EFORL: ทิสโก้ แนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 2 บาท/หุ้น
Source - บจ.หลักทรัพย์ ทิสโก้ (Th)
Monday, March 09, 2015 10:23
บมจ. อี ฟอร์ แอล เอม
Rating BUY
(unchanged)
12 month Target Price Bt2.00
Current Price (06/03/2015) Bt1.31
Upside/Downside 53%
CG Rating N/R
Sector SERVICE (mai)
Sector PER (x) N/A
ปี 2015 จะยังเติบโตได้สูงต่อเนื่อง จากรายได้วุฒิศักดิ์คลินิค
ปี 2015 จะเป็นอีกหนึ่งปีที่มีกำไรเติบโตสูง จากการรับรู้รายได้จากการเข้าลงทุนใน WCIH เต็มปี
ในปี 2014 EFORL มีผลประกอบการเติบโตสูงถึง 810% YoY จากการรับรู้รายได้จากธุรกิจตัวแทนจัดจำหน่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์เต็มปี และในปีนี้เช่นเดียวกัน เรามองว่าจะเห็นผลประกอบการของ EFORL ที่ยังมีการเติบโตในระดับสูง เ
นื่องจากในปีนี้จะรับรู้รายได้จากการเข้าลงทุนในบริษัท ดับบลิวซีไอ โฮลดิ้ง จำกัด (WCIH) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทในสัดส่วน 60% เพื่อไปลงทุนในบริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (WCIG) เต็มปีจากปี 2014 ที่รับรู้เพียง 1 เดือนเท่านั้น ดังนั้น เราคาดว่าจะเห็นผลประกอบการของ EFORL เติบโตในระดับสูงอีกปี โดยปัจจุบันราคา EFROL ปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก ซึ่งมี upside ต่อราคาเป้าหมายของเราที่ 2 บาท ดังนั้น เรายังคงแนะนำ “ซื้อ”
กำไรสุทธิ 2014 เติบโตสูงโต 810% YoY
EFORL ประกาศกำไรสุทธิปี 2014 จำนวน 241 ล้านบาท ซึ่งเติบโตในระดับสูง 810% YoY ซึ่งเป็นผลจากการรับรู้รายได้จากธุรกิจตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์เต็มปี จำนวน 1,181 ล้านบาท เติบโต 1,323% จากปีรายได้เพียง 83 ล้านบาทในปี 2013 เนื่องจากรับรู้เพียง 2 ไตรมาสใน 3Q13 และ 4Q13 เท่านั้น ในขณะที่ธุรกิจสื่อโฆษณารับรู้รายได้ลดลง -55% มาอยู่ที่ 25 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทหันมามุ่งเน้นธุรกิจจัดจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ และธุรกิจบริการความงาม จากการลงทุนผ่าน WCIH ทำให้บริษัทมีรายได้จากการบริการจากกลุ่มบริการความงามจำนวน 276 ล้านบาท ซึ่งรับรู้เพียง 1 เดือนในเดือนธันวาคม 2014เท่านั้น สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 35% เพิ่มขึ้นจาก 34.5% YoY และอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 17.3% ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายของบริษัท
ปัจจัยหนุนหลักในปีนี้มาจากการลงทุนใน WCIH
เรามีมุมมองที่ดีต่อ EFORL ทั้งจากการดำเนินงานหลักของบริษัทจากการขายอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ ซึ่งทำให้บริษัทมีการเติบโตระดับ 10% - 15% ต่อปีจากการมีประสบการณ์กว่า 30 ปีในธุรกิจดังกล่าว นอกจากนี้
จากการเข้าลงทุนในบริษัท ดับบลิวซีไอ โฮลดิ้ง จำกัด (WCIH) ซึ่งเข้าลงทุนในบริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (WCIG) ซึ่งปัจจุบัน บริษัทอยู่ระหว่างการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจทั้งในแง่การควบคุมต้นทุน ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ และการกลับมาสร้างภาพลักษณ์ในแบรนด์อีกครั้งหนึ่ง เพื่อเป็นการกระตุ้นรายได้และเพิ่มจำนวนลูกค้ารายใหม่ๆ เรามองว่าการเข้าลงทุนในครั้งนี้จะช่วยสร้างประโยชน์ให้แก่บริษัททั้งในแง่การขยายฐานลูกค้าเข้าสู่ธุรกิจเสริมความงาม จาก WCIG เป็นผู้นำในตลาดคลินิกเสริมความงาม ซึ่งมีเจาะในกลุ่มตลาดระดับกลาง ซึ่งมีสาขาในประเทศ 120 สาขา และ 14 สาขาในต่างประเทศ ดังนั้น เรามองว่าในปีนี้ EFORL จะมีการเติบโตที่ดี ด้วยผลประกอบการ 413 ล้านบาท (+93.7% YoY)
คงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายใหม่ 2 บาท
เรายังคงแนะนำ “ซื้อ” สำหรับ EFORL ด้วยราคาเป้าหมายใหม่ 2 บาท จากเดิม 2.50 บาท (DCF) จากทิศทางการเติบโตตามอุตสาหกรรมการแพทย์ ทั้งจากการจำหน่ายอุปกรณ์การแพทย์และธุรกิจเสริมความงาม โดยปี 2014 เป็นปีแรกที่บริษัทสามารถกลับมาจ่ายเงินปันผลได้ที่ 0.01 บาทต่อหุ้น (27 เมษายน 2015) หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนที่ ปัจจัยเสี่ยง 1) ภาวะเศรษฐกิจที่กระทบต่อการใช้จ่ายผู้บริโภค 2) การขาดบุคลากรที่เชี่ยวชาญ 3) การไม่ได้รับใบอนุญาตการจัดจำหน่ายจากเจ้าของแบรนด์
ผลประกอบการปี 2014 เติบโตสูง หลักๆ มาจากธุรกิจจำหน่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่รับรู้เต็มปี
EFORL ประกาศกำไรสุทธิปี 2014 จำนวน 241 ล้านบาท ซึ่งเติบโตในระดับสูง 810% YoY ซึ่งเป็นผลจากการรับรู้รายได้จากธุรกิจตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์เต็มปี จำนวน 1,181 ล้านบาท เติบโต 1,323% จากปีรายได้เพียง 83 ล้านบาทในปี 2013 เนื่องจากรับรู้เพียง 2 ไตรมาสใน 3Q13 และ 4Q13 เท่านั้น ในขณะที่ธุรกิจสื่อโฆษณารับรู้รายได้ลดลง -55% มาอยู่ที่ 25 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทหันมามุ่งเน้นธุรกิจจัดจำหน่ายเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ และธุรกิจบริการความงาม จากการลงทุนผ่าน บริษัท ดับบลิวซีไอ โฮลดิ้ง จำกัด (WCIH) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทในสัดส่วน 60% เพื่อไปลงทุนในบริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (WCIG) ทำให้บริษัทมีรายได้จากการบริการจากกลุ่มบริการความงามจำนวน 276 ล้านบาท ซึ่งรับรู้เพียง 1 เดือนในเดือนธันวาคม 2014เท่านั้น สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 35% เพิ่มขึ้นจาก 34.5% YoY และอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 16.6% ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายของบริษัท
ธุรกิจจำหน่ายเครื่องมือทางการแพทย์ยังเติบโตได้ดี
เรามองว่าธุรกิจจำหน่ายเครื่องมือทางการแพทย์ของบริษัทยังคงเติบโตได้ดีตามปกติที่ระดับ 15-20% โดยปัจจุบันบริษัทมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำหน่าย 20 รายการ ซึ่งอยู่ระหว่างการขอเพิ่มสินค้า แม้ว่าปัจจุบันการเบิกจ่ายของโรงพยาบาลของภาครัฐยังคงไม่สูงนัก แต่คาดว่าจะเห็นการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณมากขึ้นในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ ดังนั้นในปีนี้เราคาดว่ารายได้จากธุรกิจดังกล่าวจะอยู่ที่ 1,282 ล้านบาท (+10% YoY)
คาดรายได้ในปีนี้ยังเติบโตสูง จากการรับรู้รายได้จาก WCIG เต็มปี
EFORL ได้เข้าลงทุนในบริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (WCIG) ผ่านบริษัท ดับบลิวซีไอ โฮลดิ้ง จำกัด (WCIH) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท ด้วยสัดส่วนการถือหุ้น 60% ซึ่งในปี 2014 บริษัทรับรู้รายได้จากการบริการ WCIH เพียงเดือนธันวาคมเท่านั้น จำนวน 276 ล้านบาท สำหรับปีนี้ เรามองว่าจะเป็นปีแรกที่มีการรับรู้รายได้เต็มปีจาก WCIH ดังนั้นจะทำให้บริษัทมีรายได้จากการบริการเติบโตสูง โดยคาดว่าอยู่ที่ 2,888 ล้านบาท ซึ่งหลักๆ เป็นผลมาจากยอดขายต่อสาขาที่คาดว่าจะสูงขึ้น ตามภาวะเศรษฐกิจที่สูงขึ้น แม้ว่าบริษัทจะไม่เพิ่มสาขาวุฒิศักดิ์คลินิคก็ตาม
วุฒิศักดิ์ตั้งเป้าไม่เพิ่มสาขาในประเทศ แต่ตั้งเป้าเพิ่มสาขาในต่างประเทศ 4 สาขา
ปัจจุบัน วุฒิศักดิ์คลินิค มีสาขาในประเทศ 120 สาขา และ 12 สาขาในต่างประเทศซึ่งเน้นใน CLMV ได้แก่ ลาว กัมพูชา เวียดนาม และเมียนมาร์ โดยสำหรับปีนี้ บริษัทยังไม่เน้นการเติบโตสาขาในประเทศ โดยยังคงสาขาไว้ที่ 120 สาขา แต่สำหรับสาขาในต่างประเทศ ตั้งเป้าเพิ่มสาขาใหม่อีก 4 สาขา ซึ่งยังเน้นสาขาในประเทศ CLMV
ปรับกลยุทธ์ ลดค่าใช้จ่ายเพิ่มการเติบโตกำไร
จากการพูดคุยกับผู้บริหารของ EFORL บริษัทอยู่ระหว่างการปรับกลยุทธ์สำหรับวุฒิศักดิ์ โดยในปีนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้ไว้ไม่ต่ำกว่าปี 2014 ที่ประมาณ 2,500 – 2,700 ล้านบาทซึ่งไม่เน้นการเติบโตรายได้หรือขยายสาขา แต่จะให้ความสำคัญกับการลดค่าใช้จ่าย ซึ่งประเมินไว้ที่ 20-30 ล้านบาทต่อเดือน โดยเป็นการลดต้นทุนหลักๆ ดังต่อไปนี้
1)ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร : ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรคิดเป็น 14% ของต้นทุนทั้งหมด โดยบริษัทจะมีการปรับโครงสร้างภายในองค์กรเพื่อลดจำนวนบุคลากรที่ทับซ้อนในการทำงานเพื่อลดค่าใช้จ่ายดังกล่าวลง
2)การบริหารต้นทุนสินค้า : ต้นทุนสินค้าคิดเป็น 18.6% ของต้นทุนขาย ซึ่งบริษัทวางแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรสูง โดยการเพิ่มสินค้าที่เน้นคุณภาพ ซึ่งในการออกแต่ละสินค้าจะมีการคำนวณต้นทุนและอัตรากำไรก่อนเพื่อให้มีอัตรากำไรมากขึ้น
3)ต้นทุนการให้บริการ : การบริการ ณ สาขาของวุฒิศักดิ์ประกอบไปด้วยพยาบาลและแพทย์ ซึ่งต้นทุนระหว่างแพทย์และพยาบาลมีความแตกต่างค่อนข้างสูง โดยปัจจุบัน ค่าใช้จ่ายด้านเงินเดือน โบนัส และเปอร์เซนต์ของแพทย์ คิดเป็น 13.2% ของต้นทุนทั้งหมด ดังนั้น บริษัทจะมีการปรับกระบวนการบริการ ซึ่งบางขั้นตอนสามารถใช้พยาบาลทำแทนแพทย์ได้เพื่อลดต้นทุนดังกล่าว
จากการบริหารต้นทุนของบริษัท รวมกับความแข็งแกร่งของวุฒิศักดิ์ เรามองว่าวุฒิศักดิ์ยังคงมีความแข็งแกร่งและน่าจะเติบโตได้ดีด้วยการเป็นผู้นำกลุ่มคลินิคเสริมความงามกลุ่มตลาดระดับกลางของไทย เนื่องจากเป็นรายแรกๆที่เข้าสู่ธุรกิจดังกล่าว และกลุ่มธุรกิจนี้ยังคงเติบโตได้ดี จากข้อมูลในอดีตพบว่าธุรกิจคลินิคบริการความงามมีการเติบโตในระดับสูงเฉลี่ย 32% ต่อปี และคาดว่าจะยังมีการเติบโตระดับ 15-20% ต่อปีในปี 2015-2016 และยังมีปัจจัยหนุนการการเติบโต อาทิเช่น การหันมาสนใจในสุขภาพ ด้านรูปลักษณ์ของประชาชน เทคโนโลยีที่ปรับเปลี่ยนดีขึ้น ประชากรที่เป็นกลุ่มผู้สูงอายุที่มากขึ้น จะเป็นช่วยหนุนการเติบโตของธุรกิจ
เป็นอีกปีที่ผลประกอบการจะยังเติบโตสูง
เราปรับลดประมาณการผลประกอบการของเราลงเล็กน้อย เพื่อสะท้อนกลยุทธ์ของบริษัทในการไม่เน้นการขยายสาขาวุฒิศักดิ์คลินิค เนื่องจากเดิมเรามองว่าบริษัทจะเพิ่มจำนวนสาขาของบริษัทอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมุมมองที่มีต่อธุรกิจจำหน่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ของบริษัท
โดยเรามองว่าในปีนี้จะเป็นอีกปีหนึ่งที่ EFORL ยังมีผลประกอบการที่เติบโตได้สูง จากการรับรู้รายได้จากวุฒิศักดิ์เต็มปี และรายได้จากธุรกิจจำหน่ายเครื่องมือทางการแพทย์ที่ยังเติบโตได้ดีโดยเราคาดว่าในปีนี้ EFORL จะมีรายได้ 4,170 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้จากการจำหน่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ 1,282 ล้านบาท (+ 10% YoY) และรายได้จากการให้บริการ 2,888 ล้านบาท ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทยังคงอยู่ในระดับสูงที่ประมาณ 39% จากอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจจำหน่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่อยู่ในระดับสูงที่ประมาณ 36% และการบริหารต้นทุนสำหรับ WCIH ซึ่งจะช่วยเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ที่ประมาณ 39% แต่ด้วยบริษัทต้องมีภาระดอกเบี้ยจ่ายประมาณ 138 ล้านบาท อันเนื่องมาจากการกู้ยืมเพื่อเข้าลงทุนในบริษัท WCIH ส่งผลให้ทั้งปีน่าจะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 440 ล้านบาท เติบโตในระดับสูงที่ 82.9% YoY และคาดว่าจะยังคงมีการเติบโตที่ดีด้วย CAGR 3 ปีที่ 13% (ปี 2015-2018)
การประเมินมูลค่าเหมาะสมด้วยวิธี DCF ได้มูลค่าที่เหมาะสม 2 บาทต่อหุ้น
จากการปรับลดประมาณการผลประกอบการของเรา ราคาเป้าหมายหมายใหม่ของเราอยู่ที่ 2 บาท จากเดิม 2.50 บาท โดยเราใช้วิธีประเมินมูลค่าด้วยวิธีลดกระแสเงินสด (DCF) ด้วย WACC 10.5% (risk free rate 2.5% , risk premium 9.2% และ beta 0.8 เท่า) หรือคิดเป็น PER ที่ 40 เท่าปี 2015F ด้วย PEG เพียง 0.10 เท่า เนื่องจากบริษัทมีผลประกอบการที่เติบโตอยู่ในระดับสูง เมื่อเปรียบเทียบกับธุรกิจโรงพยาบาลที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ได้แก่ หุ้นในกลุ่มโรงพยาบาล 4 บริษัท (BDMS, BCH, CHG, BCH) ซึ่งมีการซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่ PER 35x ด้วย PEG เฉลี่ย 2.02 เท่า ปัจจุบัน ราคาหุ้น EFORL ปรับตัวลงมาค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับ SET เรามองว่า EFORL ยังมีแนวโน้มที่ดีทั้งในแง่การเติบโตของผลประกอบการและแนวโน้มธุรกิจ ดังนั้น เรายังคงแนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมาย 2 บาท (DCF) ปัจจัยเสี่ยงมาจาก1) ภาวะเศรษฐกิจที่กระทบต่อการใช้จ่ายผู้บริโภค 2) การขาดบุคลากรที่เชี่ยวชาญ 3) การไม่ได้รับใบอนุญาตการจัดจำหน่ายจากเจ้าของแบรนด์
โทรศัพท์: (66) 2633-6999 โทรสาร: (66) 2633-6490 E-mail:
[email protected]
โดย สำนักวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ประจำวันที่ 09 มี.ค. 2558
----------------------------------------------------------------------------------------------------------
รายงานฉบับนี้ไม่ถือว่าเป็นคำเสนอหรือคำชี้ชวนให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ และจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะเพื่อประโยชน์แก่บุคคลที่เกี่ยวข้องกับบริษัทเท่านั้น มิให้นำไปเผยแพร่ทางสื่อมวลชนหรือโดยทางอื่นใด ทิสโก้ไม่ต้องรับผิดต่อความเสียหายใดๆ ที่เกิดขึ้นโดยตรงหรือเป็นผลจากการใช้เนื้อหาหรือรายงานฉบับนี้ การนำไปซึ่งข้อมูล บทความ บทวิเคราะห์ และการคาดหมายทั้งหลายที่ปรากฏอยู่ในรายงานฉบับนี้เป็นการนำไปใช้โดยผู้ใช้ยอมรับความเสี่ยงและเป็นดุลยพินิจของผู้ใช้แต่ผู้เดียว
-จจ-