เห็นด้วยกับ ดร.นิเวศน์ ครับ
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 27, 2004 11:18 am
นักวิเคราะห์มืออาชีพ
โลกในมุมมองของ Value Investor
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
--------------------------------------------------------------------------------
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ นักเศรษฐศาสตร์ จิตแพทย์และหมอดู มีอะไรหลาย ๆ อย่างคล้ายคลึงกัน
พวกเขาต้องบอกประชาชนหรือลูกค้าว่าเกิดอะไรขึ้นในตลาดหุ้น ในภาวะเศรษฐกิจ ในสังคม และการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงของดวงดาว ซึ่งทำให้หุ้นวิ่งขึ้นหรือถอยลง ภาวะเศรษฐกิจขึ้นเหนือหรือลงใต้ สังคมไปซ้ายหรือขวา และชีวิตก้าวหน้าหรือตกต่ำลง คำอธิบายจะต้องมีเหตุมีผลมีทฤษฎี แต่ความจริงจะเป็นอย่างไรนั้นใครจะไปรู้ เพราะทั้งหมดนี้ไม่ใช่วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ที่บอกว่าน้ำนั้นเกิดจากไฮโดรเจนสองส่วนบวกกับออกซิเจนหนึ่งส่วนอย่างแน่นอน
พวกเขาต้องบอกกับลูกค้าและสาธารณชนว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรมองจากสถานะที่เป็นอยู่บวกกับสมมุติฐานอีก 8 ข้อหรือไม่ก็แรงกรรมที่ทำมาในอดีต การทำนายอนาคตนี้ก็จะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามเหตุการณ์และภาวะการณ์หรือแรงกรรมที่เปลี่ยนไป เพราะฉะนั้นถ้าอนาคตไม่เป็นไปตามที่คาดก็ไม่ใช่ความผิดของเขา แต่เป็นเพราะสถานการณ์แวดล้อมมันเปลี่ยนไปไม่เป็นไปตามสมมุติฐานหรือตามดวงดาวที่บอกไว้แต่แรก
พวกเขามีหน้าที่ที่จะต้องทำให้ลูกค้าหรือประชาชนรู้สึกสบายใจ มีความมั่นใจ กล้าตัดสินใจที่จะลงทุน ทำภารกิจที่สำคัญ หรือไม่ก็หลีกเลี่ยงรอเวลาที่เหมาะสม ยิ่งความไม่แน่นอนในผลที่จะเกิดขึ้นมีมากเท่าไร ความต้องการที่จะมีคนมาให้คำแนะนำหรือปลอบประโลมก็มีมากขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้นในยามที่เกิดโกลาหลหรือมีวิกฤติเกิดขึ้นในชีวิต คำพูดของพวกเขาจึงได้รับการตอบรับอย่างไม่มีข้อสงสัย
อาชีพของพวกเขาจำเป็นที่จะต้องอาศัยศิลปในการพูดและเขียนที่สามารถส่งถึงผู้รับได้อย่างมีประสิทธิผล ว่าที่จริงถ้าจะดังในอาชีพเหล่านั้นได้เขาจะต้องพูดเก่ง มีความสามารถในการใช้เหตุผลที่ซับซ้อนน่าทึ่งและต้องออกงานแสดงความสามารถบ่อย ๆ และที่สำคัญ จะต้องสามารถสร้างความแตกต่างโดยการ ประมาณเกิน คือคาดการณ์อะไรที่ออกนอกกรอบไม่ว่าทางดีหรือร้ายมากกว่าคนอื่นมาก ๆ แล้วทำได้ถูกต้องทำให้คนจดจำได้ทั่วไป
ทั้งหมดนั้นคือหน้าที่การงานที่นักวิเคราะห์จะต้องทำเพื่อให้ประสบความสำเร็จในชีวิตการเป็นนักวิเคราะห์หุ้น มืออาชีพ
แต่ถ้าถามว่านักวิเคราะห์ได้เพิ่มคุณค่าให้กับการเลือกซื้อหรือขายหุ้นของนักลงทุนมากน้อยแค่ไหนคงจะตอบได้ยากมาก เพราะยังไม่เห็นการศึกษาว่าผลงานของนักวิเคราะห์โดยส่วนรวมเป็นอย่างไร เพียงแต่เมื่อดูถึงวิธีทำงานของนักวิเคราะห์แล้วผมเองก็เป็นห่วงและรู้สึกว่าระบบของเราน่าจะสร้างนักวิเคราะห์ที่ดีเยี่ยมได้ยากพอสมควร ลองดูจุดอ่อนบางอย่างที่ผมเห็นสิครับ
ข้อแรกนักวิเคราะห์ของไทยแต่ละคนดูเหมือนว่าจะต้องติดตามหุ้นจำนวนมากเป็น 10 บริษัทขึ้นไปและในหลาย ๆ อุตสาหกรรม ดังนั้นการที่จะรู้สึกซึ้งในธุรกิจและในแต่ละบริษัทจึงเป็นไปได้ยาก นอกจากนั้น อาชีพนักวิเคราะห์ยังไม่ใคร่มั่นคงดีนัก ในช่วงที่ตลาดหุ้นคึกคัก ความต้องการนักวิเคราะห์ก็มีสูง แต่ในยามที่หุ้นซบเซา นักวิเคราะห์ก็ถูกปลด เพราะฉะนั้นคนที่จะสร้างความเป็นผู้เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์หุ้นจึงยังมีอยู่อย่างจำกัด
ข้อสองตลาดหุ้นไทยยังเป็นตลาดของนักเก็งกำไรเป็นส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้นความต้องการบทวิเคราะห์ที่เน้นพื้นฐานของหุ้นระยะยาวจึงยังมีน้อย สิ่งนี้ทำให้นักวิเคราะห์เน้นการวิเคราะห์หุ้นเพื่อการซื้อขายระยะสั้น เฉพาะอย่างยิ่งก็คือการวิเคราะห์ทางเทคนิคซึ่งเป็นวิธีการที่มีคำถามมากมายว่ามีประโยชน์หรือไม่ นอกจากนั้นการวิเคราะห์ส่วนมากก็จะมองไปในอนาคตระยะสั้น และเน้นไปที่ผลการดำเนินงานทางการเงินเป็นหลักโดยไม่ให้ความสำคัญกับพื้นฐานของธุรกิจในระยะยาวและองค์ประกอบทางธุรกิจอื่น ๆ ซึ่งมีความสำคัญมากเช่นเดียวกัน
ข้อสาม ผมคิดว่านักวิเคราะห์ของเรายังมีประสบการณ์ในธุรกิจน้อย ว่าที่จริงนักวิเคราะห์จำนวนมากแทบจะไม่ได้ผ่านงานอื่นมาเลยนอกจากการวิเคราะห์ทางการเงินของกิจการซึ่งดูงบดุล งบกำไรขาดทุนของบริษัทเป็นหลัก หลายคนไม่รู้ว่าผู้บริหารหรือเจ้าของสามารถ โกง บริษัทได้ 108 วิธีและหลายบริษัทก็ทำอยู่เป็นปกติ นักวิเคราะห์อีกจำนวนมากอาจจะยังไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่างธุรกิจซื้อมาขายไปกับธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง หรือธุรกิจโภคภัณฑ์กับธุรกิจที่มียี่ห้อแข็งแกร่ง การให้คุณค่าแก่บริษัทส่วนใหญ่จึงมักเน้นที่กำไรต่อหุ้นที่ผ่านมาในไตรมาสที่แล้วหรือปีที่แล้วที่ถูก ต่อยอด ไปถึงปีหน้าหรือไตรมาศหน้า
สื่อมวลชนเองก็มีส่วนสำคัญในการที่ทำให้นักวิเคราะห์หลาย ๆ คนต้องกลายเป็น พหูสูตร ที่ไม่รู้อะไรจริง เพราะสื่อมวลชนที่มีรายการมากมายนั้นต้องการข่าว เรื่องราวเกี่ยวกับหุ้นวันต่อวัน ชั่วโมงต่อชั่วโมง ดังนั้นเมื่อหุ้นมีการปรับตัวเคลื่อนไหวรุนแรงก็จะถูกถามไปยังนักวิเคราะห์ทันที ซึ่งนักวิเคราะห์เองก็จะต้องตอบทันทีเช่นเดียวกันแม้ว่าบ่อยครั้งนักวิเคราะห์รายนั้นอาจจะไม่ใช่เป็นผู้รู้ดีในหุ้นตัวนั้นหรือในอุตสาหกรรมนั้น ความผิดพลาดจึงอาจจะเกิดขึ้นได้ง่ายและก็เกิดการผิดพลาดแล้วอย่างที่เกิดในช่วงนี้ และเป็นที่มาของการคิด จัดระเบียบ นักวิเคราะห์ของหน่วยงานควบคุมที่เกี่ยวข้อง
ผมเองคิดว่าวิธีที่ดีที่สุดที่จะสร้างคุณภาพ และป้องกันความผิดพลาดในเรื่องของการวิเคราะห์หุ้นก็คือการสร้างผู้เชี่ยวชาญให้เกิดขึ้นในวิชาชีพของการวิเคราะห์หุ้นนั่นก็คือ นักวิเคราะห์แต่ละคนควรจะรู้ว่าตนเองเป็นผู้เชี่ยวชาญในหุ้นบริษัทใดและในอุตสาหกรรมไหน ความเชี่ยวชาญนี้แปลว่าเขาควรที่จะรู้ลึกซึ้งในกิจการและอุตสาหกรรมอย่าง หาตัวจับได้ยาก เวลาออกรายการทีวีหรือสื่ออื่น ๆ ก็เขียนไว้เลยว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญอุตสาหกรรมไหน และคน ๆนี้ไม่ควรเปลี่ยนไปวิเคราะห์อุตสาหกรรมอื่นบ่อยเกินไป เวลาเปลี่ยนที่ทำงานก็ไม่ควรเปลี่ยนภาระกิจที่ทำ แต่ควรเป็นสถานะที่ติดตัวมากกว่า ด้วยวิธีนี้นักวิเคราะห์ก็จะมี เส้นทาง ที่ชัดเจน และจะทำให้คำแนะนำการลงทุนของเขามีคุณค่าสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นพื้นฐานเป็นหลัก
ผมเองโดยส่วนตัวในปัจจุบันนั้นแทบจะไม่ได้ใช้งานวิเคราะห์ของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์เลยยกเว้นข้อมูลที่เป็นความจริงบางอย่างเท่านั้น เหตุผลอาจจะเป็นเพราะหุ้นที่ผมสนใจมักจะไม่มีใครทำวิเคราะห์ แต่เหตุผลอีกข้อหนึ่งก็คือผมยังไม่เห็นนักวิเคราะห์ที่เป็นเซียนจริง ๆ ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เพราะฉะนั้นถ้าจะจัดระเบียบนักวิเคราะห์ล่ะก็ ผมอยากจะฝากให้คิดถึงวิธีการที่จะสร้างนักวิเคราะห์มืออาชีพจริง ๆ ด้วยครับ
จบ
August 24, 2004
ผมเห็นด้วยมากๆครับที่จะให้นักวิเคราะห์แต่ละคนหาอุตสาหกรรมที่ตนเองเข้าใจอย่างลึกซึ้งและวิเคราะห์ได้แม่นยำใกล้เคียงความเป็นจริงมากกว่านี้ ไม่ใช่วิเคราะห์หลายๆอุตสาหกรรมแล้วก็ทำได้ไม่ดีสักอัน ถึงหุ้นตัวที่ตนเองวิเคราะห์จะไม่ฮิตแต่ผมว่ามันน่าจะสร้างความเชื่อถือได้ในระยะยาวนะครับ
โลกในมุมมองของ Value Investor
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
--------------------------------------------------------------------------------
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ นักเศรษฐศาสตร์ จิตแพทย์และหมอดู มีอะไรหลาย ๆ อย่างคล้ายคลึงกัน
พวกเขาต้องบอกประชาชนหรือลูกค้าว่าเกิดอะไรขึ้นในตลาดหุ้น ในภาวะเศรษฐกิจ ในสังคม และการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงของดวงดาว ซึ่งทำให้หุ้นวิ่งขึ้นหรือถอยลง ภาวะเศรษฐกิจขึ้นเหนือหรือลงใต้ สังคมไปซ้ายหรือขวา และชีวิตก้าวหน้าหรือตกต่ำลง คำอธิบายจะต้องมีเหตุมีผลมีทฤษฎี แต่ความจริงจะเป็นอย่างไรนั้นใครจะไปรู้ เพราะทั้งหมดนี้ไม่ใช่วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ที่บอกว่าน้ำนั้นเกิดจากไฮโดรเจนสองส่วนบวกกับออกซิเจนหนึ่งส่วนอย่างแน่นอน
พวกเขาต้องบอกกับลูกค้าและสาธารณชนว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรมองจากสถานะที่เป็นอยู่บวกกับสมมุติฐานอีก 8 ข้อหรือไม่ก็แรงกรรมที่ทำมาในอดีต การทำนายอนาคตนี้ก็จะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามเหตุการณ์และภาวะการณ์หรือแรงกรรมที่เปลี่ยนไป เพราะฉะนั้นถ้าอนาคตไม่เป็นไปตามที่คาดก็ไม่ใช่ความผิดของเขา แต่เป็นเพราะสถานการณ์แวดล้อมมันเปลี่ยนไปไม่เป็นไปตามสมมุติฐานหรือตามดวงดาวที่บอกไว้แต่แรก
พวกเขามีหน้าที่ที่จะต้องทำให้ลูกค้าหรือประชาชนรู้สึกสบายใจ มีความมั่นใจ กล้าตัดสินใจที่จะลงทุน ทำภารกิจที่สำคัญ หรือไม่ก็หลีกเลี่ยงรอเวลาที่เหมาะสม ยิ่งความไม่แน่นอนในผลที่จะเกิดขึ้นมีมากเท่าไร ความต้องการที่จะมีคนมาให้คำแนะนำหรือปลอบประโลมก็มีมากขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้นในยามที่เกิดโกลาหลหรือมีวิกฤติเกิดขึ้นในชีวิต คำพูดของพวกเขาจึงได้รับการตอบรับอย่างไม่มีข้อสงสัย
อาชีพของพวกเขาจำเป็นที่จะต้องอาศัยศิลปในการพูดและเขียนที่สามารถส่งถึงผู้รับได้อย่างมีประสิทธิผล ว่าที่จริงถ้าจะดังในอาชีพเหล่านั้นได้เขาจะต้องพูดเก่ง มีความสามารถในการใช้เหตุผลที่ซับซ้อนน่าทึ่งและต้องออกงานแสดงความสามารถบ่อย ๆ และที่สำคัญ จะต้องสามารถสร้างความแตกต่างโดยการ ประมาณเกิน คือคาดการณ์อะไรที่ออกนอกกรอบไม่ว่าทางดีหรือร้ายมากกว่าคนอื่นมาก ๆ แล้วทำได้ถูกต้องทำให้คนจดจำได้ทั่วไป
ทั้งหมดนั้นคือหน้าที่การงานที่นักวิเคราะห์จะต้องทำเพื่อให้ประสบความสำเร็จในชีวิตการเป็นนักวิเคราะห์หุ้น มืออาชีพ
แต่ถ้าถามว่านักวิเคราะห์ได้เพิ่มคุณค่าให้กับการเลือกซื้อหรือขายหุ้นของนักลงทุนมากน้อยแค่ไหนคงจะตอบได้ยากมาก เพราะยังไม่เห็นการศึกษาว่าผลงานของนักวิเคราะห์โดยส่วนรวมเป็นอย่างไร เพียงแต่เมื่อดูถึงวิธีทำงานของนักวิเคราะห์แล้วผมเองก็เป็นห่วงและรู้สึกว่าระบบของเราน่าจะสร้างนักวิเคราะห์ที่ดีเยี่ยมได้ยากพอสมควร ลองดูจุดอ่อนบางอย่างที่ผมเห็นสิครับ
ข้อแรกนักวิเคราะห์ของไทยแต่ละคนดูเหมือนว่าจะต้องติดตามหุ้นจำนวนมากเป็น 10 บริษัทขึ้นไปและในหลาย ๆ อุตสาหกรรม ดังนั้นการที่จะรู้สึกซึ้งในธุรกิจและในแต่ละบริษัทจึงเป็นไปได้ยาก นอกจากนั้น อาชีพนักวิเคราะห์ยังไม่ใคร่มั่นคงดีนัก ในช่วงที่ตลาดหุ้นคึกคัก ความต้องการนักวิเคราะห์ก็มีสูง แต่ในยามที่หุ้นซบเซา นักวิเคราะห์ก็ถูกปลด เพราะฉะนั้นคนที่จะสร้างความเป็นผู้เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์หุ้นจึงยังมีอยู่อย่างจำกัด
ข้อสองตลาดหุ้นไทยยังเป็นตลาดของนักเก็งกำไรเป็นส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้นความต้องการบทวิเคราะห์ที่เน้นพื้นฐานของหุ้นระยะยาวจึงยังมีน้อย สิ่งนี้ทำให้นักวิเคราะห์เน้นการวิเคราะห์หุ้นเพื่อการซื้อขายระยะสั้น เฉพาะอย่างยิ่งก็คือการวิเคราะห์ทางเทคนิคซึ่งเป็นวิธีการที่มีคำถามมากมายว่ามีประโยชน์หรือไม่ นอกจากนั้นการวิเคราะห์ส่วนมากก็จะมองไปในอนาคตระยะสั้น และเน้นไปที่ผลการดำเนินงานทางการเงินเป็นหลักโดยไม่ให้ความสำคัญกับพื้นฐานของธุรกิจในระยะยาวและองค์ประกอบทางธุรกิจอื่น ๆ ซึ่งมีความสำคัญมากเช่นเดียวกัน
ข้อสาม ผมคิดว่านักวิเคราะห์ของเรายังมีประสบการณ์ในธุรกิจน้อย ว่าที่จริงนักวิเคราะห์จำนวนมากแทบจะไม่ได้ผ่านงานอื่นมาเลยนอกจากการวิเคราะห์ทางการเงินของกิจการซึ่งดูงบดุล งบกำไรขาดทุนของบริษัทเป็นหลัก หลายคนไม่รู้ว่าผู้บริหารหรือเจ้าของสามารถ โกง บริษัทได้ 108 วิธีและหลายบริษัทก็ทำอยู่เป็นปกติ นักวิเคราะห์อีกจำนวนมากอาจจะยังไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่างธุรกิจซื้อมาขายไปกับธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง หรือธุรกิจโภคภัณฑ์กับธุรกิจที่มียี่ห้อแข็งแกร่ง การให้คุณค่าแก่บริษัทส่วนใหญ่จึงมักเน้นที่กำไรต่อหุ้นที่ผ่านมาในไตรมาสที่แล้วหรือปีที่แล้วที่ถูก ต่อยอด ไปถึงปีหน้าหรือไตรมาศหน้า
สื่อมวลชนเองก็มีส่วนสำคัญในการที่ทำให้นักวิเคราะห์หลาย ๆ คนต้องกลายเป็น พหูสูตร ที่ไม่รู้อะไรจริง เพราะสื่อมวลชนที่มีรายการมากมายนั้นต้องการข่าว เรื่องราวเกี่ยวกับหุ้นวันต่อวัน ชั่วโมงต่อชั่วโมง ดังนั้นเมื่อหุ้นมีการปรับตัวเคลื่อนไหวรุนแรงก็จะถูกถามไปยังนักวิเคราะห์ทันที ซึ่งนักวิเคราะห์เองก็จะต้องตอบทันทีเช่นเดียวกันแม้ว่าบ่อยครั้งนักวิเคราะห์รายนั้นอาจจะไม่ใช่เป็นผู้รู้ดีในหุ้นตัวนั้นหรือในอุตสาหกรรมนั้น ความผิดพลาดจึงอาจจะเกิดขึ้นได้ง่ายและก็เกิดการผิดพลาดแล้วอย่างที่เกิดในช่วงนี้ และเป็นที่มาของการคิด จัดระเบียบ นักวิเคราะห์ของหน่วยงานควบคุมที่เกี่ยวข้อง
ผมเองคิดว่าวิธีที่ดีที่สุดที่จะสร้างคุณภาพ และป้องกันความผิดพลาดในเรื่องของการวิเคราะห์หุ้นก็คือการสร้างผู้เชี่ยวชาญให้เกิดขึ้นในวิชาชีพของการวิเคราะห์หุ้นนั่นก็คือ นักวิเคราะห์แต่ละคนควรจะรู้ว่าตนเองเป็นผู้เชี่ยวชาญในหุ้นบริษัทใดและในอุตสาหกรรมไหน ความเชี่ยวชาญนี้แปลว่าเขาควรที่จะรู้ลึกซึ้งในกิจการและอุตสาหกรรมอย่าง หาตัวจับได้ยาก เวลาออกรายการทีวีหรือสื่ออื่น ๆ ก็เขียนไว้เลยว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญอุตสาหกรรมไหน และคน ๆนี้ไม่ควรเปลี่ยนไปวิเคราะห์อุตสาหกรรมอื่นบ่อยเกินไป เวลาเปลี่ยนที่ทำงานก็ไม่ควรเปลี่ยนภาระกิจที่ทำ แต่ควรเป็นสถานะที่ติดตัวมากกว่า ด้วยวิธีนี้นักวิเคราะห์ก็จะมี เส้นทาง ที่ชัดเจน และจะทำให้คำแนะนำการลงทุนของเขามีคุณค่าสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นพื้นฐานเป็นหลัก
ผมเองโดยส่วนตัวในปัจจุบันนั้นแทบจะไม่ได้ใช้งานวิเคราะห์ของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์เลยยกเว้นข้อมูลที่เป็นความจริงบางอย่างเท่านั้น เหตุผลอาจจะเป็นเพราะหุ้นที่ผมสนใจมักจะไม่มีใครทำวิเคราะห์ แต่เหตุผลอีกข้อหนึ่งก็คือผมยังไม่เห็นนักวิเคราะห์ที่เป็นเซียนจริง ๆ ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เพราะฉะนั้นถ้าจะจัดระเบียบนักวิเคราะห์ล่ะก็ ผมอยากจะฝากให้คิดถึงวิธีการที่จะสร้างนักวิเคราะห์มืออาชีพจริง ๆ ด้วยครับ
จบ
August 24, 2004
ผมเห็นด้วยมากๆครับที่จะให้นักวิเคราะห์แต่ละคนหาอุตสาหกรรมที่ตนเองเข้าใจอย่างลึกซึ้งและวิเคราะห์ได้แม่นยำใกล้เคียงความเป็นจริงมากกว่านี้ ไม่ใช่วิเคราะห์หลายๆอุตสาหกรรมแล้วก็ทำได้ไม่ดีสักอัน ถึงหุ้นตัวที่ตนเองวิเคราะห์จะไม่ฮิตแต่ผมว่ามันน่าจะสร้างความเชื่อถือได้ในระยะยาวนะครับ