สัมมนา VVinvestors ‘ day กลยุทธ์การลงทุนหุ้นคุณค่าในเวียดนาม
โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 22, 2016 2:39 am
สัมมนา VVinvestors ‘ day กลยุทธ์การลงทุนหุ้นคุณค่าในเวียดนาม
ช่วงแนวคิดและประสบการณ์ลงทุนหุ้นเวียดนาม สัมภาษณ์ โดย คุณทีน่า
วิทยากร
1. ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ปรมาจารย์ด้านการลงทุนแบบเน้นคุณค่าของไทย
2. คุณ พิกุล พิทยาอิสรกุล ผู้จัดการกองทุน Phillip Private Fund เวียดนาม
3. คุณ วิศวกร ปันยารชุน นักลงทุนหุ้นเวียดนาม ประสบการณ์กว่า 7 ปีในเวียดนาม
4. คุณ ภาคภูมิ ศิริหงส์ทอง นักลงทุนหุ้นเวียดนาม เจ้าของเพจ road to billion
คุณทีน่า ได้เกริ่นนำว่า กระแสการลงทุนในหุ้นเวียดนาม มาจากการเปิดเผยความคิดของ ดร นิเวศน์ เรื่อง หมดยุคทองของวีไอไทย และ การไปลงทุนหุ้นที่เวียดนามเมื่อปี 2014
ดร นิเวศน์ ตอบว่า ยุคทองของวีไอใกล้หมด ต้องหาที่อุดมสมบูรณ์ ตอนนั้นจำได้ว่าไปที่เวียดนามกับ Money channel เพื่อดูลาดเลา และ กลับมาศึกษา พบว่า เวียดนามจะคล้ายไทยเมื่อ 20 ปีก่อน และ เติบโตตามประเทศไทยด้วยอัตราที่เร็วกว่า ใช้เวลาแค่ 10 กว่าปีก็เท่าไทย และจะแซงไปในที่สุด
ดร นิเวศน์ให้หลักคิดในการพิจารณาว่าประเทศมีศักยภาพในการเติบโต ดังนี้
1. คุณภาพของคนในประเทศ ดูจาก IQ คนเวียดนามมี IQ เฉลี่ยค่อนข้างสูง ในโลกมี ญี่ปุ่น จีน เกาหลี และเวียดนามเป็นประเทศที่มีประชากรมี IQ สูง ส่วน PISA Score ของ เวียดนามจะสูงกว่าเพื่อน
ส่วน ประเทศไทย กัมพูชา พม่า ลาว อินโดนีเซีย จะพอๆกัน
2. ระบบการปกครอง ประเทศทีมี IQ สูง เช่น จีน เวียดนาม จะมีระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ รวมถึงพม่า กัมพูชา ลาวก็เหมือนกัน ส่วน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ก็เป็นการปกครองแบบเผด็จการ หลังพลาซ่า แอคคอร์ต
ญึ่ปุ่นถูกบังคับให้ค่าเงินแข็งขึ้น ทำให้ส่งออกไม่ได้ เลยย้ายฐานการผลิตไปในประเทศที่เปิดกว้างในการลงทุน
ซึ่งช่วงนั้นเมื่อ 20-30 ปีก่อน ก็เหลือ แค่ ไทย มาเลเซีย สิงค์โปร เกาหลีใต้เท่านั้น โดย จะลงในไทย และ มาเลเซียเป็นหลัก ทำให้ไทย ส้มหล่น คุณภาพคนไทยพอใช้ได้ ตอนนั้น กลุ่มประเทศที่ใช้ตะเกียบ ได้แก่
ญี่ปุ่น จีน เกาหลี IQ สูง และเจริญแล้ว เหลือแค่ เวียดนามที่ยังไม่เจริญ เหมือนมีตะเกียบแค่ข้างเดียว
ทฤษฏีห่านบิน มาเป็นฝูง ตามกัน ช่วงนั้น หลังจาก จีนเริ่มเปิดประเทศ พม่า อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ก็ตามมาเปลี่ยนการปกครองจากเผด็จการ พร้อมรองรับการลงทุน เวียดนามหลังจากมีการปรับเปลี่ยนเป็นเสรีมากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นประเทศสุดท้าย ที่จะเติบโตตาม
3. จำนวนประชากรที่มีหนุ่ม สาวมาก เป็นปัจจัยสำคัญ
ญี่ปุ่น เข้าสู่สังคมแก่ตัว เศรษฐกิจไม่เติบโต ส่วน เวียดนาม นาทีนี้ได้ทั้ง 3 อย่าง ความแก่อยู่กลางๆ ประเทศที่อ่อนสุด
คือ อินโดนีเซีย และ มาเลเซีย มีคนหนุ่มสาวเยอะ ส่วนฟิลิปปินส์ยิ่งเยอะใหญ่ 30%ยังไม่เริ่มทำงาน
ประเทศเกาหลี เด่นมาก แต่คนเริ่มแก่ตัว ไทย มีคนแก่มากสุดเท่าประเทศจีน จีนโตเร็วมากไม่ได้ อายุเฉลี่ยเกือบ40ปี
สังคมเปลี่ยนไป ไทย คงต้องเหนื่อย IQ ระดับปานกลางถึงต่ำ คนก็แก่ตัวลง เศรษฐกิจไทยชะลอตัวอย่างรวดเร็ว โตแค่3%ก็เก่งแล้ว ส่วนสิงคโปร์ ประเทศเล็กนิดเดียว เศรษฐกิจก็โตนิดเดียว คนแก่ก็เยอะ ไม่อยากมีลูก
ช่วงจังหวะที่บูม คนเริ่มแก่ตัว เก็บเงินเพื่อเกษียณ มีลูกน้อย มีเงินเยอะ ก็เอาเข้าตลาดหุ้น ทำให้ตลาดหุ้นบูม ตลาดหุ้นขึ้นไปด้วยเม็ดเงิน แต่ประเทศเวียดนาม ประชากรไม่ค่อยมีเงิน เศรษฐกิจเจริญเติบโต หลังจากสงครามสงบเมื่อ 40ปีที่แล้วมีเด็กเกิดมาเยอะ แต่ส่วนใหญ่ไม่มีเงิน ซึ่งเป็นจังหวะที่ดีมากในการเข้าตลาดหุ้นเวียดนาม 7ปีที่แล้วที่เกิดวิกฤต ระบบการเงินล้ม ค่าเงินลดลง30% คล้ายกับเหตุการณ์ตอนปี40บ้านเรา หนี้เสียของระบบธนาคารพุ่งสูง ตอนนี้ก็ยังไม่clear ในส่วนของ Real sector ค่าเงินลดลง แต่มีแรงงานเยอะ ส้มหล่น นักลงทุนมาเปิดโรงงานใหม่ก็จะมาที่เวียดนาม
โรงงานเก่าที่ทำ consumer electronic ก็ย้ายไปเวียดนามหมด คนเวียดนามเหนือกว่า แต่ค่าแรงถูกกว่าไทยครึ่งนึง
คนหนุ่มสาว มีความต้องการอยากรวย อยากสร้างอนาคต มันเหมือนปี40บ้านเรา เลยเข้าไปลงทุน กำไรดีมากแต่ค่าเงินลด30% การส่งออกเกือบเท่าไทย แต่ส่งออกไปอเมริการ ยุโรปมากกว่าไทย แต่ส่งออกมาอาเซียนยังน้อยกว่าไทย
มูลค่าการส่งออก มากกว่า 100%ของ GDPแล้ว เมื่อก่อนเกิด Deficit จากการลงทุนสร้างโรงงาน ตอนนี้เป็นบวกแล้ว
ค่าเงินก็ไม่ลด อาการดีขึ้นทุกอย่าง แต่คนไม่มีเงิน คนที่มีเงินจะไม่ไปเล่นหุ้น แต่ไปลงทุนสร้างโรงงานดีกว่า กำไรเห็นๆ
คนที่เล่นหุ้นช่วงบูม 1000 จุด ลดลงเหลือ 500 กว่าจุด ต่างชาติเริ่มเข้าลงทุน หุ้นกลุ่ม10บริษัทใหญ่ ต่างชาติถือเต็มเพดาน ตอนนี้เวียดนามเปิดประเทศ 100% เขาทำTPP กับประเทศทั่วโลก ต่างชาติสามารถซื้อที่ดิน บ้าน ได้เลย
ส่งออกโต 2 Digits ส่วนไทยส่งออกติดลบ 2-3% FDI ของเวียดนามมากกว่าไทยแล้ว ตอนนี้หุ้นใหญ่ของเวียดนามยังแพงอยู่ แต่หุ้นเล็กปันผลดี ประมาณ 5-6% PE น้อยกว่า 10 เท่า รัฐบาลรู้ว่า แทรกแซงแบบไหน ควรหลีกเลี่ยง
ส่วนใหญ่จะเปิดเพิ่ม เพิ่มกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ
หลังจากพักเบรก ดร นิเวศน์ มาพูดถึงวิธีคัดหุ้นลงทุนในประเทศเวียดนาม
โดยใช้หลักการ Magic Formula และ หลักการเลือกหุ้นของ ดร ไพบูลย์ โดยดูจาก 3 ตัวประกอบคือ
PE ต่ำ PB ต่ำ และ Dividend สูง หุ้นที่คัดมาจาก หุ้นที่มี ROE สูง นำมา Ranking จนได้หุ้น 60 ตัว
ดร นิเวศน์ บอกว่า ช่วงนั้นทำเองหมดในการเลือกหุ้นทั้ง 60 ตัว ตอนนี้ มี application ที่สามารถคัดได้ ง่ายกว่ามาก
หุ้นที่คัดมา ส่วนใหญ่ market cap 100-200 ล้านบาท ทำให้ ติดรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ถึง 50 ตัว ซึ่งเป็นหุ้นเล็ก
ปีแรก ไม่มี capital gain แต่ได้ปันผลมา 10% ตอนนี้ดูผลตอบแทนรวมปันผลได้ 44% แต่ไม่สามารถทำ rebalance ได้เนื่องจากหุ้นไม่มีสภาพคล่อง ดังนั้นจึงมีเหลือเงินสดส่วนนึง
หลังจากซื้อหุ้นไป ถึงมีสิทธิขอข้อมูลจาก โบรกเกอร์ ต่างจาก ลงทุนหุ้นไทย ขอข้อมูลก่อนการลงทุนได้
ได้ขอตัวเลขกำไรย้อนหลัง5 ปี ของหุ้น ทั้ง 60 บริษัท ปรากฏว่า มีกำไรทุกตัว และ ทุกปี ไม่มีตัวใดขาดทุนเลย
กำไรบวกทุกปี นี่คือหุ้นที่ไม่มีใครมาเหลียวแล หุ้นไม่มีขาดทุน แต่กำไรเท่าเดิม ได้แก่หุ้นทำแบบเดิมๆ เช่น ทำธุรกิจขายหนังสือ ทำน้ำตาล หรือ ก่อสร้าง
มาดูผลประกอบการของหุ้นทั้ง 60 ตัว
หุ้น 12 ตัว ได้ผลตอบแทนดีมาก โดย 6 ตัวที่ดีสุด ได้ return > 200% และ 6 ตัวหลัง return > 100%
และ ก็มีบางตัว ขาดทุน เกิน 50% เฉลี่ยทั้ง port 44%
อยากลงทุนเพิ่ม แต่ไม่อยากลงทุนแบบเดิม เพราะถ้าลงทุนหุ้นถึง 120 ตัว ปวดหัวตาย ตามยาก เสียเวลาเยอะ
อยากซื้อหุ้นตัวใหญ่ เยอะๆ แต่ก็หาซื้อไม่ได้ ตอนนี้สัดส่วนหุ้นเวียดนามโตจาก 5-6% เป็น 7-8%
ยังมองๆอยู่ ว่าหาทางเพิ่มได้อย่างไร
ดร นิเวศน์ ได้ย้อนไปดูเวียดนาม เมื่อปี 2538 เวียดนามแตก เจ้าของที่ทำธุรกิจ ได้หนีออกจากเวียดนามไปหมด
ดังนั้นหลังจากเปิดประเทศใหม่ ไม่มีธุรกิจที่ใหญ่ ธุรกิจเล็กก็โตไม่ทัน
ธุรกิจที่ขายมือถือ ไปทำเครื่องใช้ไฟฟ้า คล้ายกับ JMART , COM7 ขยายตัวเร็วมาก ราคาหุ้นก็สูง คนทำธุรกิจเป็นคนรุ่นใหม่ที่เคยทำบริษัทฝรั่งมาก่อน หุ้น 50 กว่าตัวในport เป็นหุ้นรัฐวิสาหกิจ เวียดนามเอารัฐวิสาหกิจเข้าตลาดหลักทรัพย์ เช่น บริษัทยา หรือ รับเหมาก่อสร้าง ถ้าเราเจอจะ unimpress เพราะคนที่ไปนั่งบริหาร ก็มาจาก ผู้มีอำนาจจากสมาชิกพรรค เข้าไปนั่ง ธุรกิจไม่เจ็งเพราะไม่เปิดโอกาสให้คนใหม่เข้ามาขายแข่ง ผู้บริหารไม่มีหุ้น เลยไม่มีแรงจูงใจในการทำธุรกิจ ตอนนี้คนรุ่นใหม่จาก ต่างประเทศมาทำ property เห็นโอกาส ก็มาเริ่มบุกธุรกิจ ต่างชาติก็เข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ทำให้หุ้นขึ้น หุ้น Vietnamilk ใหญ่สุดในเวียดนาม ยอดขายเล็กกว่า CPF เยอะ แต่ Marketcap พอๆกัน
ถ้าอยากำไรเยอะๆในระยะยาว ก็ต้องลงทุนในหุ้นขนาดเล็ก ประมาณ 200-600 ล้านบาท
กระจายความเสี่ยงของหุ้นออกไป ใช้ Magic formula ในการเลือกหุ้นลงทุนในเวียดนาม เพราะเราไม่มีความรู้ในแต่ละบริษัทที่เพียงพอ และ ไม่ได้ติดตามอย่างเพียงพอ
คำถามจากคุณทีน่า ว่า ถ้าหุ้นใหญ่ อย่าง Vietnamilk เกิดวิกฤต สนใจไปลงทุนหรือไม่
ดร นิเวศน์ ตอบว่า พูดยาก เพราะปี 40 ที่ซื้อเป็นหุ้นตัวเล็ก ดังนั้นยังบอกไม่ได้ ตอนนี้ยัง happy หวังว่า port จะโตไปที่ 10-20% ลงทุนด้วยการใช้อัตราส่วนทางการเงินเป็นตัวคัดหุ้น ตอนนี้มีเงินเหลือหลายสิบล้านบาท กำลังดูหุ้น 60 ตัวว่าตัวไหนดี แล้วจะซื้อ Biglot แต่ก็เจอว่า เจ้าของเอารายการที่เราขอซื้อไป ขายให้คนอื่นที่ให้ราคาดีกว่า
ที่เวียดนามยังไม่settle เหมือนไทย ยังมีเหตุการณ์ เพิ่มทุนราคาต่ำกว่าราคาตลาดให้กับข้าราชการ แต่ไม่ให้กับผู้ถือหุ้น
ธุรกิจที่น่าสนใจเช่น ทำทางด่วน เพราะตอนนี้รถยนต์น้อย ทางด่วนกำไรดี บริษัท marketcap ยังน้อย ถนนกำลังสร้าง
อนาคตมีแต่จะเพิ่ม ส่วนธุรกิจ เช่น ที่ดิน ของ ขนส่ง คล้าย บขส บ้านเรา market cap แค่ 500 ล้านบาท
ปันผล 10% แต่กิจกรรมมากขึ้น ราคาจะค่อยๆขึ้นไป เป็นหุ้น monopoly power เช่นเป็นเจ้าของที่ดิน
ทางด่วน ไม่มีใครแข่งได้ เวลาโตขึ้น discount rate ต่ำลง PE อาจขยับจาก 10 ไป 20-30 เท่า แค่นี้ก็พอแล้ว
ลงทุนในเวียดนามไปเรื่อยๆ หุ้นขึ้นมามากๆ อาจจะขาย แต่ตอนนี้เก็บกินปันผลดีกว่า ขายตอนนี้ไม่ได้ราคา
และไม่รู้ขายแล้วไปซื้อตัวไหนดี
ดร นิเวศน์มาสรุปปิดท้ายการสัมมนา ว่า ยังตามหุ้นใน port มีความสุขกับผลตอบแทน 10-15% ต่อปี
หุ้นใหญ่ที่โตมาก ราคาไม่ถูกเช่น Vietnamilk บริษัทไม่ได้เปรียบอย่างยั่งยืน ตอนนี้มาแรง อนาคตจะด้อยลงหรือเปล่า
บริษัทเล็ก โตขึ้นเรื่อยๆ ถ้าวันนึงอาจโตเท่ากัน หุ้นพลังงาน เมื่อก่อนคนเชียร์มาก ตอนนี้ราคาลงไป 30-40%
ควรหลีกเลี่ยง บริษัททำทางด่วน3สาย market cap 500 ล้านบาท เป็นหุ้นเล็ก นั่งคิดอีก 10 ปี รถยนต์เพิ่มขึ้น
ก็มาเทียบกับบริษัทในไทย บริษัทคุมทางด่วน market cap เท่าไหร่ สุดท้าย market cap ก็จะใหญ่โตขึ้น
ส่วนวิทยากรท่านอื่นๆจะทยอยลงให้นะครับ
สุดท้ายขอขอบคุณ น้องเต๋า และ ทีมงาน ที่จัดสัมมนาดีๆแบบนี้ให้เราได้ฟัง
ช่วงแนวคิดและประสบการณ์ลงทุนหุ้นเวียดนาม สัมภาษณ์ โดย คุณทีน่า
วิทยากร
1. ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ปรมาจารย์ด้านการลงทุนแบบเน้นคุณค่าของไทย
2. คุณ พิกุล พิทยาอิสรกุล ผู้จัดการกองทุน Phillip Private Fund เวียดนาม
3. คุณ วิศวกร ปันยารชุน นักลงทุนหุ้นเวียดนาม ประสบการณ์กว่า 7 ปีในเวียดนาม
4. คุณ ภาคภูมิ ศิริหงส์ทอง นักลงทุนหุ้นเวียดนาม เจ้าของเพจ road to billion
คุณทีน่า ได้เกริ่นนำว่า กระแสการลงทุนในหุ้นเวียดนาม มาจากการเปิดเผยความคิดของ ดร นิเวศน์ เรื่อง หมดยุคทองของวีไอไทย และ การไปลงทุนหุ้นที่เวียดนามเมื่อปี 2014
ดร นิเวศน์ ตอบว่า ยุคทองของวีไอใกล้หมด ต้องหาที่อุดมสมบูรณ์ ตอนนั้นจำได้ว่าไปที่เวียดนามกับ Money channel เพื่อดูลาดเลา และ กลับมาศึกษา พบว่า เวียดนามจะคล้ายไทยเมื่อ 20 ปีก่อน และ เติบโตตามประเทศไทยด้วยอัตราที่เร็วกว่า ใช้เวลาแค่ 10 กว่าปีก็เท่าไทย และจะแซงไปในที่สุด
ดร นิเวศน์ให้หลักคิดในการพิจารณาว่าประเทศมีศักยภาพในการเติบโต ดังนี้
1. คุณภาพของคนในประเทศ ดูจาก IQ คนเวียดนามมี IQ เฉลี่ยค่อนข้างสูง ในโลกมี ญี่ปุ่น จีน เกาหลี และเวียดนามเป็นประเทศที่มีประชากรมี IQ สูง ส่วน PISA Score ของ เวียดนามจะสูงกว่าเพื่อน
ส่วน ประเทศไทย กัมพูชา พม่า ลาว อินโดนีเซีย จะพอๆกัน
2. ระบบการปกครอง ประเทศทีมี IQ สูง เช่น จีน เวียดนาม จะมีระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ รวมถึงพม่า กัมพูชา ลาวก็เหมือนกัน ส่วน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ก็เป็นการปกครองแบบเผด็จการ หลังพลาซ่า แอคคอร์ต
ญึ่ปุ่นถูกบังคับให้ค่าเงินแข็งขึ้น ทำให้ส่งออกไม่ได้ เลยย้ายฐานการผลิตไปในประเทศที่เปิดกว้างในการลงทุน
ซึ่งช่วงนั้นเมื่อ 20-30 ปีก่อน ก็เหลือ แค่ ไทย มาเลเซีย สิงค์โปร เกาหลีใต้เท่านั้น โดย จะลงในไทย และ มาเลเซียเป็นหลัก ทำให้ไทย ส้มหล่น คุณภาพคนไทยพอใช้ได้ ตอนนั้น กลุ่มประเทศที่ใช้ตะเกียบ ได้แก่
ญี่ปุ่น จีน เกาหลี IQ สูง และเจริญแล้ว เหลือแค่ เวียดนามที่ยังไม่เจริญ เหมือนมีตะเกียบแค่ข้างเดียว
ทฤษฏีห่านบิน มาเป็นฝูง ตามกัน ช่วงนั้น หลังจาก จีนเริ่มเปิดประเทศ พม่า อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ก็ตามมาเปลี่ยนการปกครองจากเผด็จการ พร้อมรองรับการลงทุน เวียดนามหลังจากมีการปรับเปลี่ยนเป็นเสรีมากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นประเทศสุดท้าย ที่จะเติบโตตาม
3. จำนวนประชากรที่มีหนุ่ม สาวมาก เป็นปัจจัยสำคัญ
ญี่ปุ่น เข้าสู่สังคมแก่ตัว เศรษฐกิจไม่เติบโต ส่วน เวียดนาม นาทีนี้ได้ทั้ง 3 อย่าง ความแก่อยู่กลางๆ ประเทศที่อ่อนสุด
คือ อินโดนีเซีย และ มาเลเซีย มีคนหนุ่มสาวเยอะ ส่วนฟิลิปปินส์ยิ่งเยอะใหญ่ 30%ยังไม่เริ่มทำงาน
ประเทศเกาหลี เด่นมาก แต่คนเริ่มแก่ตัว ไทย มีคนแก่มากสุดเท่าประเทศจีน จีนโตเร็วมากไม่ได้ อายุเฉลี่ยเกือบ40ปี
สังคมเปลี่ยนไป ไทย คงต้องเหนื่อย IQ ระดับปานกลางถึงต่ำ คนก็แก่ตัวลง เศรษฐกิจไทยชะลอตัวอย่างรวดเร็ว โตแค่3%ก็เก่งแล้ว ส่วนสิงคโปร์ ประเทศเล็กนิดเดียว เศรษฐกิจก็โตนิดเดียว คนแก่ก็เยอะ ไม่อยากมีลูก
ช่วงจังหวะที่บูม คนเริ่มแก่ตัว เก็บเงินเพื่อเกษียณ มีลูกน้อย มีเงินเยอะ ก็เอาเข้าตลาดหุ้น ทำให้ตลาดหุ้นบูม ตลาดหุ้นขึ้นไปด้วยเม็ดเงิน แต่ประเทศเวียดนาม ประชากรไม่ค่อยมีเงิน เศรษฐกิจเจริญเติบโต หลังจากสงครามสงบเมื่อ 40ปีที่แล้วมีเด็กเกิดมาเยอะ แต่ส่วนใหญ่ไม่มีเงิน ซึ่งเป็นจังหวะที่ดีมากในการเข้าตลาดหุ้นเวียดนาม 7ปีที่แล้วที่เกิดวิกฤต ระบบการเงินล้ม ค่าเงินลดลง30% คล้ายกับเหตุการณ์ตอนปี40บ้านเรา หนี้เสียของระบบธนาคารพุ่งสูง ตอนนี้ก็ยังไม่clear ในส่วนของ Real sector ค่าเงินลดลง แต่มีแรงงานเยอะ ส้มหล่น นักลงทุนมาเปิดโรงงานใหม่ก็จะมาที่เวียดนาม
โรงงานเก่าที่ทำ consumer electronic ก็ย้ายไปเวียดนามหมด คนเวียดนามเหนือกว่า แต่ค่าแรงถูกกว่าไทยครึ่งนึง
คนหนุ่มสาว มีความต้องการอยากรวย อยากสร้างอนาคต มันเหมือนปี40บ้านเรา เลยเข้าไปลงทุน กำไรดีมากแต่ค่าเงินลด30% การส่งออกเกือบเท่าไทย แต่ส่งออกไปอเมริการ ยุโรปมากกว่าไทย แต่ส่งออกมาอาเซียนยังน้อยกว่าไทย
มูลค่าการส่งออก มากกว่า 100%ของ GDPแล้ว เมื่อก่อนเกิด Deficit จากการลงทุนสร้างโรงงาน ตอนนี้เป็นบวกแล้ว
ค่าเงินก็ไม่ลด อาการดีขึ้นทุกอย่าง แต่คนไม่มีเงิน คนที่มีเงินจะไม่ไปเล่นหุ้น แต่ไปลงทุนสร้างโรงงานดีกว่า กำไรเห็นๆ
คนที่เล่นหุ้นช่วงบูม 1000 จุด ลดลงเหลือ 500 กว่าจุด ต่างชาติเริ่มเข้าลงทุน หุ้นกลุ่ม10บริษัทใหญ่ ต่างชาติถือเต็มเพดาน ตอนนี้เวียดนามเปิดประเทศ 100% เขาทำTPP กับประเทศทั่วโลก ต่างชาติสามารถซื้อที่ดิน บ้าน ได้เลย
ส่งออกโต 2 Digits ส่วนไทยส่งออกติดลบ 2-3% FDI ของเวียดนามมากกว่าไทยแล้ว ตอนนี้หุ้นใหญ่ของเวียดนามยังแพงอยู่ แต่หุ้นเล็กปันผลดี ประมาณ 5-6% PE น้อยกว่า 10 เท่า รัฐบาลรู้ว่า แทรกแซงแบบไหน ควรหลีกเลี่ยง
ส่วนใหญ่จะเปิดเพิ่ม เพิ่มกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ
หลังจากพักเบรก ดร นิเวศน์ มาพูดถึงวิธีคัดหุ้นลงทุนในประเทศเวียดนาม
โดยใช้หลักการ Magic Formula และ หลักการเลือกหุ้นของ ดร ไพบูลย์ โดยดูจาก 3 ตัวประกอบคือ
PE ต่ำ PB ต่ำ และ Dividend สูง หุ้นที่คัดมาจาก หุ้นที่มี ROE สูง นำมา Ranking จนได้หุ้น 60 ตัว
ดร นิเวศน์ บอกว่า ช่วงนั้นทำเองหมดในการเลือกหุ้นทั้ง 60 ตัว ตอนนี้ มี application ที่สามารถคัดได้ ง่ายกว่ามาก
หุ้นที่คัดมา ส่วนใหญ่ market cap 100-200 ล้านบาท ทำให้ ติดรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ถึง 50 ตัว ซึ่งเป็นหุ้นเล็ก
ปีแรก ไม่มี capital gain แต่ได้ปันผลมา 10% ตอนนี้ดูผลตอบแทนรวมปันผลได้ 44% แต่ไม่สามารถทำ rebalance ได้เนื่องจากหุ้นไม่มีสภาพคล่อง ดังนั้นจึงมีเหลือเงินสดส่วนนึง
หลังจากซื้อหุ้นไป ถึงมีสิทธิขอข้อมูลจาก โบรกเกอร์ ต่างจาก ลงทุนหุ้นไทย ขอข้อมูลก่อนการลงทุนได้
ได้ขอตัวเลขกำไรย้อนหลัง5 ปี ของหุ้น ทั้ง 60 บริษัท ปรากฏว่า มีกำไรทุกตัว และ ทุกปี ไม่มีตัวใดขาดทุนเลย
กำไรบวกทุกปี นี่คือหุ้นที่ไม่มีใครมาเหลียวแล หุ้นไม่มีขาดทุน แต่กำไรเท่าเดิม ได้แก่หุ้นทำแบบเดิมๆ เช่น ทำธุรกิจขายหนังสือ ทำน้ำตาล หรือ ก่อสร้าง
มาดูผลประกอบการของหุ้นทั้ง 60 ตัว
หุ้น 12 ตัว ได้ผลตอบแทนดีมาก โดย 6 ตัวที่ดีสุด ได้ return > 200% และ 6 ตัวหลัง return > 100%
และ ก็มีบางตัว ขาดทุน เกิน 50% เฉลี่ยทั้ง port 44%
อยากลงทุนเพิ่ม แต่ไม่อยากลงทุนแบบเดิม เพราะถ้าลงทุนหุ้นถึง 120 ตัว ปวดหัวตาย ตามยาก เสียเวลาเยอะ
อยากซื้อหุ้นตัวใหญ่ เยอะๆ แต่ก็หาซื้อไม่ได้ ตอนนี้สัดส่วนหุ้นเวียดนามโตจาก 5-6% เป็น 7-8%
ยังมองๆอยู่ ว่าหาทางเพิ่มได้อย่างไร
ดร นิเวศน์ ได้ย้อนไปดูเวียดนาม เมื่อปี 2538 เวียดนามแตก เจ้าของที่ทำธุรกิจ ได้หนีออกจากเวียดนามไปหมด
ดังนั้นหลังจากเปิดประเทศใหม่ ไม่มีธุรกิจที่ใหญ่ ธุรกิจเล็กก็โตไม่ทัน
ธุรกิจที่ขายมือถือ ไปทำเครื่องใช้ไฟฟ้า คล้ายกับ JMART , COM7 ขยายตัวเร็วมาก ราคาหุ้นก็สูง คนทำธุรกิจเป็นคนรุ่นใหม่ที่เคยทำบริษัทฝรั่งมาก่อน หุ้น 50 กว่าตัวในport เป็นหุ้นรัฐวิสาหกิจ เวียดนามเอารัฐวิสาหกิจเข้าตลาดหลักทรัพย์ เช่น บริษัทยา หรือ รับเหมาก่อสร้าง ถ้าเราเจอจะ unimpress เพราะคนที่ไปนั่งบริหาร ก็มาจาก ผู้มีอำนาจจากสมาชิกพรรค เข้าไปนั่ง ธุรกิจไม่เจ็งเพราะไม่เปิดโอกาสให้คนใหม่เข้ามาขายแข่ง ผู้บริหารไม่มีหุ้น เลยไม่มีแรงจูงใจในการทำธุรกิจ ตอนนี้คนรุ่นใหม่จาก ต่างประเทศมาทำ property เห็นโอกาส ก็มาเริ่มบุกธุรกิจ ต่างชาติก็เข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ทำให้หุ้นขึ้น หุ้น Vietnamilk ใหญ่สุดในเวียดนาม ยอดขายเล็กกว่า CPF เยอะ แต่ Marketcap พอๆกัน
ถ้าอยากำไรเยอะๆในระยะยาว ก็ต้องลงทุนในหุ้นขนาดเล็ก ประมาณ 200-600 ล้านบาท
กระจายความเสี่ยงของหุ้นออกไป ใช้ Magic formula ในการเลือกหุ้นลงทุนในเวียดนาม เพราะเราไม่มีความรู้ในแต่ละบริษัทที่เพียงพอ และ ไม่ได้ติดตามอย่างเพียงพอ
คำถามจากคุณทีน่า ว่า ถ้าหุ้นใหญ่ อย่าง Vietnamilk เกิดวิกฤต สนใจไปลงทุนหรือไม่
ดร นิเวศน์ ตอบว่า พูดยาก เพราะปี 40 ที่ซื้อเป็นหุ้นตัวเล็ก ดังนั้นยังบอกไม่ได้ ตอนนี้ยัง happy หวังว่า port จะโตไปที่ 10-20% ลงทุนด้วยการใช้อัตราส่วนทางการเงินเป็นตัวคัดหุ้น ตอนนี้มีเงินเหลือหลายสิบล้านบาท กำลังดูหุ้น 60 ตัวว่าตัวไหนดี แล้วจะซื้อ Biglot แต่ก็เจอว่า เจ้าของเอารายการที่เราขอซื้อไป ขายให้คนอื่นที่ให้ราคาดีกว่า
ที่เวียดนามยังไม่settle เหมือนไทย ยังมีเหตุการณ์ เพิ่มทุนราคาต่ำกว่าราคาตลาดให้กับข้าราชการ แต่ไม่ให้กับผู้ถือหุ้น
ธุรกิจที่น่าสนใจเช่น ทำทางด่วน เพราะตอนนี้รถยนต์น้อย ทางด่วนกำไรดี บริษัท marketcap ยังน้อย ถนนกำลังสร้าง
อนาคตมีแต่จะเพิ่ม ส่วนธุรกิจ เช่น ที่ดิน ของ ขนส่ง คล้าย บขส บ้านเรา market cap แค่ 500 ล้านบาท
ปันผล 10% แต่กิจกรรมมากขึ้น ราคาจะค่อยๆขึ้นไป เป็นหุ้น monopoly power เช่นเป็นเจ้าของที่ดิน
ทางด่วน ไม่มีใครแข่งได้ เวลาโตขึ้น discount rate ต่ำลง PE อาจขยับจาก 10 ไป 20-30 เท่า แค่นี้ก็พอแล้ว
ลงทุนในเวียดนามไปเรื่อยๆ หุ้นขึ้นมามากๆ อาจจะขาย แต่ตอนนี้เก็บกินปันผลดีกว่า ขายตอนนี้ไม่ได้ราคา
และไม่รู้ขายแล้วไปซื้อตัวไหนดี
ดร นิเวศน์มาสรุปปิดท้ายการสัมมนา ว่า ยังตามหุ้นใน port มีความสุขกับผลตอบแทน 10-15% ต่อปี
หุ้นใหญ่ที่โตมาก ราคาไม่ถูกเช่น Vietnamilk บริษัทไม่ได้เปรียบอย่างยั่งยืน ตอนนี้มาแรง อนาคตจะด้อยลงหรือเปล่า
บริษัทเล็ก โตขึ้นเรื่อยๆ ถ้าวันนึงอาจโตเท่ากัน หุ้นพลังงาน เมื่อก่อนคนเชียร์มาก ตอนนี้ราคาลงไป 30-40%
ควรหลีกเลี่ยง บริษัททำทางด่วน3สาย market cap 500 ล้านบาท เป็นหุ้นเล็ก นั่งคิดอีก 10 ปี รถยนต์เพิ่มขึ้น
ก็มาเทียบกับบริษัทในไทย บริษัทคุมทางด่วน market cap เท่าไหร่ สุดท้าย market cap ก็จะใหญ่โตขึ้น
ส่วนวิทยากรท่านอื่นๆจะทยอยลงให้นะครับ
สุดท้ายขอขอบคุณ น้องเต๋า และ ทีมงาน ที่จัดสัมมนาดีๆแบบนี้ให้เราได้ฟัง