Thai VI

ผมได้เดินไปในห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ มีบูทที่สะดุดตาอย่างมาในแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้า
สิ่งที่ทำให้ผมสะดุดตาคือ บัตรเล็กๆ แล้วเขียนว่าเช่าดูภาพยนต์หรือหนังได้ ในราคาที่ถูกมาก
129 บาท ไม่จำกัด จำนวนการใช้งาน จำกัดระยะเวลาหนึ่ง เมื่อราคาเพิ่มขึ้นจำนวน อุปกรณ์ที่สามารถใช้ดูก็เพิ่มขึ้น
ซึ่งรองรับอุปกรณ์ได้ 3 ชิ้นพร้อมกัน (ใช้งานผ่านเบาวเซอร์ และ OS)
พอผมอ่านรายละเอียดในจุดนี้เสร็จแล้ว วันนี้ผมได้เจอะเจอเจ้าหน้าที่ในบูทนี้แต่เป็นในห้างขายอุปกรณ์ไอทีแห่งหนึ่ง
พนักงานมีความกระตือรือร้นในการขายอย่างมากแถมอธิบายการใช้งานอย่างดีเลย เรียกได้ว่า อยากขายของ
คำอธิบายของพนักงานคนนี้ ทำให้ผมมีข้อมูลเพิ่มเติมว่า การบริการชิ้นนี้ไม่เพียงแต่ครอบคลุมภาพยนต์เท่านั้น แต่ซีรีย์ก็ครอบคลุม
ในการรับชมด้วย โดยผู้ให้บริการเพิ่มหนัง/ละครแบบซีรีย์ ปลายสัปดาห์ แถมหากมีหนังแผ่นออกเป็นแบบ Masterแล้วนั้น
ผู้ให้บริการก็มีให้ทันเลย ทันกับที่ออกแผ่นเลย ไม่เพียงแค่นั้น การใช้งานค่อยข้างง่ายด้วย

สิ่งที่น่าจะตั้งคำถามกับการใช้บริการนี้คือ
1. ความเร็วในการใช้งานบนโครงข่ายต่างๆ ไล่ตั้งแต่ โครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่รองรับ Streaming ระดับภาพยนต์ 4k ได้แล้วหรือ
2. ราคาถูก ไม่จำกัดปริมาณการใช้งาน แต่จำกัดจำนวนวันที่ใช้งาน นี้เรียกได้ว่ากระทบกับกิจการ มากกว่า 1 กิจการเลยทีเดียว แล้วกิจการที่โดนกระทบนั้นอยู่รอดได้หรือเปล่า ปรับตัวอย่างไร
3. ตัว Content ที่เป็นภาพยนต์และซีรีย์ของต่างประเทศเท่านั้น ยังไม่มี ละคร หรือ หนังของไทยในระบบนี้
แล้วเมื่อไรจะมีละครหรือหนังไทยเข้าในระบบนี้

เนี่ยเป็นส่วนหนี่งในการเปลี่ยนแปลงวิถีของการดูภาพยนต์/ซีรีย์อีกครั้งหนี่ง เลยทีเดียว

ผมอยู่ในอุตสาหกรรมนี้ครับ ขอตอบคร่าวๆ..
1. หนังคุณภาพ SD ต้องการความเร็วเน็ต 1 Mbps ส่วน HD ต้องการความเร็ว 2 Mbps สำหรับ 4K (ขึ้นกับการถ่ายทำด้วย) ต้องการขั้นต่ำคือ 16 Mpbs ครับ

2. เรื่องประเภทหนัง.. ขึ้นกับการซื้อสิทธิ์จากต่างประเทศ ซึ่งเขาจะกำหนดช่วงเวลาออกมา เรียก released window ยกตัวอย่าง หนังเข้าโรงที่อเมริกา เป็น Window แรกสุด หลังจากนั้นจะไปที่ แผ่น (เดี๋ยวนี้ไม่มีแผ่นแล้ว) จากนั้น window ถัดไปคือ เครื่องบิน จากนั้นเป็น Cable ถัดไปเป็น Free TV เป็นต้น และในแต่ละ window ที่ฉายจะมีค่าสิทธิ์เฉพาะด้วย ถ้าซื้อ release window แบบ Cable จะไปฉายบนเครื่องบินไม่ได้ หรือไม่ผลิตเป็นแผ่นขายไม่ได้.. สำหรับผู้ผลิตรายการของไทย ได้ยินว่ามีการพูดคุยกับ operator อยู่แต่ยังตกลงเรื่องราคาไม่ลงตัว รวมทั้งหลายรายมีการนำ content ตัวเองไปขึ้นใน youtube เพื่อรับค่าโฆษณาอยู่แล้ว ดังนั้น Operator ที่จะซื้อสิทธิ์เองก็ต้องแข่งกับ youtube ที่ให้บริการฟรีกับผู้ชมด้วย

3. ผู้ประกอบการในปัจจุบัน ได้แก่ Doonung, Hollywood HDTV, Primetime ทั้งสามบริษัทนี้เป็นบริษัทในเครือบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ส่วน Doonee, MoviePlus, DEX Channel เป็นบริษัทเอกชนไม่จดทะเบียนในตลาด โดยมี Hooq และ iFlix เป็นผู้ประกอบการจากต่างประเทศ ในระยะแรกทุกเจ้าน่าจะประสบปัญหาเดียวกันทั้งหมดคือ ผลประกอบการขาดทุนจนกว่า จำนวนสมาชิกจะมากเพียงพอ มี Economy of Scale คุ้มค่าลิขสิทธิ์

ผมชอบ IFlix ครับ ให้ดูฟรี 1 เดือนใช้แค่ Email สมัคร

Marketing สมกับเป็น E Commerce ให้ฟรีก่อน ถ้าชอบก็ใช้ต่อ

ส่วนเจ้าอื่น น่าจะสู้ไม่ได้ และที่สำคัญ Content ก็ใช้ได้

ถ้าทำได้เหมือน Lazada ที่กิน share ในไทย ใครได้ก่อน กินรวบ

หนังออนไลน์พวกนี้กระทบธถรกิจโรงภาพยนตร์ในประเทศที่หนังออนไลน์พัฒนาเต็มที่แล้วแบบสหรัฐมากไหมครับ ขอบคุณครับ

ไม่ทราบว่าการเติบโตดีมากไหมครับอุตสาหกรรมนี้??

ถ้าลิขสิทธิ์เข้มๆเหมือนอเมริกาแบบนี้คุ้มมาก แต่ถ้ายังชิวๆคนโหลดบิททอเร้นก็ยังเป็นตัวฉุด

ผลกระทบต่อโรงภาพยนตร์ มีบ้างครับ แต่ว่าทาง Studio ผู้สร้างเขาเองก็ได้จัด release window ไว้เพือลดผลกระทบ
แบบเดียวกับสมัยก่อนที่ว่า DVD จะมีผลกระทบต่อโรงภาพยนตร์หรือไม่ คำตอบคือ มีบ้างแต่ไม่มากเช่นเดียวกัน..
เพราะว่าโรงภาพยนตร์จะได้ First Release Window เสมอ ด้วยเหตุผลทางการตลาด เพื่อทำให้คนรู้จัก สามารถสร้างกระแสต่างๆ เช่น ประกวดรับรางวัลต่างๆ เป็นต้น เมื่อเป็นที่รู้จักแล้ว ฝั่ง Operator เองก็พร้อมจะซื้อ (ในราคาสูงๆ) .. โดย Studio เองก็ตั้งราคาตามยอด Box Office ด้วย หนังที่มีรายได้สูงก็ขายแพงกว่า หนังที่มีรายได้ต่ำครับ..

สำหรับเรื่องลิขสิทธิ์เป็นปัญหาที่แก้ไม่ตกในทุกประเทศครับ.. และเป็นทั้งโลก ไม่ว่า ซอฟท์แวร์ เพลง หนัง ebook และทุกๆ สื่อดิจิตัล.. ทาง Operator เองก้ต้องเพิ่ม Value ของสินค้า อาทิเช่น.. พยายามซื้อแพงขึ้น เพื่อให้ได้ Release Window เร็วที่สุด หรือซื้อแบบ Exclusive ไม่ให้ขายกับคู่แข่ง หรือ สร้าง Content ของตัวเอง เช่น HBO ทำ Game of Throne เป็น exclusive content ของตัวเอง หรือการทำ subtitle ภาษาไทย หรือการพากย์ไทย เพื่อเพิ่ม Value ให้กับสินค้า ซึ่งก็แก้ไขเรื่องลิขสิทธิ์ได้ระดับหนึ่ง

ในส่วนของการเติบโต เรียกว่าดีทั้งระดับโลกครับ เป็นกระแสที่กำลังจะไปแน่นอน เริ่มจากคนเมืองหลวงก่อน เพราะปัจจุบันแต่ละคนมักจะมี screen เชื่อมต่อ internet ส่วนตัว เช่น smartphone tablet notebook หรือแม้แต่ smartTV จึงเสพสื่อที่ต้องการได้ทันที ทุกที่ ทุกเวลา ไม่ต้องรอหนังฉาย อยากหยุดเมื่อไรก็ได้ ไม่ต้องทนกับค่าน้ำ ค่าขนมแพงบ้าเลือด.. (กลุ่มคนทำงานจะย้ายไปใช้หนังออนไลน์ก่อน เพราะ value of money ส่วนกลุ่มวัยรุ่นจะยังดูหนังโรงภาพยนต์ เพราะต้องการใช้เวลานอกบ้าน และอาจจะยังไม่ได้มี screen ส่วนตัวที่ดีเพียงพอ)


์

์

เห็นด้วยว่ามีผลกระทบต่อโรงหนังแน่นอนครับ
แต่จริงๆ โรงหนัง ก็ถูกกระทบมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ยุค Video Tape, CD จนมาถึงยุค DVD Blu-ray แล้ว
ต่างจังหวัดหลายจังหวัด โรงหนังเจ๊งจนเลิกไปเลยก็มีเยอะ มีบางจังหวัดวันนี้ ไม่มีโรงหนังฉายแล้วก็มี

แต่จะเห็นว่าโรงหนังก็ยังมีคนดูอยู่
เพราะโรงหนังเอง ปรับตัวให้อยากดูอยู่เรื่อยๆ ไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็ไม่ได้ "สูญพันธุ์"

เป็นเพราะบรรยากาศการดูหนังโรง กับดูที่บ้านต่างกัน คนที่รักการดูหนังจะรู้ว่ามันต่างกัน
รวมถึงบ่อยครั้ง ไม่สามารถให้คนรู้จัก มานั่งดูที่บ้านตัวเองได้
และก็มีคนที่ผมรู้จักหลายคน เรียกว่า "เสพติดหนัง" ทั้งที่บอกว่ามีโฮมเธียเตอร์แล้ว ไม่ว่าจะแค่ระบบสเตอริโอธรรมดา หรือระบบ surround เสียงรอบตัวจริงๆ ก็ตาม
บ่อยครั้ง ต้องก็ออกไปหาบรรยากาศกับเพื่อนๆ กับคนใกล้ชิดที่โรงหนังก็ยังมี บางคนไม่ใช่เป็นครั้งเป็นคราวละ
ซึ่งย่อมไม่ใช่โรงหนังแบบเก่าแน่นอน... ประเภทฉายวน 2 เรื่องควบ เข้าดูเวลาไหนก็ได้ จำเอาไว้ว่าเริ่มตอนไหน
สูญเสียลูกค้าไปบางส่วน

แต่ก็มีส่วนที่เหลือ ยังนิยมชมชอบอยู่เพราะ "รสชาติ" "บรรยากาศ" มันต่างกัน
ที่เป็นเทคนิคของขาย content ที่คุณ Proxity ว่าไว้ ในความรู้สึกคนทั่วไป ที่ยังดูบนจอโรง คือว่าด้วยการ delay ที่ปล่อยลิขสิทธิ์ขายออก online สกัดไว้ให้ช้าลงกว่า lag time นิดหน่อย
พูดภาษาชาวบ้านในทางตรงข้าม คือเรื่อง "สดใหม่" อยากดูเร็วๆ เพราะถูก teaser ยั่วมาก่อนฉายตั้งนาน
การเข้าใหม่ ในวันพฤหัส ก่อน weekend กลายเป็นของธรรมดาไปแล้ว ถึงได้มีการ create "รอบพิเศษ" คืนวันพุธ คิดตั๋วแพงๆ ให้น้ำลายไหลกันอีก คนทั่วไป คงสงสัยว่ามันจะพิเสษอะไร ไม่ได้มีเนื้อหาอะไรเพิ่มเติม แต่ไปถาม "คนบ้าหนัง" ดู จะรู้ว่าถูกยั่วจนคลั่ง ต้องรีบไปดูทันที วันที่มีการฉายวันแรก



แยกแยะให้ลึกกว่านี้อีกนิด
แบบโกวเล้งว่าไว้ ในการ "เสพสุรา" แบบมีรสนิยม หาใช่การ "แดรกเหล้า" เมาหัวทิ่มไม่
คนจำนวนมาก "รสชาติ" ดูที่บ้านก็พอมี แต่สนใจ "บรรยากาศ" เสริม
กลิ่นปอร์บคอร์นแพงๆ ("แพง" เพราะซื้อจาก super market มาเวฟเองถูกกว่าเยอะ) มีลูกมีหลานอ้อน ให้ซื้อเครื่องดื่มที่มีหัวการ์ตูนติดบนฝา (ราคาสูงกว่าตู้แช่ 400%-500% ได้) มันเลยยังขายได้...
ต่างกับนั่งดูที่บ้านเดียวดาย... ด้วยฉะนี้

การดูหนัง ก็หนีไม่พ้นหลักการตลาด "segmentation" ถึงต้องมีการแบ่งเกรด โรงแบบโรงละคร โรงจอใหญ่ จอเล็ก 3D 4D imax ที่นั่งแบบโน้น แบบนี้
โรงที่มีภาพลักษณ์แบบโรงหนังรุ่นเก่า อย่างสกาลา ที่ยังอยู่ได้เพราะพยายามปรับตัวตาม เพราะชาวบ้านทำโรงหรู เบาะผุ ก็เปลี่ยนเป็นเบาะนิ่มตามเปลี่ยนเป็น digital ก็เปลี่ยนตามมาตั้งแต่ยุคเริ่ม THX แล้ว มีถูกเผาไปซะ 1 โรง คือ "สยาม" Digital Sound Test รถไฟวิ่ง ก็มีเหมือนกัน รวมถึงมีโรงจอเล็ก แต่ติดตั้งระบบดิจิตอลด้วย
แต่ก็ไม่ได้ท้าชนกับ Major/SF ด้วยการ positioning ตัวเอง เป็นคล้าย "low cost" airlines
ตั๋วแต่ก่อนใช้เขียนมั่ง และพิมพ์ dot matix แกร๊กๆๆๆ ไม่ต้องมีเครื่องออกตั๋วรูดบัตร แล้วแต่โรง
Major มีสะสมคะแนนใน M Gen... Scala ก็สะสมได้ ด้วยการทำคล้ายแบบสะสมแสตมป์ แต่เล่นง่ายๆ บัตรกระดาษสะสมแต้มประทับตรา ไว้แลกที่นั่งไม่ต้อง hi tech อะไรมาก
คนที่มีรสนิยมดูหนังโรง แต่งบน้อย ยังต้องประหยัดค่าใช้จ่ายส่วนตัว ก็มีทางเลือก ไม่ต้องรอแผ่น ดูโรงกับเขาได้เหมือนกัน ในเครือนี้
แล้วบ่อยครั้งก็มีการนำหนังนอกกระแส มาฉายโรงหนังในเครือ "apex" คนชอบดูหนังได้รางวัล เป็นที่รู้กันว่า Lido นำหนังประเภทนี้มาฉายบ่อยๆ


"บางจังหวัดวันนี้ ไม่มีโรงหนังฉายแล้วก็มี" ที่ผมบอกข้างบน
แต่ก็ยังมีคนไม่กลัว กำลังทำโรงฉาย Minitheater แบบ digital multiplex ผ่านดาวเทียม ในจังหวัดเหล่านี้
ที่จริงวางแผนมานานแล้ว แต่เพิ่งจริงจัง... จะสำเร็จหรือไม่ ยังไม่รู้
แต่ positioning ของโรงหนังนี้ ต่างกับโรงหนังแบบเบาะผุ หนูวิ่ง ฉายหนังวน ที่ปิดตัวไปแน่นอน
ถ้าคิดแบบเดิม ไม่งั้น ก็แท้ง ตั้งแต่ยังไม่ท้อง

ผมมองว่าธุรกิจพื้นฐานอย่าง board band internet น่าจะได้ประโยชน์มากขึ้น แต่ก็อาจจะเหนือยขึ้นเพราะว่าแม้ว่าจะมีลูกค้ามากขึ้น แต่ลูกค้าที่เก่าจะใช้ช่องสัญญาณมากขึ้นมาก แล้วลูกค้าใหม่ก็น่าจะมีแนวโน้มที่ใช้สัญญาณค่อนข้างเยอะ ดังนั้นบริษัทจะต้องขยายช่องสัญญาณมากขึ้นมาก นั้นคือ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการขายอุปกรณ์เพื่อเพิ่มสัญญาณอินเตอร์เน็ทน่าจะดีขึ้นมาก เช่น บริษัทขายอุปกรณ์เชื่อมต่อสัญญาณ สายสัญญาณ บริษัทรับจ้างวางระบบ ธุรกิจฝากข้อมูล(data center)

ส่วนธุรกิจที่น่าจะกระทบนอกจากโรงหนังผมคิดว่า น่าจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าบางประเภทที่ทับซ่อน เช่น เครื่องเล่น dvd เป็นต้น และธุรกิจ Digital TV ก็น่าจะได้รับผลกระทบในทางลบด้วย เพราะว่า การดูหนังผ่าน online นั้นสะดวกกว่าและตามใจเรากว่าการช่อง TV ปกติ ซึ่งบังคับให้เราดูตามใจเจ้าของสถานี