Thai VI

วันนี้ได้คุยกับเพื่อนที่สิงคโปร์ครับ เขาแนะนำหลักการ5ประการสำหรับการลงทุนแบบเน้นคุณค่าที่น่าสนใจครับ ผมแปลมาให้เพื่อนได้อ่านกันบ้างครับ

1) เป็นบริษัทที่ดีและบริหารงานโดยผู้บริหารที่ฉลาดหรือไม่?
2) บริษัทนี้มีมูลค่าเท่าไร?
3) ราคาที่น่าสนใจเข้าซื้อควรเป็นเท่าไร? และเราควรซื้อที่เท่าไร?
4) ในการที่จะให้เกิดการรับรู้มูลค่าในอนาคต จะมีตัวเร่งอะไรบ้าง?
5) ราคาที่จะเข้าซื้อ มีส่วนต่างความปลอดภัยมากพอหรือไม่?

ในข้อที่หนึ่งผมได้เสริมไปว่า ผู้บริหารควรจะต้องซื่อสัตย์ด้วยเก่งอย่างเดียวไม่พอ ในข้อที่สองเราต้องประเมินมูลค่ามันได้ โดยใช้วิธีการใดๆก็ได้ เช่นP/E, P/BV (หากเป็นบริษัทที่ดี ผลการดำเนินงานดีต่อเนื่องวิธีการนี้ใช้ได้ดีเลยครับ) ข้อที่สามหากราคายังไม่น่าสนใจก็ต้องรอครับ ส่วนข้อสี่นี่ซิหากทุกอย่างดีหมดแต่ไม่เกิดการรับรู้มูลค่าที่ควรจะเป็นก็ลำบากนะครับ เราต้องมองให้ออกว่าจะมีอะไรบ้างที่ช่วยให้ตลาดรับรู้ได้ในเวลาที่เหมาะสม เช่นออกสินค้าใหม่ ได้โครงการใหม่เป็นตน สุดท้ายต้องมีmargin of safety ซึ่งจากข้อที่สองทำให้เราพอประเมิน MOSของเราได้พอควรครับ

พวกเราใครมีหุ้นที่พอจะใช้หลักพวกนี้อธิบายได้ มาคุยกันนะครับ

ตอนแรกๆผมก็บ้าแต่ratio แต่หลังๆผมเริ่มบ้าตัวเร่ง หรือที่ผมชอบเรียกว่าvalue generatorครับ :lol:

อะฮ้ารู้แล้ว่าเค้าเอามาจากไหนกัน ต้องขอบคุณพี่WEBครับงานนี้

genie เขียน:ตอนแรกๆผมก็บ้าแต่ratio แต่หลังๆผมเริ่มบ้าตัวเร่ง หรือที่ผมชอบเรียกว่าvalue generatorครับ :lol:

ชอบหลักการนี้เหมือนกันครับ หลังๆผมดูว่ามีตัวเร่งมั้ย ราคาไม่แพงนะ ก็จะเริ่มหาจังหวะเข้าเก็บครับ

ปล. แต่ตัวเร่งจะต้องเป็นเหตุการณ์ ที่ชัวส์พอสมควรนะครับ ไอ้แบบที่มีข่าวว่าจะมี .. จะ .. อันนี้ผมจะคิดไว้ก่อนเลยว่ามันจะไม่ครับ 555

โอ้โฮไปขุดมาได้งัยเนี่ยกระทู้นี้ อืมตัวเร่งที่ผมเคยพูดถึงไม่ได้หมายถึงตัวเหตุการณ์นะครับ แต่หมายถึง ศักยภาพบางอย่างภายในตัวบริษัทที่สามารถเร่งมูลค่าออกมาได้เมื่อมีเหตุการณ์มากระทบ ยกตัวอย่างให้ง่ายหน่อยเช่น ประเทศไทยได้contractส่งออกข้าวแสนตัน แน่นอนเป็นข่าวที่ดีสำหรับธุรกิจส่งออกข้าวแน่ๆ ซึ่งจุดนี้ทุกคนมองเห็นแต่ตรงนี้ยังไม่ใช่สิ่งที่ผมมอง สิ่งที่มองคือ นอกจากข้าวใครได้ประโยชน์(ขนส่ง? กระสอบ? ฯลฯ?)? และผู้ที่จะได้รับประโยชน์ถูกรับรู้รึยัง? ตรงนี้แหละครับ Value Generator หุ้นตัวไหนได้ประโยชน์+ยังไม่รับรู้ พอได้ไอเดียไหมครับ

ตัวเร่งผมว่าก็คือข่าวหุ้นดีๆนี่เองแต่พื้นฐานข่าวมันแน่นกว่าข่าวลือเท่านั้นเอง