เทคโนโลยีที่สร้างความพลิกผัน (Disruptive Technology)
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 12, 2016 10:42 pm
ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ
[/size]
โค้ด: เลือกทั้งหมด
ครั้งที่แล้วผมเขียนถึงการที่มีผู้เขียนลงในพันทิพย์อธิบายว่าการใช้รถไฟฟ้าสายใหม่ (สีม่วง) เดินทางไป-กลับบางใหญ่ซอยนานา โดยต้องต่อรถ (ราง) ไฟฟ้า 3 สายและรถเมล์อีก 1 กิโลเมตรนั้นใช้เวลานานกว่าและแพงกว่ากรขับรถส่วนตัว
ต่อมาก็ได้มีการลดค่าเดินทางรถไฟฟ้าสายสีม่วงลงไป แต่คำถามที่น่าคิดต่อไปอีกคือหากมีการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างพลิกผัน หรือที่ฝรั่งเรียกว่า Disruptive technology (ซึ่งอาจแปล ตรงตัวว่าเป็นเทคโนโลยีที่ถอนรากถอนโคนเทคโนโลยีเดิม) อะไรจะเกิดกับการดำเนินชีวิตและเศรษฐกิจของคนในเมืองใหญ่ ซึ่งผมจะขอนำเอาจินตนาการของผู้เชี่ยวชาญต่างๆ มานำเสนอในตอนนี้และตอนต่อไปครับ
ทั้งนี้ต้องขอบอกก่อนเลยว่าผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ แต่พยายามรวบรวมข้อมูลข่าวสารในด้านนี้เพื่อจะได้คิกต่อไปว่ากระทบกับ เศรษฐกิจของไทยและภาคการผลิตต่างๆ อย่างไรบ้าง และจะอ้างถึงการวิจัยของ McKinsey อยู่เป็นบางครั้ง
แต่ McKinsey เองก็ยอมรับว่าเคยประเมินผิดพลาดเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ตอนที่ AT&T ของสหรัฐว่าจ้างให้ประเมินศักยภาพของโทรศัพท์มือถือและ McKinsey คาดการณ์ว่าในปี 2000 จะมีผู้ใช้โทรศัพท์มือถือประมาณ 900,000 เครื่อง แต่ปรากฏว่าในปี 2000 มีผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ 109.5 ล้านเครื่องในสหรัฐ (และน่าจะมีมือถือ 5 พันล้านเครื่องทั่วโลกภายในปีหน้า)
ผมได้เขียนถึงรถไฟฟ้ามามากแล้ว แต่ขอสรุปประเด็นหลักอีกครั้ง เพราะจะเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการมองภาพความเป็นอยู่และเศรษฐกิจของเมือง ใหญ่ใน 20 ปีข้างหน้า (ตามที่ประเทศไทยจะจัดทำให้มีแผนยุทธศาสตร์ 20 ปีภายในกลางปีหน้า)
1.การเปลี่ยนมาใช้รถไฟฟ้าจะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะ รถไฟฟ้าสร้างมลภาวะน้อยกว่ารถยนต์เบนซินและดีเซล ตอนนี้เพียงแต่รอให้ราคาแบตเตอรี่ปรับลดลงประมาณ 50% และให้ขับได้ 400-500 กม.ต่อการเติมไฟหนึ่งครั้ง ก็จะทำให้รถไฟฟ้าราคาเท่ากับหรือต่ำกว่ารถเครื่องเบนซินและดีเซล
2. McKinsey คาดว่าภายในปี 2030 รถไฟฟ้า (รวมรถ hybrid หรือลูกผสมด้วย) จะมียอดขายประมาณ 50% ของยอดขายรถทั้งหมดในจีน ยุโรปและสหรัฐและ เป็นสัดส่วน 30% ของยอดขายทั่วโลก ผมเกรงว่าหากข้อ 1 เกิดขึ้นจริงทำให้รถไฟฟ้าราคาถูกกว่ารถยนต์เบนซินและดีเซลเมื่อใด ทุกประเทศหลัก (โดยเฉพาะในเมืองใหญ่) จะห้ามการขายรถยนต์เบนซิน/ดีเซลในทันทีเพื่อลดมลภาวะ ซึ่งจะทำให้เกิด mass adoption หรือการใช้รถไฟฟ้าแทนที่รถยนต์เบนซินและดีเซลอย่างฉับพลัน
3.บางคนแย้งว่ารถไฟฟ้าต้องเติมไฟฟ้า ทำให้ต้องผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น โดยหากใช้ถ่านหินหรือน้ำมันเตาก็จะมิได้ลดมลภาวะหรือปัญหาโลกร้อนแต่อย่างใด คำ ตอบคือพลังงานทดแทนโดยเฉพาะพลังงานจากแสงอาทิตย์ ซึ่งกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะเทคโนโลยีทำให้แผง solar cell เป็นกระเบื้องมึงหลังคาและผลิตไฟฟ้าใช้ในราคาถูกได้เอง โดยไม่ต้องพึ่งพาการไฟฟ้าฝ่ายผลิต เว้นแต่ในบางกรณีที่ภาวะอากาศไม่เป็นใจแลเกิดภาวะฉุกเฉิน สถาบัน TDRI ของไทยมองว่า “mass adoption of solar rooftop in Thailand is near”
4.หากรถไฟฟ้า (ส่วนตัว) ราคาถูกลงและพลังงานผลิตได้จากพลังแสงอาทิตย์ที่บ้านเรือน ก็เป็นไปได้ว่าความต้องการใช้การขนส่งสาธารณะลดน้อยลงหรือไม่ เพิ่ม ขึ้นดังที่คาดการณ์กันเอาไว้ ทำให้เกิดการขาดทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทางออกของรัฐบาลทางหนึ่งคือการเก็บภาษีการใช้รถส่วนบุคคลมากขึ้น เช่น รถ(ไฟฟ้า) ส่วนบุคคลที่ลงทะเบียนในกรุงเทพต้องเสียค่าป้ายทะเบียนเพิ่มขึ้น 10 เท่าจากปัจจุบัน เป็นต้น ส่วนรถที่มาจากจังหวัดอื่นก็คงต้องจ่ายค่าใช้ถนนแออัด (congestion charge) เมื่อขับเข้ามาในเขตกทม. เป็นต้น กล่าวคือหากมีการใช้รถ (ไฟฟ้า) ส่วนบุคคลอย่างแพร่หลาย ทางออกคงจะไม่ใช่การลดค่าโดยสารรถ (ราง) ไฟฟ้าเพื่อลดการขาดทุนของรัฐบาล
5.แต่ผมเชื่อว่าการมีรถไฟฟ้าและการผลิตไฟฟ้าใช้เองตามบ้านเรือนยังไม่ใช่จุดจบของเทคโนโลยีพลิกผันที่กำลังจะเกิดขึ้นใน 20 ปีข้างหน้า สิ่ง ที่น่าจะตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือการพัฒนารถไฟฟ้าที่ขับเอง ที่เรียกกันว่า Driverless vehicles หรือ Autonomous vehicles ซึ่งต่อไปผมจะขอเรียกสั้นๆ ว่า AV ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมรถยนต์และการขนส่งอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง โดยในส่วนของคนเมืองนั้น หากเทคโนโลยี AV พัฒนาไปจนถึงจุดอิ่มตัวได้ก็จะทำให้น้อยคน “ซื้อรถยนต์” (เช่นปัจจุบัน) แต่คนเมืองส่วนใหญ่จะ “ซื้อบริการขนส่ง” ในส่วนของการขนส่งสินค้าต่างจังหวัดนั้น ก็จะมีแต่รถบรรทุก (ไฟฟ้า) ไร้คนขับ (แต่อาจมีคนนั่งคบคุมบ้าง) ขนส่งสินค้าซึ่งอาจทำให้ธุรกิจการขนส่งสินค้าโดยรถไฟหรือเรือได้รับผลกระทบ ไปด้วย
ตอนต่อไปผมจะขยายความเกี่ยวกับการคาดการณ์เกี่ยวกับการพัฒนาการของ AV และผลกระทบต่อเศรษฐกิจครับ