขายหุ้นออกไปถึง50%

ขอขอบคุณ เว็บไทยวีไอ ขอบคุณปีเตอร์ ลินซ์ ขอบคุณดร.นิเวศน์ ผู้แปลหนังสือเล่มนั้น และที่ลืมไม่ได้เลย ขอขอบคุณลูกสาวของผมเอง ที่ทำให้ผมสามารถกลับมาได้อีกครั้ง ขอบคุณจริงๆครับ

อุปกรณ์นั้น คืออะไรครับ

กล้องครับ

ผมชนะตลาด เยอะพอสมควรครับ แต่ไม่ได้ดีใจเลยนะครับ

หลาย ๆ คนบอกว่าปีนี้ตลาดดี

ที่จริงมันไม่ได้ดีอะไรเลยนะครับ แค่ดัชนีมันวกกลับมาที่เดิม จากที่เคยทรุดหนักไป

ตราบใดที่ภาคเศรษฐกิจยังแย่ นักลงทุนไม่กล้าลงทุน ต่างชาติไม่มาลงทุน จะให้กลับมาดีจริงคงยากครับ

แพ้ตลาดจนได้เนื่องจากเอาเวลาไปจัดการเรื่องส่วนตัว
แต่อย่างไรก็กำไรละ
ปีนี้เอาใหม่ละกัน ว่าเป็นเช่นไร

ปีที่แล้วได้จากหุ้น B__,I__,F__,C__
ส่วนขาดทุนมากๆๆ คือ C__,S__,D__
ปีที่แล้ว บริษัทที่หมุนเวียนไปประมาณ 27 บริษัท ถือครองนานขึ้นกว่าเดิม
มีออกนอกตลาดไป 1 ตัว (ตามออกไป)

ปีนี้ผิดพลาดตั้งแต่ตอนกลางปีจากเรื่องส่วนตัวที่ ดูเรื่องเงินผิดพลาด ค่าใช้จ่ายมากไปหน่อย
ปีนี้เอาใหม่ละ