ทฤษฎีปาร์ตี้ของปีเตอร์ ลินซ์/วิบูลย์ พึงประเสริฐ
โพสต์แล้ว: อังคาร ธ.ค. 16, 2014 8:59 pm
โค้ด: เลือกทั้งหมด
ช่วงนี้ตลาดหุ้นไทยกำลังร้อนแรง นักลงทุนหน้าใหม่จำนวนมากกำลังเดินเข้าตลาดหุ้นเนื่องจากทนความเย้ายวนของผลกำไรที่ได้ของนักลงทุนรุ่นก่อนหน้าไม่ไหว หลายคนโพสอวดรถใหม่หรือนาฬิกาหรูที่ได้มาจากการทำเงินในตลาดหุ้นยิ่งเป็นเหมือนการกระตุ้นความโลภของเพื่อนๆที่พบเห็นโพสเหล่านั้นในโลกโซเชียลมีเดีย จากบัญชีนักลงทุนรายย่อยในตลาดหุ้นไทยเพียงหนึ่งแสนบัญชีเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ปัจจุบันบัญชีซื้อขายหุ้นของรายย่อยมีถึงหนึ่งล้านบัญชี แสดงว่านักลงทุนเพิ่มเข้ามาเกือบสิบเท่าในช่วงเวลาที่ผ่านมา
การกล่าวถึงระดับความนิยมของตลาดหุ้นนั้น ปีเตอร์ ลินซ์เป็นผู้ที่ให้ข้อคิดเห็นได้อย่างดีมากใน”ทฤษฎีงานปาร์ตี้” (The Cocktail Party Theory) ที่เขาคิดขึ้นมาเองจากประสบการณ์การเป็นผู้จัดการกองทุนมากว่า 20 ปีและเขียนไว้ในหนังสือ”เหนือกว่าวอลสตรีท”ของเขา (One Up on Wall Street) ลินซ์แบ่งตลาดหุ้นออกเป็น 4 ระดับดังนี้
ระดับที่หนึ่ง ตลาดหุ้นกำลังตกต่ำและเพิ่งผ่านพ้นความหายนะมาหมาดๆ ไม่มีใครพูดถึงตลาดหุ้น ในงานปาร์ตี้ ผู้คนชอบพูดกับหมอฟันเกี่ยวกับเรื่องคราบหินปูนมากกว่าที่จะพูดกับปีเตอร์ ลินซ์เกี่ยวกับหุ้น ในช่วงนี้แสดงว่าตลาดหุ้นกำลังเริ่มที่จะปรับตัวขึ้น
ในประเทศไทย สถานการณ์เช่นนี้ทำให้นึกถึงตลาดหุ้นในช่วงปี 2540 หลังจากที่มีการลดค่าเงินบาท ตลาดหุ้นตกจาก 1,700 จุดลงมาเหลือเพียง 200 จุด ช่วงนั้นนักลงทุนรายย่อยต่างเจ๊งหุ้นกันถ้วนหน้า ไม่มีใครเอ่ยถึงคำว่าตลาดหุ้น ทุกคนต่างเมินหน้าหนีจากตลาด คนที่ยังถือหุ้นอยู่ต่างขาดทุนกันแทบทุกคน ส่วนคนที่ขายออกไปมักจะขายขาดทุนเสมอ หาคนที่ทำกำไรจากตลาดหุ้นช่วงนั้นน้อยมากๆ หลายคนเลิกเล่นหุ้นหันไปประกอบอาชีพด้านอื่น เป็นช่วงเวลาแห่งความหดหู่ในการลงทุนในตลาดหุ้น ผู้เขียนยังจำได้ว่าในช่วงนั้นรัฐบาลมีนโยบายให้ซื้อกองทุนอาร์เอ็มเอฟ (RMF) เพื่อนำมาลดหย่อนภาษี ผู้เขียนต้องการซื้อกองทุนหุ้น 100 เปอร์เซนต์ ปรากฏว่าเพื่อนที่เป็นผู้จัดการกองทุนบอกว่าอย่าซื้อกองทุนหุ้น ให้ซื้อกองทุนพันธบัตรแทน ถ้าซื้อกองทุนหุ้นจะไม่ยอมขายให้ แสดงให้เห็นว่าช่วงนั้นตลาดหุ้นแย่สุดๆเลยทีเดียว
ระดับที่สอง ผู้คนเริ่มพูดถึงตลาดหุ้นในงานเลี้ยง แต่ส่วนใหญ่จะมองว่าเป็นการลงทุนที่เสี่ยงเกินไป คนในงานยังชอบคุยกับหมอฟันมากกว่าที่จะคุยกับปีเตอร์ ลินซ์เรื่องหุ้น ตอนนี้ตลาดน่าจะปรับตัวขึ้นประมาณ 15 เปอร์เซนต์
ในช่วงสิบปีที่ผ่านมาก่อนหน้าที่จะเกิดวิกฤติซัพไพร์ม ผู้คนส่วนใหญ่มองว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมีความเสี่ยงสูง หลายคนไม่ยอมลงทุนในหุ้นหรือกองทุนหุ้น แต่ไปซื้อกองทุนพันธบัตรหรือฝากเงินแทน ตลาดหุ้นไทยช่วงนั้นอยู่ระหว่าง 400-600 จุดและขึ้นๆลงๆอยู่ตลอดเวลา มีหลายครั้งที่ขึ้นไปถึง 700 จุดและตกลงมาอย่างรุนแรงทำให้หลายคนมองว่าเสี่ยงเกินไป นักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่เป็นการซื้อขายเก็งกำไร การลงทุนแบบเน้นคุณค่าหรือวีไอเป็นเพียงกลุ่มเล็กๆในตลาดที่ไม่มีคนสนใจมากนัก
ระดับที่สาม ทุกคนในงานรวมถึงหมอฟันพูดถึงตลาดหุ้นและรุมล้อมปีเตอร์ ลินซ์เพื่อถามว่าซื้อหุ้นอะไรดี ทุกคนในงานเลี้ยงซื้อขายหุ้นกันแทบทุกคนและไม่มีใครไม่พูดถึงตลาดหุ้น ช่วงนี้ตลาดเริ่มสูงขึ้น 30 เปอร์เซนต์
ตลาดหุ้นไทยปัจจุบันเริ่มเหมือนระดับสามของทฤษฎีของลินซ์ ทุกวันนี้ทุกคนต่างพูดถึงการลงทุนในตลาดหุ้น ไม่ว่าจะเป็นแม่บ้าน พนักงานออฟฟิศหรือแม้แต่คนขับแท็กซี่ เพื่อนคนหนึ่งเล่าว่าวันหนึ่งขึ้นแท็กซี่ปรากฏว่าคนขับแท็กซี่ชวนคุยเรื่องหุ้น เพื่อนคนนั้นถึงกับงะจังงัง นึกไม่ถึงว่าตลาดหุ้นจะดึงดูดคนทุกอาชีพได้มากขนาดนี้ ในงานสัมมนาหุ้นจะพบผู้คนมากกมายตั้งหน้าตั้งตารอเพื่อที่จะเข้าไปฟังกูรูพูดถึงเรื่องหุ้น พอจบงานเหล่านักลงทุนก็เข้าไปห้องล้อมกูรูเหล่านั้นเพื่อที่จะได้รู้ว่าเซียนซื้ออะไรกันอยู่
ระดับสี่ ทุกคนล้อมรอบปีเตอร์ ลินซ์ แต่ที่ต่างจากระดับสามคือในระดับที่แล้วผู้คนถามลินซ์ว่าซื้อหุ้นอะไรดี แต่ในระดับสี่ผู้คนจะบอกลินซ์ว่าซื้อหุ้นตัวนั้นตัวนี้ซิดี แม้แต่หมอฟันยังบอกลินซ์ว่าตอนนี้เขาเล่นหุ้นเป็นอาชีพ อีกไม่กี่วันหุ้นที่คุยกันในงานเลี้ยงนั้นมีราคาสูงขึ้นทุกตัว ในที่สุดเพื่อนบ้านของลินซ์ยังมาบอกลินซ์ว่าให้ซื้อหุ้นตัวไหน นี่เป็นสัญญาณว่าตลาดหุ้นกำลังจะตกลงอย่างรุนแรงในเร็วๆนี้