A Golden Decade of Thai Value Investors
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ม.ค. 25, 2015 5:12 pm
ดร นิเวศน์ได้รับเชิญไปบรรยายเรื่องvalue investing ให้กับ นักลงทุนVI สิงค์โปร์ฟังเมื่อวันที่ 24มกราคม2558 อาจารย์ได้รับคำเชิญจาก บริษัท 8i ที่เป็นบริษัทที่จัดสัมมนาการลงทุนแบบ VI ในสิงค์โปร์ ให้ไปพูดในหัวข้อเรื่อง Value investing in Thailand ในการสัมมนาประจำปีที่จัดมาแล้วเป็นปีที่สี่ที่สิงค์โปร์ ชื่อว่า Value Investor summit 2014 มีคนเข้าร่วมฟังประมาณ1500 คนและช่วงที่อาจารย์บรรยายถือเป็นhighlight ของงานเลยที่เดียว โดยในโบร์ชัวร์เขียนว่าผู้เข้าร่วมสัมมนาจะได้พบกับ the warren buffet of Thailand โดยเนื้อหาที่อาจารย์บรรยายน่าสนใจเลยนำมาสรุปให้ฟัง สำหรับคนที่พลาดโอกาสครับ
เริ่มต้นด้วยพิธีกรกล่าวนำเกี่ยวกับประวัติการลงทุนที่เริ่มต้นจากการทำงานเป็นวิศวกร เป็นผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์และลาออกช่วงวิกฤตการการณ์ต้มยำกุ้ง มาลงทุนเป็นระยะเวลา 18ปี จากเงิน 300000 เหรียญสหรัฐ เป็น 100ล้านเหรียญ ช่วงนี้มีเสียงฮือฮาในห้องประชุมอาจารย์เริ่มต้นพูดโดยออกตัวว่าครั้งนี้เป็นการพูดครั้งแรกในpublicที่เป็นภาษาอังกฤษในต่างประเทศ ด้วยความไม่ชำนาญ เลยอาจจะพูดตลกเป็นภาษาอังกฤษได้ไม่เก่ง no joke in my presentation เรียกเสียงหัวเราะได้ตั้งแต่เริ่มงาน
ช่วงแรกอาจารย์ เริ่มต้นว่าจะพูดในหัวข้อเรื่อง a golden decade of thai value investor โดยอาจารย์แบ่งการบรรยายทั้งหมดออกเป็นห้าส่วน โดยส่วนแรกอาจารย์พูดถึงสภาวะเศรษฐกิจของไทยและตลาดหุ้นไทย โดยบอกว่าช่วงก่อนต้มยำกุ้งไทยมีอัตราาการเจริญเติบโตเศรษฐกิจที่สูงมากโดยเฉลี่ยร้อยละ9 %มาหลายปีจจนหลังจากต้มยำกุ้งเป็นต้นไปอัตราการเจริญเติบโตลดลงมาเหลือประมาณร้อยละ5และช่วงหลังจากhamberger crisisอัตราการขยายตัวลดลงขยายตัวในระดับที่ต่ำประมาณร้อยละ3 เนื่องจากสาเหตูทางด้านการเมืองจนปัจจุบัน ทางด้านอัตราดอกเบี้ยอัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์เคยสูงถึงร้อยละ5ช่วงก่อนต้มยำกุ้งแล้วลงมาเหลือร้อยละ 0.54ในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางภาคเงินของบริษัทจดทะเบียนโดยมีการลงทุนcapital expenditureที่ต่ำลง
ส่วนภาพรวมตลาดหุ้น ไทยผ่านยุคที่เรียกว่าบูมหนักๆมาสองครั้งครั้งแรกช่วงก่อนต้มยำกุ้งดัชนีเพิ่มขึ้น14ปีโดยเฉลี่ยโตปีละ16%และหลังจากต้มยำกุ้งลดลง90%ในเวลาเพียงสามปีช่วงบูมที่สองเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2000จนมาถึงปัจจุบันโดยช่วงนี้ถ้าลงทุนบาทนึงถือจนถึงปจตุบันจะมีมูลค่า8บาท แล้วอาจารย์ก็โชว์หนังสือตีแตกที่เป็นหนังสือที่อาจารย์เริ่มเขียนตั้งแต่ช่วงเริ่มลงทุนใหม่จนปัจจุบันยังขายดีอยู่ในเมืองไทย ถือเป็นการเปิดศักราชการลงทุนแบบเน้นคุณค่าในเมืองไทยเป็นคนแรก
ช่วงที่สองอาจารย์พูดถึงสามปัจจัยทีผลักดันให้การตลาดหุ้นเติบโตอย่างมากในช่วง18ปีทีผ่านมาก
ปัจจัยแรกคือการเติบโตของกำไรของบริษัทจดทะเบียน โดยที่ผ่านมาใน12ปีหลังวิกฤตต้มยำกุ้งกำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโตขึ้น 117%เฉลี่ยเติบโตปีละ6.7% เลยผลักดันให้ดัชนีเพิ่มจาก305ไป1299 เติบโตขึ้น 326%หรือเฉลี่ยร้อยละ12.87%ต่อปี
ปัจจัยที่สองคือการre rated valuation ของตลาดหุ้นในไทยโดยช่วงปี1997-2008ตลาดไทยเทรดอยู่ที่peต่ำกว่า10และตั้งแต่ช่วงหลังhambergercrisisตลาดไทยเทรดอยู่ที่peระหว่าง15-19ใกล้เคียงช่วงสูงในอดีต
ปัจจัยที่สามคือกระแสการลงทุนของชนชั้นกลางในตลาดหุ้นไทย โดยอาจารย์ยกตัวอย่างว่าที่ผ่านมาอัตราการว่างงานอยูในระดับที่ต่ำมาตลอดอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ ชนชั้นทำงานเริ่มอายุมากขึ้นเริ่มแสวงหาการลงทุนที่มีผลตอบแทนสูงมากกว่าการฝากเงิน เลยเอาเงินมาลงทุนในตลาดหุ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ช่วงที่สามอาจารย์บรรยายถึงกลยุทธvalue investing ที่ได้ผลในการที่ผ่านมาที่ใช้กับตลาดหุ้นไทยแบ่งเป็นสามกลยุทธหลักๆ
กลยุทธแรกคือกลยุทธของ ben graham ที่เน้นหุ้นที่ราคาถูก peต่ำหรือpbต่ำ โดยอาจารย์บอก young vi ของไทยได้มีการดัดแปลงกลยุทธของben graham ออกไปยกตัวอย่างเช่น bengraham ไม่เคยใช้มาร์จืน นักลงทุนไทยจะใช้มาร์จิน ben grahanm เน้นการdiversify นักลงทุนไทยถือหุ้นน้อยตัวมากบางคนถือตัวเดียวเลย นอกจากนี้นักลงทุนไทยยังนิยมลงทุนในบริษัทขนาดเล็กที่มีfreefloatไม่มาก มีอัตราการเจริญเติบโตพอควร รวมทั้งถ้ามีข่าวดีหรือการประชาสัมพันธ์บริษัทเก่งๆจะถือเป็นตัวเร่งราคาได้และจะขายต่อเมื่อหุ้นตัวนั้นเริ่มเป็นที่นิยมหรือขึ้นมาแล้วหลายเท่า ซึ่งผลกระทำการลงทุนดังกล่าวทำให้ดัชนีในตลาดmaiเติบโตขึ้นมา4เท่าใน6 มีpeที่80เท่า ทำให้ตอนนี้แทบจะไม่มีcheap stockในตลาดหุ้น
กลยุทธที่สองเป็นกลยุทธที่อาจารย์ใช้ในปัจจุบันคือกลยุทธของwarren buffetที่เรียกว่าsuper stock investment อาจารย์อธิบายการลงทุนในแบบของอาจารย์ว่าเป็นเป็นการลงทุนหุ้นประมาณซัก20ตัวแต่มี5-6ตัวที่มีสัดส่วนประมาณร้อยละ70ของport ลงทุนเต็มportเกือบตลอดโดยถือเงินสดแค่เพียงหนึ่ง%แค่พอค่าใช้จ่ายประจำวัน รถใช้รถบริษัท บ้านอยู่บ้่านแม่ยาย ช่วงนี้เรียกเสียงฮือฮาได้พอสมควร ถือนานตราบที่บริษัทยังคงดีอยู่โดยเฉลี่ยเป็นเวลาหลายปี ขายเมื่อมีโอกาสการลงทุนที่ดีกว่าหรือบริษัทมีปัญหาพื้นฐานที่เปลี่ยนไป ผลตอบแทนการลงทุนหุ้นแต่ละตัวไม่ต่ำกว่า10เด้ง ช่วงนี้vi สิงค์โปร์อึ้งไปเล็กน้อยอาจารย์กล่าวปิดท้ายว่าถ้าไม่เห็นโอกาสหุ้นตัวไหนได้ 10เด้งจะไม่ลงทุน
ช่วงนี้อาจารย์ยกตัวอย่างราคาหุ้นที่ขึ้น10เด้งทั้งที่อาจารย์ถือและไม่ถือมาให้ดู มี mint centel scblifตัวนี้100เด้ง bigc cpall makro hmpro robins bgh jas cpn bh advanc
กลยุทธที่สามคือกลยุทธที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์เลือกมาให้โดยอาจารย์อ้างอิงการใช้สูตรที่ อ ไพบูลย์ทำงานวิจัยเรื้องนี้ไว้ โดยใช้กฎเลือกหุ้นpeต่ำกว่า10pbต่ำกว่า1และปันผลมากว่าร้อยละ3ซื้อต้นปีขายปลายปีจากการย้อนกลับไปทดสอบได้ผลว่าตั้งแต่ปี1996-2010อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี 36.69ดัชนีขึ้นแค่เพียง2.4ต่อปี เงินลงทุนจาก1ล้านเป็น108.7ล้านบาท อีกแบบนึงใช้fomularของ joel greenblattจากหนังสือlittle book that beat the marketเลือกหุ้นเรียงลำดับpe roeแล้วคัดตัวที่คะแนนเข้าเกณมา30ตัวลงทุนปรากฎว่าได้ผลตบแทนสูงมากร้อยละ 66.18เปอรเซนต่อปี ถ้าลงเงิน1บาทจะกลายเป็น2035บาทใน15ปี อาจารย์ใช้เล่าว่าอาจารย์ใช้สูตรนี้ลงในเวียดนามแต่ปัจจุบันยังขาดทุนอยู่
ช่วงที่สี่อาจารย์พูดถึงผลตอบแทนการลงทุน18ปีที่ผ่านมา มีผลตอบแทนติดลบอยู่2ปี แพ้ตลาด สามปี ผลตอบแทนเฉลี่ยการลงทุนต่อปี42.9 ทบต้น 36.1ชนะตลาดที่ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณร้อยละ10 โดยเปรียบเทียบว่าถ้าลงทุน1ล้าน18ปีจะเพิ่มขึ้น256เด้ง ทำเอาviสิงค์โปร์มีอึ้งครั้งที่สองปรบมือกันเกรียวกราว อาจารย์มีtipฝากถึงการลงทุนในช่วงนี้ว่า การอยู่ถูกที่ถูกเวลาเป็นเรืี่องสำคัญ vi ควรเข้าใจเรื่องพฤติกรรมสังคมแนวโน้มพฤติกรรมผู้บริโภค ลงทุนในบริษัทที่มีการเติบโตของกำไรเป็นสำคัญ ทุกคนควรจะลงทุนในหุ้นเพราะผลตอบแทนสูงเมืีอเทียบกับการฝากเงิน
ส่วนสุดท้ายอาจารย์พูดอนาคตต่อจากนี้ อาจารย์คิดว่าเป็นการจบยุคทองของการลงทุนแบบviที่ได้ผลตอบแทนสูงๆอย่างในอดีตเนืีองจากสาเหตุสามประการประการแรกอ้างอิงจาก arthur plewus turing point ที่ว่ายุคขงค่าแรงถูกหมดลงต่อไปการจริญเติบโตกำไรจะเริ่มช้าลง ประการที่สองอัตารดอกเบี้ยมาถึงจุดต่ำสุดและมีแต่แนวโน้มขึ้น ประการที่สามตลาดหุ้นไทยเทรดที่peสูงเกินไป อนาคตน่าจะลงมายู่ในระดับที่ต่ำกว่านี้
ประเทศไหนที่น่าลงทุนต่อจากนี้อาจารย์ยังคิดว่าน่าจะอยู่ในแถบaseanโดยน่าจะเป็นประเทศที่มีศักยภาพในอนาคตน่าเป็นประเทศที่มีระดับคนที่อยู่ในช่วงวัย0-14และวัยทำงานทึ่สูงเช่นฟิลิปินส์ อินโด มาเล โดยยกตัวอย่างไทยกับสิงค์โปร์มีน้อยไป และประเทศที่น่าสนใจในการลงทุนในสายตาอาจารย์มีเวียดนามกับจีนเนื่องจากpeตลาดรวมค่อนข้างต่ำด้วย
พอดีพึ่งเขียนสรุปเป็นครั้งแรกฝีมืออาจไม่เท่า i salamon ต้องขอโทษมาณ ที่นี้ด้วยหากมีข้อผิดพลาดจากการแปล
เริ่มต้นด้วยพิธีกรกล่าวนำเกี่ยวกับประวัติการลงทุนที่เริ่มต้นจากการทำงานเป็นวิศวกร เป็นผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์และลาออกช่วงวิกฤตการการณ์ต้มยำกุ้ง มาลงทุนเป็นระยะเวลา 18ปี จากเงิน 300000 เหรียญสหรัฐ เป็น 100ล้านเหรียญ ช่วงนี้มีเสียงฮือฮาในห้องประชุมอาจารย์เริ่มต้นพูดโดยออกตัวว่าครั้งนี้เป็นการพูดครั้งแรกในpublicที่เป็นภาษาอังกฤษในต่างประเทศ ด้วยความไม่ชำนาญ เลยอาจจะพูดตลกเป็นภาษาอังกฤษได้ไม่เก่ง no joke in my presentation เรียกเสียงหัวเราะได้ตั้งแต่เริ่มงาน
ช่วงแรกอาจารย์ เริ่มต้นว่าจะพูดในหัวข้อเรื่อง a golden decade of thai value investor โดยอาจารย์แบ่งการบรรยายทั้งหมดออกเป็นห้าส่วน โดยส่วนแรกอาจารย์พูดถึงสภาวะเศรษฐกิจของไทยและตลาดหุ้นไทย โดยบอกว่าช่วงก่อนต้มยำกุ้งไทยมีอัตราาการเจริญเติบโตเศรษฐกิจที่สูงมากโดยเฉลี่ยร้อยละ9 %มาหลายปีจจนหลังจากต้มยำกุ้งเป็นต้นไปอัตราการเจริญเติบโตลดลงมาเหลือประมาณร้อยละ5และช่วงหลังจากhamberger crisisอัตราการขยายตัวลดลงขยายตัวในระดับที่ต่ำประมาณร้อยละ3 เนื่องจากสาเหตูทางด้านการเมืองจนปัจจุบัน ทางด้านอัตราดอกเบี้ยอัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์เคยสูงถึงร้อยละ5ช่วงก่อนต้มยำกุ้งแล้วลงมาเหลือร้อยละ 0.54ในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางภาคเงินของบริษัทจดทะเบียนโดยมีการลงทุนcapital expenditureที่ต่ำลง
ส่วนภาพรวมตลาดหุ้น ไทยผ่านยุคที่เรียกว่าบูมหนักๆมาสองครั้งครั้งแรกช่วงก่อนต้มยำกุ้งดัชนีเพิ่มขึ้น14ปีโดยเฉลี่ยโตปีละ16%และหลังจากต้มยำกุ้งลดลง90%ในเวลาเพียงสามปีช่วงบูมที่สองเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2000จนมาถึงปัจจุบันโดยช่วงนี้ถ้าลงทุนบาทนึงถือจนถึงปจตุบันจะมีมูลค่า8บาท แล้วอาจารย์ก็โชว์หนังสือตีแตกที่เป็นหนังสือที่อาจารย์เริ่มเขียนตั้งแต่ช่วงเริ่มลงทุนใหม่จนปัจจุบันยังขายดีอยู่ในเมืองไทย ถือเป็นการเปิดศักราชการลงทุนแบบเน้นคุณค่าในเมืองไทยเป็นคนแรก
ช่วงที่สองอาจารย์พูดถึงสามปัจจัยทีผลักดันให้การตลาดหุ้นเติบโตอย่างมากในช่วง18ปีทีผ่านมาก
ปัจจัยแรกคือการเติบโตของกำไรของบริษัทจดทะเบียน โดยที่ผ่านมาใน12ปีหลังวิกฤตต้มยำกุ้งกำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโตขึ้น 117%เฉลี่ยเติบโตปีละ6.7% เลยผลักดันให้ดัชนีเพิ่มจาก305ไป1299 เติบโตขึ้น 326%หรือเฉลี่ยร้อยละ12.87%ต่อปี
ปัจจัยที่สองคือการre rated valuation ของตลาดหุ้นในไทยโดยช่วงปี1997-2008ตลาดไทยเทรดอยู่ที่peต่ำกว่า10และตั้งแต่ช่วงหลังhambergercrisisตลาดไทยเทรดอยู่ที่peระหว่าง15-19ใกล้เคียงช่วงสูงในอดีต
ปัจจัยที่สามคือกระแสการลงทุนของชนชั้นกลางในตลาดหุ้นไทย โดยอาจารย์ยกตัวอย่างว่าที่ผ่านมาอัตราการว่างงานอยูในระดับที่ต่ำมาตลอดอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ ชนชั้นทำงานเริ่มอายุมากขึ้นเริ่มแสวงหาการลงทุนที่มีผลตอบแทนสูงมากกว่าการฝากเงิน เลยเอาเงินมาลงทุนในตลาดหุ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ช่วงที่สามอาจารย์บรรยายถึงกลยุทธvalue investing ที่ได้ผลในการที่ผ่านมาที่ใช้กับตลาดหุ้นไทยแบ่งเป็นสามกลยุทธหลักๆ
กลยุทธแรกคือกลยุทธของ ben graham ที่เน้นหุ้นที่ราคาถูก peต่ำหรือpbต่ำ โดยอาจารย์บอก young vi ของไทยได้มีการดัดแปลงกลยุทธของben graham ออกไปยกตัวอย่างเช่น bengraham ไม่เคยใช้มาร์จืน นักลงทุนไทยจะใช้มาร์จิน ben grahanm เน้นการdiversify นักลงทุนไทยถือหุ้นน้อยตัวมากบางคนถือตัวเดียวเลย นอกจากนี้นักลงทุนไทยยังนิยมลงทุนในบริษัทขนาดเล็กที่มีfreefloatไม่มาก มีอัตราการเจริญเติบโตพอควร รวมทั้งถ้ามีข่าวดีหรือการประชาสัมพันธ์บริษัทเก่งๆจะถือเป็นตัวเร่งราคาได้และจะขายต่อเมื่อหุ้นตัวนั้นเริ่มเป็นที่นิยมหรือขึ้นมาแล้วหลายเท่า ซึ่งผลกระทำการลงทุนดังกล่าวทำให้ดัชนีในตลาดmaiเติบโตขึ้นมา4เท่าใน6 มีpeที่80เท่า ทำให้ตอนนี้แทบจะไม่มีcheap stockในตลาดหุ้น
กลยุทธที่สองเป็นกลยุทธที่อาจารย์ใช้ในปัจจุบันคือกลยุทธของwarren buffetที่เรียกว่าsuper stock investment อาจารย์อธิบายการลงทุนในแบบของอาจารย์ว่าเป็นเป็นการลงทุนหุ้นประมาณซัก20ตัวแต่มี5-6ตัวที่มีสัดส่วนประมาณร้อยละ70ของport ลงทุนเต็มportเกือบตลอดโดยถือเงินสดแค่เพียงหนึ่ง%แค่พอค่าใช้จ่ายประจำวัน รถใช้รถบริษัท บ้านอยู่บ้่านแม่ยาย ช่วงนี้เรียกเสียงฮือฮาได้พอสมควร ถือนานตราบที่บริษัทยังคงดีอยู่โดยเฉลี่ยเป็นเวลาหลายปี ขายเมื่อมีโอกาสการลงทุนที่ดีกว่าหรือบริษัทมีปัญหาพื้นฐานที่เปลี่ยนไป ผลตอบแทนการลงทุนหุ้นแต่ละตัวไม่ต่ำกว่า10เด้ง ช่วงนี้vi สิงค์โปร์อึ้งไปเล็กน้อยอาจารย์กล่าวปิดท้ายว่าถ้าไม่เห็นโอกาสหุ้นตัวไหนได้ 10เด้งจะไม่ลงทุน
ช่วงนี้อาจารย์ยกตัวอย่างราคาหุ้นที่ขึ้น10เด้งทั้งที่อาจารย์ถือและไม่ถือมาให้ดู มี mint centel scblifตัวนี้100เด้ง bigc cpall makro hmpro robins bgh jas cpn bh advanc
กลยุทธที่สามคือกลยุทธที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์เลือกมาให้โดยอาจารย์อ้างอิงการใช้สูตรที่ อ ไพบูลย์ทำงานวิจัยเรื้องนี้ไว้ โดยใช้กฎเลือกหุ้นpeต่ำกว่า10pbต่ำกว่า1และปันผลมากว่าร้อยละ3ซื้อต้นปีขายปลายปีจากการย้อนกลับไปทดสอบได้ผลว่าตั้งแต่ปี1996-2010อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี 36.69ดัชนีขึ้นแค่เพียง2.4ต่อปี เงินลงทุนจาก1ล้านเป็น108.7ล้านบาท อีกแบบนึงใช้fomularของ joel greenblattจากหนังสือlittle book that beat the marketเลือกหุ้นเรียงลำดับpe roeแล้วคัดตัวที่คะแนนเข้าเกณมา30ตัวลงทุนปรากฎว่าได้ผลตบแทนสูงมากร้อยละ 66.18เปอรเซนต่อปี ถ้าลงเงิน1บาทจะกลายเป็น2035บาทใน15ปี อาจารย์ใช้เล่าว่าอาจารย์ใช้สูตรนี้ลงในเวียดนามแต่ปัจจุบันยังขาดทุนอยู่
ช่วงที่สี่อาจารย์พูดถึงผลตอบแทนการลงทุน18ปีที่ผ่านมา มีผลตอบแทนติดลบอยู่2ปี แพ้ตลาด สามปี ผลตอบแทนเฉลี่ยการลงทุนต่อปี42.9 ทบต้น 36.1ชนะตลาดที่ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณร้อยละ10 โดยเปรียบเทียบว่าถ้าลงทุน1ล้าน18ปีจะเพิ่มขึ้น256เด้ง ทำเอาviสิงค์โปร์มีอึ้งครั้งที่สองปรบมือกันเกรียวกราว อาจารย์มีtipฝากถึงการลงทุนในช่วงนี้ว่า การอยู่ถูกที่ถูกเวลาเป็นเรืี่องสำคัญ vi ควรเข้าใจเรื่องพฤติกรรมสังคมแนวโน้มพฤติกรรมผู้บริโภค ลงทุนในบริษัทที่มีการเติบโตของกำไรเป็นสำคัญ ทุกคนควรจะลงทุนในหุ้นเพราะผลตอบแทนสูงเมืีอเทียบกับการฝากเงิน
ส่วนสุดท้ายอาจารย์พูดอนาคตต่อจากนี้ อาจารย์คิดว่าเป็นการจบยุคทองของการลงทุนแบบviที่ได้ผลตอบแทนสูงๆอย่างในอดีตเนืีองจากสาเหตุสามประการประการแรกอ้างอิงจาก arthur plewus turing point ที่ว่ายุคขงค่าแรงถูกหมดลงต่อไปการจริญเติบโตกำไรจะเริ่มช้าลง ประการที่สองอัตารดอกเบี้ยมาถึงจุดต่ำสุดและมีแต่แนวโน้มขึ้น ประการที่สามตลาดหุ้นไทยเทรดที่peสูงเกินไป อนาคตน่าจะลงมายู่ในระดับที่ต่ำกว่านี้
ประเทศไหนที่น่าลงทุนต่อจากนี้อาจารย์ยังคิดว่าน่าจะอยู่ในแถบaseanโดยน่าจะเป็นประเทศที่มีศักยภาพในอนาคตน่าเป็นประเทศที่มีระดับคนที่อยู่ในช่วงวัย0-14และวัยทำงานทึ่สูงเช่นฟิลิปินส์ อินโด มาเล โดยยกตัวอย่างไทยกับสิงค์โปร์มีน้อยไป และประเทศที่น่าสนใจในการลงทุนในสายตาอาจารย์มีเวียดนามกับจีนเนื่องจากpeตลาดรวมค่อนข้างต่ำด้วย
พอดีพึ่งเขียนสรุปเป็นครั้งแรกฝีมืออาจไม่เท่า i salamon ต้องขอโทษมาณ ที่นี้ด้วยหากมีข้อผิดพลาดจากการแปล