Thai VI

ช่วงนี้ลองหาข้อมูลพวก Internet of Things อยู่ เข้าใจว่าน่าอาจจะกลายเป็น Megatrend อันนึงในอนาคต ซึ่งอาจจะทำให้พลิกโฉมธุรกิจและอุตสาหกรรมหลายๆอย่างไปโดยสิ้นเชิง

ปัจจุบันมนุษย์เชื่อมต่อผ่านเครือข่าย Internet ผ่านเครื่อข่ายมือถือ แต่อีกหน่อย เราไม่ได้พูดถึงแค่การเชื่อมโยงคน แต่เราพูดถึงการเชื่อมโยง สิ่งของ ที่เราใช้ ผ่านชิปหรือ sensor อะไรก็แล้วแต่ เข้าด้วยกัน แล้วก็ส่งข้อมูลออกมาให้มาวิเคราะห์ใช้ประโยชน์

ผมว่าใกล้ๆตัวเราชัดๆเลยก็อาจจะเป็นเรื่อง เราใช้งาน google map ดูการจารจรติดขัดบนท้องถนน

การสายข้อมือจับชีพจรที่เราใช้วิ่งออกกำลังกาย อีกหน่อยถ้ามัน link เชื่อมต่อกันเป็นเครือข่าย เราอาจจะเอาไปใช้กับคนไข้ที่เป็นโรคหัวใจ แจ้งเตือนโรงพยาบาล หน่วยฉุกเฉิน ญาติใกล้ชิด ได้รวดเร็ว

อะไรๆอีกหลายสิ่ง แล้วแต่ มนุษย์จะพึงคิดขึ้นมาได้

ด้าน Hardware เข้าใจว่าพวก sensor พวกนี้นับวันจะยิ่งถูกลง แต่ยังมีอะไรที่ต้องพัฒนาการต่อยอดอีกเยอะ เช่น network ที่ต้องมารองรับ IoT
เข้าใจว่า ตอนนี้มีการ develop technology ที่เรียกว่า LPWA โูจากใน link

http://internetofthingsagenda.techtarge ... ea-network

ซึ่งเป็น network ให้ sensor ที่อยู่ในสิ่งของ สมารถส่งสัญญาณ data ให้ เชื่อมต่อกันโดยสิ่งของที่ติด sensor นี้กินพลังงานในการส่งข้อมูลน้อยมากๆ และข้อมูลที่ส่งก็ไม่ได้มากอะไรแต่ส่งถี่ๆ เพื่อบอกสถานะ

ใครพอเข้าใจเรื่อง นี้บ้างช่วย share กันหน่อยนะครับ อยากรู้ว่า Trend มันน่าจะมาที่ application ไหน น่าจะเป็นประโยชน์ หรือ ภัยคุกคามในธุรกิจใดบ้าง ขอบคุณครับ

พวกที่จะได้ประโยชน์คือพวกสื่อสาร เพราะผลิตภัณฑ์ที่ใช้ต้องมีอินเตอร์เนต ภายในบ้านก็ wifi ภายนอกบ้านต้องใช้ 5g ต่อไปพวกหนัง/เพลง/ทีวีจะขึ้นไปอยู่ในอินเตอร์เนตทั้งหมด โหลดดูออนไลน์กันได้เลย คงต้องใช้data มหาศาล ยิ่งทุกอย่างฉลาดขึ้น คนน่าจะตกงานกันมากขึ้นไปอีก

ที่ไปฟัง set in the city ที่ผ่านมา ก็ เน้นทางนี้ และ มาดูชีวิตจริงก็ต้องใช้ เพื่อความสะดวก รวดเร็ว แม่นยำ ถึงแม้จะอายุมาก ก็ ต้องเรียนรู้ตามไปด้วย ผมว่าด้านนี้เป็น trend ของโลกจริง ๆ ใครไม่สนใจด้านนี้ก็ต้องอยู่หลังเขาเป็นแน่เลย ชีวิตให้เลือกว่าจะทันสมัยตามเขาหรือจะ slow life ดีกว่า ผมเลือกทันสมัยครับ ไม่รู้ก็ถามลูกเอา สนุกและ สู้กับชีวิตไปเรื่อย ๆ.

แล้วมีหุ้นตัวไหนบ้างที่อยู่ในกลุ่ม ICT ได้ประโยชน์จากตัวนี้ครับ

ต่อไปเราสามารถทราบสถานะของสิ่งต่างๆ ได้จากทาง Smartphone, Computer ของเราและสามารถสั่งการทางไกลได้มากขึ้น อาทิเช่น เราสามารถรู้ว่า ห้างที่เรากำลังจะไป มีที่จอดรถว่างอยู่ชั้นไหนบ้าง, รถเมล์ที่เรากำลังรอตอนนี้คันไหนอยู่ใกล้เราที่สุดและคาดเดาได้ว่าอีกนานไหมที่จะมาถึงป้าย, ของบางอย่างในตู้เย็นเหลืออยู่เท่าไหร่, สั่งเพิ่มลดอุณหภูมิห้องได้)

การทราบสถานะของสิ่งต่างๆ และสั่งการได้มากขึ้น ย่อมหมายถึงความสามารถในการวางแผนต่างๆ ได้ดีขึ้น ตัวอย่างเช่น ถ้ารู้ว่ารถเมล์ที่รออยู่ อีกนานกว่าจะเข้าป้าย แทนที่จะมารออย่างไม่รู้ชะตากรรม ก็สามารถไปทำอย่างอื่นไปพลางๆ ก่อน หรือ ในระหว่างการแวะเดินห้าง เราสามารถดูว่าของอะไรในตู้เย็นกำลังจะหมด ก็สามารถซื้อไปเติมในปริมาณที่เหมาะสม และ ยิ่งถ้าข้อมูลเหล่านี้เราอนุญาตให้ผู้ขายรู้ข้อมูลได้ด้วย ก็จะเกิดบริการแปลกๆ ใหม่ๆ มาช่วงชิงกำลังซื้อของเรา

ส่วนข้อเสียก็คงจะเป็นเรื่องความเป็นส่วนตัวที่อาจจะถูกละเมิด แต่ถ้าคิดตามหลัก วิวัฒนาการแล้ว สิ่งไหนที่ได้รับความนิยมและยังมีช่องโหว่ ก็จะเกิดความพยายามมีการคิดค้นหาเครื่องไม้เครื่องมือมาลดช่องโหว่ของระบบ

เราก็จะอยู่ในโลกของเทพมากขึ้น (อะไรๆ ก็ดูจะสะดวกสบาย และ เป็นอัตโนมัติ มากขึ้น)
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ความสุขของเราจะไม่ได้มีมากขึ้น (ไม่ว่าเทคโนโลยีจะก้าวไปไกลขนาดไหน เดี๋ยวสักพักเราก็ชิน แล้วก็รู้สึกเหมือนเดิม)

ลุงขวด เขียน: แล้วมีหุ้นตัวไหนบ้างที่อยู่ในกลุ่ม ICT ได้ประโยชน์จากตัวนี้ครับ

สำหรับประเทศไทย ไม่คิดว่าจะมีตัวไหนโดดเด่นที่จะได้ประโยชน์จาก IoT นี้นะครับ คือ เราเป็นผู้บริโภค มากกว่าจะเป็นผู้สร้างนวัตกรรมน่ะครับ และที่สำคัญ เคยไปเดินงาน สัปดาห์วิทย์ฯ โครงงานต่างๆ มักจะหยุดอยู่แค่งานแสดง ไม่ค่อยมีการนำมาต่อยอด ผลิตเป็นสินค้า สู่ท้องตลาด เป็นของใช้จริงๆ จังๆ สักเท่าไหร่
หรือถ้าจะว่าไป งานสัปดาห์วิทย์ฯ คนเดินน้อยกว่า งานมอเตอร์โชว์ เป็นไหนๆ