ความงดงามของ FACEBOOK / คนขายของ
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ต.ค. 20, 2016 1:59 pm
ความงดงามของ FACEBOOK / โดย คนขายของ
จงเรียงกิจการที่มีมูลค่าน้อยที่สุดไปหามากที่สุด? หากนักลงทุนเจอคำถามนี้โดยมีตังเลือกให้ 5 บริษัทดังนี้ ท่านจะเรียงลำดับกันอย่างไร? หนึ่ง คือ Exxon Mobil ซึ่งมีประวัติยาวนานตั้งแต่ปี 1870 สอง GE ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี 1892 สาม บริษัทอากาศยานยักษ์ใหญ่ Boeing สี่ บริษัทค้าปลีกที่มีรายได้พอๆกับ GDP ของประเทศนอร์เวย์อย่าง Walmart และ ห้า บริษัทเทคโนโลยี ซึ่งเพิ่งก่อเป็นรูปเป็นร่างในปี 2004 มี CEO อายุแค่ 32 ปี อย่าง FACEBOOK (FB) หากถามคำถามนี้ในปี 2012 ซึ่งเป็นปีที่ FB ทำการ IPO เป็นครั้งแรกในเดือนพฤษภาคม เราจะพบว่าบริษัทน้องใหม่นี้อยู่ในอันดับที่ 4 ชนะแค่ Boeing เพียงบริษัทเดียว แต่ในวันนี้ สถานะการณ์เปลี่ยนไปมาก จากข้อมูลในวันที่ 4 ตุลาคม 2559 อันดับของมูลค่ากิจการจากน้อยไปมากจะเป็นดังนี้ Boeing, Walmart, GE, Exxon และ FB ทำไมนักลงทุนถึงให้มูลค่ากิจการของ FB มากถึง 367 พันล้านเหรียญ (12.9 ล้านล้านบาท)? พอๆกับตลาดหุ้นไทยทั้งตลาดเลยทีเดียว
หากเรามาดูโครงสร้างรายได้ FB นั้นจะเห็นว่ามากกว่า 90% เป็นรายได้จากการโฆษณา ซึ่งคล้ายกับบริษัทในธุรกิจสื่อสารมวลชน แต่ FB มีโมเดลทางธุรกิจที่แตกต่างจากบริษัทสื่อโดยทั่วไปคือ หนึ่ง FB ไม่ต้องทำ การประมูลใบอนุญาติคลื่นความถี่ที่มักเป็นต้นทุนหลักของสื่อประเภทวิทยุและโทรทัศน์ และไม่ต้องลงทุนในส่วนของติดตั้งโครงข่ายกระจายสัญญาณด้วยตังเอง ยิ่งมีคนใช้ FB มากเท่าไหร่ ภาระค่าใช้จ่ายตรงส่วนนี้ กลับตกเป็นของบริษัท Mobile Operators หรือ บริษัทที่ให้บริการอินเตอร์เน็ต ทำให้ FB มีการใช้จ่ายเพื่อ การลงทุน (CAPEX) ในอัตราที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับกระแสเงินสด และ สอง FB ไม่ต้องทำการสร้าง “content” ของตัวเองเหมือนอย่างสถานีโทรทัศน์หรือค่ายสร้างภาพยนต์ ทำให้อัตราความเสี่ยงในการทำธุรกิจต่ำกว่า รายได้แน่นอนมั่นคงกว่า เพราะคนที่สร้าง “content” ของ FB ก็คือผู้ใช้งาน FB นั้นเอง
นอกจากโมเดลธุรกิจที่ดีเยี่ยมแล้ว ทุกวันนี้ FB ยังไม่มีคู่แข่งที่พอจะสูสีกันได้ ข้อมูลจาก statista.com ระบุว่า จาก Social Network Apps ยอดนิยม 10 อันดับของโลก มีถึง 4 อันที่เป็น Apps ของ FB ซึ่งนอกจาก FB เองที่อยู่ในอันดับหนึ่ง ยังมี Whatsapp เป็นอันดับสอง FB Messenger ได้ที่สาม และ Instagram มาในอันดับแปด นับจำนวนบัญชีผู้ใช้งานรวมกันทั้งหมดได้มากกว่า 4,200 ล้าน บัญชี ถ้านับบัญชีผู้ใช้งาน Whatsapp ซึ่งมีราว 1,000 ล้าน ก็มากกว่าของ Wechat ที่ 800 ล้าน และ LINE ที่ 218 ล้าน นอกจาก FB จะเป็น Social Network ที่ใหญ่ที่สุดแล้ว ยังเป็น Messenger Apps ที่ใหญ่ที่สุดด้วย
FB ไม่ได้มีดีแต่ปริมาณบัญชีผู้ใช้งานอย่างเดียว แต่ตัวเลขทางการเงินหลายตัวยังดูน่าสนใจด้วย อย่างเช่น กำไรสุทธิของบริษัทโตจากแค่ 1 พันล้านเหรียญในปี 2011 มาเป็น 3.69 พันล้านเหรียญในปี 2015 ในขณะที่กำไรของบริษัทในธุรกิจใกล้เคียงกันอย่าง Twitter และ LinkedIn กลับขาดทุน และในด้านการ บริหารสภาพคล่อง พบว่าFB ยังสามารถสร้าง กระแสเงินสดจากการดำเนินงานได้สูงมาก สูงกว่ากำไร สุทธิถึงสองเท่า ทำให้บริษัทสามารถนำเอาสภาพคล่องส่วนเกินมาลงทุนในงบวิจัยและพัฒนาได้โดยไม่ต้อง กู้เงินมาลงทุน ปัจจุบันงบวิจัยและพัฒนาของ FB มากกว่าของ BOEING และคิดเป็น 50% ของ APPLE ถึงแม้ FB จะมีรายได้เพียงหนึ่งในสิบของ APPLE ก็ตาม ถึงแม้จะมีค่าใช้จ่ายด้าน R&D ที่สูง อัตรากำไรสุทธิของ FB ยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 20% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าของหลายๆบริษัท
แล้ว FB จะยังสามารถโตต่อไปได้อีกไหม? หากดูจากสถิติที่รวบรวมโดย McKinsey เกี่ยวกับเม็ดเงิน โฆษณาของโลกในปี 2017 ซึ่งคาดว่าจะมากกว่า 500 พันล้านเหรียญ ในปี 2017 คาดว่ารายได้จากโฆษณาของ FB น่าจะอยู่ที่ราว 25 พันล้านหรียญ หรือคิดเป็นราว 5% ของเม็ดเงินโฆษณาของโลก ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าสื่ออื่นๆ, การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน และ สามารถวัดผลได้จากยอด “Like” หรือ “Share” จึงน่าจะทำให้ FB สามารถเติบโตได้อีกในอนาคต นี่ยังไม่นับการลงทุนเพิ่มเติมจากเงินสดที่สูงถึง 23 พันล้านเหรียญ ซึ่งบริษัทเก็บไว้ในตอนนี้
ถึงแม้ FB จะมีปัจจัยในเชิงบวกหลายอย่างแต่ด้วยมูลค่ากิจการที่สูงถึง 367 พันล้านเหรียญ คิดเป็นค่า PE ซึ่งสูงถึง 61 เท่า PBV ที่ 8.29 เท่า ROE 9.14 และไม่มีเงินปันผลเลย ถึงแม้รายได้ยังคงโตได้ปีละ 25-30% และกำไรสุทธิเติบโตที่ระดับ 70-80% ในปีนี้ เราคงต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนหากสนใจลงทุน ทั้งนี้เพราะความเสี่ยงอย่างหนึ่งของหุ้นเทคโนโลยีก็คือเราไม่รู้ว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการในอุตสาหกรรมนี้จะเปลี่ยนไปอย่างไร? ในอีกสองปีหรือห้าปีข้างหน้าจะมีอะไรมาแทน FB ได้ไหม? สมัยเมื่อ 20 ปีที่แล้ว เว็ป search engine อย่าง YAHOO ก็เคยเป็นที่กล่าวขวัญถึงอย่างมาก มูลค่ากิจการเคยขึ้นสูงถึง 208 พันล้านเหรียญในปี 2000 แต่จากการเกิดขึ้นของ GOOGLE และเทคโนโลยีหลายๆอย่างที่เปลี่ยนไป ทำให้ปัจจุบัน YAHOO เหลือมูลค่ากิจการเพียง 41 พันล้านเหรียญ ดังนั้นนักลงทุนที่สนใจในหุ้นเทคโนโลยีควรเตรียมพร้อมรับความเสี่ยงเรื่องนี้ด้วย ไม่ใช่จะมองแต่ด้านโลกสวยเพียงอย่างเดียว นี่เป็นเหตุหนึ่งที่ Warren Buffett มักหลีกเลี่ยงหุ้นเทคโนโลยี เพราะเขารู้ว่าหมากฝรั่ง, ซอสมะเขือเทศ และไอศครีม ยังคงหน้าตา ไม่แตกต่างจากเดิม แต่เขานึกไม่ออกว่าโทรศัพท์มือถืออีกสิบปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร
จงเรียงกิจการที่มีมูลค่าน้อยที่สุดไปหามากที่สุด? หากนักลงทุนเจอคำถามนี้โดยมีตังเลือกให้ 5 บริษัทดังนี้ ท่านจะเรียงลำดับกันอย่างไร? หนึ่ง คือ Exxon Mobil ซึ่งมีประวัติยาวนานตั้งแต่ปี 1870 สอง GE ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี 1892 สาม บริษัทอากาศยานยักษ์ใหญ่ Boeing สี่ บริษัทค้าปลีกที่มีรายได้พอๆกับ GDP ของประเทศนอร์เวย์อย่าง Walmart และ ห้า บริษัทเทคโนโลยี ซึ่งเพิ่งก่อเป็นรูปเป็นร่างในปี 2004 มี CEO อายุแค่ 32 ปี อย่าง FACEBOOK (FB) หากถามคำถามนี้ในปี 2012 ซึ่งเป็นปีที่ FB ทำการ IPO เป็นครั้งแรกในเดือนพฤษภาคม เราจะพบว่าบริษัทน้องใหม่นี้อยู่ในอันดับที่ 4 ชนะแค่ Boeing เพียงบริษัทเดียว แต่ในวันนี้ สถานะการณ์เปลี่ยนไปมาก จากข้อมูลในวันที่ 4 ตุลาคม 2559 อันดับของมูลค่ากิจการจากน้อยไปมากจะเป็นดังนี้ Boeing, Walmart, GE, Exxon และ FB ทำไมนักลงทุนถึงให้มูลค่ากิจการของ FB มากถึง 367 พันล้านเหรียญ (12.9 ล้านล้านบาท)? พอๆกับตลาดหุ้นไทยทั้งตลาดเลยทีเดียว
หากเรามาดูโครงสร้างรายได้ FB นั้นจะเห็นว่ามากกว่า 90% เป็นรายได้จากการโฆษณา ซึ่งคล้ายกับบริษัทในธุรกิจสื่อสารมวลชน แต่ FB มีโมเดลทางธุรกิจที่แตกต่างจากบริษัทสื่อโดยทั่วไปคือ หนึ่ง FB ไม่ต้องทำ การประมูลใบอนุญาติคลื่นความถี่ที่มักเป็นต้นทุนหลักของสื่อประเภทวิทยุและโทรทัศน์ และไม่ต้องลงทุนในส่วนของติดตั้งโครงข่ายกระจายสัญญาณด้วยตังเอง ยิ่งมีคนใช้ FB มากเท่าไหร่ ภาระค่าใช้จ่ายตรงส่วนนี้ กลับตกเป็นของบริษัท Mobile Operators หรือ บริษัทที่ให้บริการอินเตอร์เน็ต ทำให้ FB มีการใช้จ่ายเพื่อ การลงทุน (CAPEX) ในอัตราที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับกระแสเงินสด และ สอง FB ไม่ต้องทำการสร้าง “content” ของตัวเองเหมือนอย่างสถานีโทรทัศน์หรือค่ายสร้างภาพยนต์ ทำให้อัตราความเสี่ยงในการทำธุรกิจต่ำกว่า รายได้แน่นอนมั่นคงกว่า เพราะคนที่สร้าง “content” ของ FB ก็คือผู้ใช้งาน FB นั้นเอง
นอกจากโมเดลธุรกิจที่ดีเยี่ยมแล้ว ทุกวันนี้ FB ยังไม่มีคู่แข่งที่พอจะสูสีกันได้ ข้อมูลจาก statista.com ระบุว่า จาก Social Network Apps ยอดนิยม 10 อันดับของโลก มีถึง 4 อันที่เป็น Apps ของ FB ซึ่งนอกจาก FB เองที่อยู่ในอันดับหนึ่ง ยังมี Whatsapp เป็นอันดับสอง FB Messenger ได้ที่สาม และ Instagram มาในอันดับแปด นับจำนวนบัญชีผู้ใช้งานรวมกันทั้งหมดได้มากกว่า 4,200 ล้าน บัญชี ถ้านับบัญชีผู้ใช้งาน Whatsapp ซึ่งมีราว 1,000 ล้าน ก็มากกว่าของ Wechat ที่ 800 ล้าน และ LINE ที่ 218 ล้าน นอกจาก FB จะเป็น Social Network ที่ใหญ่ที่สุดแล้ว ยังเป็น Messenger Apps ที่ใหญ่ที่สุดด้วย
FB ไม่ได้มีดีแต่ปริมาณบัญชีผู้ใช้งานอย่างเดียว แต่ตัวเลขทางการเงินหลายตัวยังดูน่าสนใจด้วย อย่างเช่น กำไรสุทธิของบริษัทโตจากแค่ 1 พันล้านเหรียญในปี 2011 มาเป็น 3.69 พันล้านเหรียญในปี 2015 ในขณะที่กำไรของบริษัทในธุรกิจใกล้เคียงกันอย่าง Twitter และ LinkedIn กลับขาดทุน และในด้านการ บริหารสภาพคล่อง พบว่าFB ยังสามารถสร้าง กระแสเงินสดจากการดำเนินงานได้สูงมาก สูงกว่ากำไร สุทธิถึงสองเท่า ทำให้บริษัทสามารถนำเอาสภาพคล่องส่วนเกินมาลงทุนในงบวิจัยและพัฒนาได้โดยไม่ต้อง กู้เงินมาลงทุน ปัจจุบันงบวิจัยและพัฒนาของ FB มากกว่าของ BOEING และคิดเป็น 50% ของ APPLE ถึงแม้ FB จะมีรายได้เพียงหนึ่งในสิบของ APPLE ก็ตาม ถึงแม้จะมีค่าใช้จ่ายด้าน R&D ที่สูง อัตรากำไรสุทธิของ FB ยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 20% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าของหลายๆบริษัท
แล้ว FB จะยังสามารถโตต่อไปได้อีกไหม? หากดูจากสถิติที่รวบรวมโดย McKinsey เกี่ยวกับเม็ดเงิน โฆษณาของโลกในปี 2017 ซึ่งคาดว่าจะมากกว่า 500 พันล้านเหรียญ ในปี 2017 คาดว่ารายได้จากโฆษณาของ FB น่าจะอยู่ที่ราว 25 พันล้านหรียญ หรือคิดเป็นราว 5% ของเม็ดเงินโฆษณาของโลก ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าสื่ออื่นๆ, การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน และ สามารถวัดผลได้จากยอด “Like” หรือ “Share” จึงน่าจะทำให้ FB สามารถเติบโตได้อีกในอนาคต นี่ยังไม่นับการลงทุนเพิ่มเติมจากเงินสดที่สูงถึง 23 พันล้านเหรียญ ซึ่งบริษัทเก็บไว้ในตอนนี้
ถึงแม้ FB จะมีปัจจัยในเชิงบวกหลายอย่างแต่ด้วยมูลค่ากิจการที่สูงถึง 367 พันล้านเหรียญ คิดเป็นค่า PE ซึ่งสูงถึง 61 เท่า PBV ที่ 8.29 เท่า ROE 9.14 และไม่มีเงินปันผลเลย ถึงแม้รายได้ยังคงโตได้ปีละ 25-30% และกำไรสุทธิเติบโตที่ระดับ 70-80% ในปีนี้ เราคงต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนหากสนใจลงทุน ทั้งนี้เพราะความเสี่ยงอย่างหนึ่งของหุ้นเทคโนโลยีก็คือเราไม่รู้ว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการในอุตสาหกรรมนี้จะเปลี่ยนไปอย่างไร? ในอีกสองปีหรือห้าปีข้างหน้าจะมีอะไรมาแทน FB ได้ไหม? สมัยเมื่อ 20 ปีที่แล้ว เว็ป search engine อย่าง YAHOO ก็เคยเป็นที่กล่าวขวัญถึงอย่างมาก มูลค่ากิจการเคยขึ้นสูงถึง 208 พันล้านเหรียญในปี 2000 แต่จากการเกิดขึ้นของ GOOGLE และเทคโนโลยีหลายๆอย่างที่เปลี่ยนไป ทำให้ปัจจุบัน YAHOO เหลือมูลค่ากิจการเพียง 41 พันล้านเหรียญ ดังนั้นนักลงทุนที่สนใจในหุ้นเทคโนโลยีควรเตรียมพร้อมรับความเสี่ยงเรื่องนี้ด้วย ไม่ใช่จะมองแต่ด้านโลกสวยเพียงอย่างเดียว นี่เป็นเหตุหนึ่งที่ Warren Buffett มักหลีกเลี่ยงหุ้นเทคโนโลยี เพราะเขารู้ว่าหมากฝรั่ง, ซอสมะเขือเทศ และไอศครีม ยังคงหน้าตา ไม่แตกต่างจากเดิม แต่เขานึกไม่ออกว่าโทรศัพท์มือถืออีกสิบปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร