หุ้น comeback ศรัทธาพลิกพอร์ต นเรศ งามอภิชน(2)
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 22, 2014 6:28 pm
หุ้น comeback ศรัทธาพลิกพอร์ต(2)
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, September 22, 2014 06:00
ชาลินี กุลแพทย์
เมื่อ SET INDEX กลับมาจุดพลุในปี 42 จากคนมืดแปดด้าน ฟ้าเปิดทางให้ "นเรศ งามอภิชน" กลายเป็นคนรวยหุ้น "ร้อยล้าน" ก่อนชื่อจะขยับติดโผ "เซียนวีไอพันล้าน" ในปี 51 บุรุษที่เจ้าของ "หุ้นบิ๊กแคป" เต็มใจเอ่ยปาก Welcome
ทักษะการพูดเป็นเลิศ ผสมการลงทุนขั้นเทพ แรงผลักดันชั้นยอดที่ทำให้ "นเรศ งามอภิชน" เซียนหุ้นหลักพันล้าน สามารถเจรจาขอซื้อ "หุ้นบิ๊กล็อต" บริษัทขนาดใหญ่หลายๆ แห่งตรงถึงเจ้าของได้ไม่ยากเย็น
การลงทุนที่ทำให้ "ชายผู้ไม่มีชื่อเล่น" เริ่มถูกจับตามองจากแวดวงตลาดหุ้น คือ การขอซื้อหุ้น บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ หรือ BTS จำนวน 100 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 7.50 บาท มูลค่ารวม 750 ล้านบาท จาก "คีรี กาญจนพาสน์" ในฐานะหุ้นใหญ่ BTS และไล่เก็บหุ้น วี จี ไอ โกลบอล มีเดีย หรือ VGI จนสามารถขึ้นแท่นผู้ถือหุ้นอันดับ 5 สัดส่วน 84 ล้านหุ้น
หลายๆ ดีล ทำให้สำนักงานก.ล.ต.เกิดความเคลือบแคลงสงสัยในตัวเขา เชิญตัวเทรดเดอร์ ประจำตัวเซียนหุ้นไปสอบถามวิธีการลงทุน คือ เรื่องที่ฝ่ายปฎิบัติการณ์ของก.ล.ต. เลือกใช้เพื่อคลายความสงสัย เหตุใดสำนักงานก.ล.ต.ถึงไม่เลือกเชิญ "นเรศ" ไปให้ข้อมูล นั่นคือ เรื่องคาใจของ "วีไอรายใหญ่"
ก่อน "นเรศ" จะขึ้นแท่น "เศรษฐีหุ้น" นั่งบัญชาการซื้อขายหุ้นในห้อง VIP หมายเลข 121 ของ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ที่อยู่บนชั้น 21 อาคารสำนักงาน ดิ ออฟฟิศเศส แอท เซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับ "เสี่ยปู่สมพงษ์ ชลคดีดำรงก, เสี่ยจึง-วิชัย จึงทรัพย์ไพศาล, เสี่ยยักษ์-วิชัย วชิรพงศ์" เขาคือ แมงเม่าเดินตามขาใหญ่คนหนึ่ง
สัปดาห์ก่อน "กรุงเทพธุรกิจ Biz Week" เล่าประวัติการลงทุนเกือบ 30 ปีของ "นเรศ" ว่าเขาเป็นลูกชายคนรอง จากจำนวนพี่น้อง 9 คน ของเจ้าของเครื่องครัวตราสามดาว และตราโลตัส เขาตัดสินใจขอยุติการทำงานของครอบครัว เพื่อออกมาเสี่ยงดวงเล่นหุ้นในปี 2531 ตามคำเชื้อเชิญของเพื่อนนักเรียนนอกที่เพิ่งเรียนจบด้าน MBA ประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยการควักเงินลงทุนก้อนแรก "หลักหมื่นบาท"
แรกเริ่มของการลงทุน แม้จะได้กำไรหลักหมื่นบาทติดต่อกันสิบวันรวด แต่เวลาขาดทุนกลับกินกำไรทั้งหมดที่ได้มา ช่วงที่เกิดความคิดอยากเลิกเล่นหุ้น เขาแอบรู้ความลับของรายใหญ่ว่า พอร์ตโตเพราะไป "ส่องกล้องดูหุ้น" ที่อาคารสินธร เดินตามขาใหญ่ได้ไม่นาน พอร์ตลงทุนก็พุ่งจาก "หลักหมื่นบาท" เป็น "หลักหลายล้านบาท"
ก่อนจะทยายขึ้นสู่ "หลักร้อยล้านบาท"ในปี 2535 หลังย้ายมาซื้อขายที่บล.การทุนไทยช่วงนั้นเขาค้นพบอาชีพใหม่ นั่นคือ ขายใบจองรถยนต์ฮอนด้า หลังยอดผลิตไม่ทันความต้องการ กำไรหลักล้านบาท คือ ตัวเงินที่เขาทำได้ กอดกำไรจากการเล่นหุ้นได้ไม่นาน ชีวิตลงทุนเดินทางสู่ด้านมืดช่วงต้นปี 2537 หลังนักลงทุนต่างชาติกระหน่ำขายหุ้นไม่ยั้ง
"นเรศ" ประสบปัญหา "ขาดทุนหนัก"โกยเงินกลับมาเพียง 20-30 เปอร์เซ็นต์ของพอร์ต ช่วงนั้นเขาใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการเข้าวัดนั่งสมาธิ และไปเป็นที่ปรึกษาธุรกิจครอบครัวให้กับน้องๆ ตอนนั้น "นเรศ" เคยมีความคิดจะไปลงทุนทำธุรกิจซุปเปอร์มาร์เก็ต และร้านอาหารไทยในเมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ตามคำชักชวนของเพื่อนที่เป็นเจ้าของธุรกิจ ซึ่งเจอกันในวัด สุดท้ายเขาตัดสินใจไม่ลงทุน เพราะเชื่อว่าอีกไม่นาน SET INDEX จะดีดกลับมาเหมือนเดิม
รอยยิ้มมาเยือนอีกครั้ง
"กูรูหุ้นรายใหญ่" เล่าว่า ผ่านมาถึงปี 2541 ตลาดหุ้นลงมาซื้อขายแถวๆ 400 จุด ออกแนวนิ่งๆ หลังเพิ่งผ่านพ้นวิกฤติต้มยำกุ้ง ทำให้เกิดความคิดที่ว่า หุ้นไทยคงลงมาต่ำสุดแล้ว จึง ตัดสินใจนำเงินที่เหลือติดพอร์ตประมาณ 5 ล้านบาท ไปเปิดพอร์ตกับบล.พัฒนสิน สาขาปิ่นเกล้า ซึ่งเป็นสาขาใกล้บ้าน เพื่อนสนิทที่บอกว่าจบจากประเทศสหรัฐอเมริกา เขาเลิกเก็งกำไรหุ้นไปเลย แต่มีลงทุนบ้างเล็กน้อย ส่วนใหญ่ใช้ชีวิตไปกับการทำธุรกิจกระจก
ครั้งหนึ่งเคยมีเพื่อนบอกว่า อยากส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ ตอนนั้นผมค้านสุดตัว และบอกเขาว่า ในภาวะแย่ๆ แบบนี้ต้องรู้จักประหยัด เงินทุนสำคัญมากในช่วงที่อะไรๆ ก็ไม่ดี ผมขอให้เขาเก็บเงินไว้ลงทุน เมื่อถึงวันนั้นเขาจะมีเงินส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ แถมยังมีเงินก้อนให้ลูกเป็นทุนอีกด้วย
เมื่อสะสมความรู้เต็มที่ จึงตัดสินใจกลับเข้ามาลงทุนด้วยคอนเซปต์เช่นเคย นั่นคือ เน้นซื้อหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ที่มีการแกว่งไกวสูง ตอนนั้นมีความคิดว่า ดัชนี 400 จุด คงลงมาต่ำสุดแล้ว แต่สุดท้ายไม่เป็นอย่างที่คิด ดัชนียังคงลงต่อจนมายืนแถวๆ 200 จุด แต่ผมไม่กลัว แม้เงินลงทุนจะลดลงจาก 5 ล้านบาท เหลือ 3 ล้านบาท เพราะยังมีความเชื่อที่ว่า ตลาดหุ้นกลับมาแน่ เขาย้ำ เพียงแต่เราอาจเข้ามาลงทุนเร็วไปหน่อย
สุดท้ายความเชื่อเป็นจริง หลังปี 2542 SET INDEX ทะยานขึ้นจาก 200 จุด มายืน 500 จุด ทำให้ปลายปี 2542 "มูลค่าลงทุนโต 30 กว่าเท่า หรือประมาณ 3,000 เปอร์เซ็นต์" หุ้นตัวเดียวที่ทำให้พอร์ตขยายตัว คือ หุ้นบล.เอกธำรง หรือ S-ONE
ตอนนั้นหุ้น S-ONE ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ์ในการจะซื้อหุ้นสามัญ หุ้น S-ONEW3 และหุ้น S-ONE-W4 ทำให้ตัดสินใจซื้อแม่ขายลูก เล่นสลับกันไปมาแบบนี้ ตอนนั้นได้กำไรจำนวนมาก เพราะสมัยนั้นสามารถเล่นมาร์จิ้นกับ warrant ได้ จำได้หุ้นขึ้นช่องละ 10 สตางค์
"เงินกลับมาหมดแล้ว" เริ่มมีกำลังใจตอนปี 2536 พอร์ตลงทุนยืน "หลักร้อยล้านบาท"แต่ปลายปี 2542 มูลค่าลงทุนขยับขึ้นมายืน 170 ล้านบาท การอดทนรอ ถือว่าคุ้มค่า หลังจากปี 2543-2545 ตลาดหุ้นดีบ้างไม่ดีบ้าง แต่ยังคงรักษาเงินต้นได้
สุดท้ายมาได้กำไรมากๆ ในช่วงปี 2546 หลังตลาดหุ้นกลับมาคึกคักอีกรอบตอนนั้น SET INDEX ขึ้นจาก 300 จุด เป็น 700 จุดเรียกว่า มูลค่าพอร์ตหุ้นเปลี่ยนไปเลย ตอนนั้นย้ายมาซื้อขายที่บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส หรือ DBSV
"ปลายปี 2546 ผมคิดอะไรอยู่คุณรู้มั้ย" เขาถาม ผมคิดว่าจะเลิกเล่นหุ้น แล้วไปเอาดีกับการนั่งสมาธิ ตอนนั้นอายุ 45 ปีแล้ว ตั้งใจจะเกษียณอายุ เพราะมีเงินก้อนใหญ่ไว้เลี้ยงตัวเองกับครอบครัวพอสมควรแล้ว แต่เมื่อหยุดเล่นหุ้นจริงๆ เกิดความรู้สึกแย่มากเหมือนคนไม่มีท่า
นั่งว่างอยู่ไม่นานตัดสินใจกลับมาเล่นหุ้นใหม่อีกครั้งในช่วงต้นปี 2547 ด้วยการเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุน เน้นลงทุนแนว "คอนเซอร์เวทีฟ" และกระจายการลงทุนมากขึ้น จากเดิมที่ลงทุนเพียงไม่กี่บริษัทเปลี่ยนเป็นสิบกว่าบริษัท
ตอนนั้นมองว่า ต่อไปนี้จะเน้นการลงทุนเพื่อความมั่นคง ไม่ใช่ลงทุนเพื่อการเติบโตอีกต่อไป ส่วนหุ้นแนวเก็งกำไรยังคงลงทุนบ้างเฉลี่ย 1-2 ตัว ผลของการยึดสูตรลงทุนแนวคอนเซอร์เวทีฟได้กำไรหรือไม่? เขาตอบว่า พอไปได้แต่ช้า เฉลี่ยปีละประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ แต่ไม่รู้สึกกังวลอะไร เพราะตอนนั้นตั้งการ์ดแน่นแล้ว
แม้พอร์ตการลงทุนไม่ค่อยโตเท่าไหร่ แต่รู้สึกมั่นคงมากขึ้น ขอแค่มีเงินใช้จ่ายประจำวันก็พอแล้ว ซึ่งแต่ละปีครอบครัวของเราค่อนข้างใช้เงินเยอะ ส่วนใหญ่ใช้เงินทำบุญหลายล้านบาทต่อปี ตอนนั้นคิดเพียงว่า จะพยายามรักษาเงินต้น และ จะนำเงินปันผลและผลตอบแทนจากราคาหุ้นมาใช้จ่ายในครอบครัว
พอร์ตพลิกปี 2551 "ขาใหญ่" บอก ตอนนั้นย้ายการซื้อขายจากบล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) มาอยู่ห้อง VIP บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ตามคำเชื้อเชิญของ "บุญพร บริบูรณ์ส่งศิลป์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจหลักทรัพย์รายย่อย บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง
"ผมอยากได้ความสงบ อยากได้ทีมวิเคราะห์ เก่งๆ และอยากเข้าถึงตัวผู้บริหารได้ง่าย ซึ่งบล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ช่วยประสานงานเรื่องนี้ได้ ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่พอร์ตโตเร็วมากบางปีขยายตัว หลายร้อยเปอร์เซ็นต์" วีไอรายใหญ่ เกริ่นนำที่มาของ "พอร์ตหลายพันล้านบาท" สำหรับกลยุทธ์การลงทุนที่ใช้มาตั้งแต่เข้ามานั่งห้อง VIP หมายเลข 121 จนถึงวันนี้ คือ จะเน้นศึกษาพื้นฐานธุรกิจ เมื่อแน่ใจจะขอเข้าไปพบผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน ตั้งแต่ย้ายมาซื้อขายโบรกเกอร์แห่งนี้ การเข้าถึงเจ้าของทำได้ง่ายมากขึ้น วิธีการ คือ จะให้ฝ่ายวิเคราะห์ช่วยยกหูถึงบริษัทโดยตรง เมื่อฝั่งโน้น ได้ยินชื่อโบรกเกอร์และชื่อผม ส่วนใหญ่ยินดีให้เข้าพบ ตั้งแต่เป็นนักลงทุนรายใหญ่ทำอะไรๆ มันก็ง่ายขึ้น
ก่อนลงทุนในแต่ละบริษัท ผมต้องได้เจอผู้บริหารหรือเจ้าของก่อนเสมอ ปกติจะไปกับนักวิเคราะห์คู่ใจนามว่า "อั้น" เขาเป็น นักกลยุทธ์ที่มีคุณสมบัติของนักลงทุน สามารถอ่านหลายๆ เกมออก ผมจะคุยกับเขา ทุกวัน โดยเขาจะกรองเรื่องต่างๆ มาพูดให้ฟัง เวลาไปเข้าพบผู้บริหารมักออกมาถามความคิดเห็นเขาเสมอ ซึ่งมุมมองของเขาใช้ได้ แม้บางเรื่องจะไม่ค่อยตรงกันบ้างนักวิเคราะห์ของบล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง เก่งๆ มีกว่า 10 ท่าน เรียกใช้บริหารได้ทุกคน
เขายกตัวอย่าง การขอเข้าพบผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนที่ผ่านพ้นไปแล้วว่า เมื่อก่อน ตอนเทรดหุ้นอยู่ที่บล. ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ช่วงนั้นมีข่าวว่า บล.เอเซียจะทำ การควบรวมกิจการกับบล.แอสเซท พลัส ซึ่งผมไม่รู้จักผู้บริหารของทั้งสองโบรกเกอร์ รู้เพียงว่า บล.เอเซีย คือ เบอร์หนึ่งของการ ซื้อขายในแง่ของวอลุ่ม ส่วนบล.แอสเซท พลัส คือ โบรกเกอร์อันดับต้นๆ ที่เด่นเรื่องธุรกิจวาณิชธนกิจ หรือ IB
ฉะนั้นหาก 1 บวก 1 ต้องไม่ใช่ 2 ต้องเป็น 3 ต้องเป็น 4 ผมจึงตัดสินใจซื้อหุ้นทั้ง 2 บริษัท เมื่อกระบวนการควบรวมกิจการแล้วเสร็จ และเปลี่ยนชื่อเป็นบล.เอเซีย พลัส ราคาหุ้นขยับขึ้นเป็น 80 บาท สูงกว่าต้นทุนที่ซื้อมาประมาณ 70 กว่าบาท แม้จะได้กำไร 10 เปอร์เซ็นต์ แต่ไม่ยอมขาย เพราะคิดว่าหุ้นต้องไปต่อ
ผลปรากฏว่า ผิดคาด!! ราคาหุ้นตก ทุกวันจนเหลือ 60 กว่าบาท ตอนนั้นรู้สึกงงๆ เพราะมั่นใจว่า วิเคราะห์พื้นฐานมาแล้วอย่างดี สุดท้ายมีข่าวออกมาว่า บล.เอบีเอ็น แอมโร- เอเชีย ซึ่งเป็นพันธมิตรเดิมของบล.เอเชีย ขายหุ้นออกมาทุกวัน หลังเขามองว่า ธุรกิจหลักทรัพย์จะไปได้ไม่ไกลแล้ว
แม้การลงทุนในหุ้น บล.เอเซียพลัส จะมีสัดส่วนน้อย แต่เมื่อหุ้นบล.เอเซียพลัส
ตกทุกวัน จึงตัดสินใจโทรศัพท์เข้าไปหา
"ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ" ประธานกรรมการบริหาร บล.เอเซีย พลัส แต่เขาให้เลขารับสาย ตอนนั้นบอกเลขาไปว่า ผมถือหุ้นอยู่หลายล้านหุ้นมีแนวทางและความคิดจะทำให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น สุดท้ายเขาก็เชิญไปคุยที่ออฟฟิศ
วันนั้นผมไปคุยเรื่องพื้นฐาน และถามเขาไปว่า มีเรื่องอะไรแย่หรือ ราคาหุ้นถึงลงแบบนี้ "ดอกเตอร์" อธิบายว่า จากนี้ราคาหุ้น
มีแต่จะเพิ่มขึ้น เพราะวันที่ราคาหุ้นลดลงแต่วอลุ่มการซื้อขายของบล.เอเซีย พลัส ไม่ได้ ลดลงเลย ขณะที่งานในส่วนของ IB จะเริ่ม รับงานขนาดใหญ่ได้มากขึ้น เมื่อคุยจบจึงได้ข้อสรุปว่า พื้นฐานบริษัทดี แต่หุ้นลงเพราะ หุ้นใหญ่ขายของออก
ตอนนั้นถือโอกาสเสนอแนวทางการแตกพาร์จาก 10 บาท เหลือ 1 บาท เพราะการแตกพาร์จะสามารถรองรับแรงขายของผู้ถือหุ้นใหญ่ได้ นอกจากนั้นยังเสนอให้บริษัทออกใบสำคัญแสดงสิทธิ หรือ Warrant เพราะเมื่อบริษัทมีขนาดใหญ่ขึ้นจำเป็นต้องมีทุนเพื่อขยายกิจการ หลังจบการสนทนา "ดร.ก้องเกียรติ" ไม่ได้ตอบอะไร ใช้เวลาคุยกันเป็นชั่วโมง
เมื่อกลับมา ผมตัดสินใจซื้อหุ้น เอเซีย พลัส เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว ในราคาเฉลี่ย 60 กว่าบาท เพราะเชื่อว่าธุรกิจมีอนาคต หุ้นวิ่ง 60 บาท อยู่ 2 เดือน บริษัทประกาศแตกพาร์และ ออกวอร์แรนต์ ตอนนั้นราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปกว่า 80 บาท สูงสุดน่าจะประมาณ 90 บาท ได้กำไรเยอะพอสมควร จริงๆบริษัทหลักทรัพย์เขาเชี่ยวชาญเรื่องลักษณะนี้อยู่แล้ว แต่บางครั้ง ผงมันเข้าตา ไม่รู้จะเขี่ยออกอย่างไร
อยากรู้เรื่องอะไรจากปากผู้บริหารมากที่สุด เขาตอบว่า ข้อแรก วิสัยทัศน์ การบริหารงาน ข้อสอง ความรู้ความสามารถ ข้ดสุดท้าย ความมีธรรมภิบาล หากรู้เรื่อง เหล่านี้แล้วจะทำให้สามารถลงทุนได้อย่างสบายใจมากขึ้น แต่ถ้าคุยแล้วพบว่า เรื่องที่พูดมาไม่มีโอกาสเกิดได้จริง และ ความมีธรรมภิบาลน่าสงสัย ก็จะไม่สนใจ หุ้นตัวนั้นเลย.
คุยอะไรกับ'คีรี กาญจนพาสน์'
"เจ้าของพอร์ตหลายพันล้าน"เล่าถึงกรณีเข้าไปขอซื้อหุ้น BTS จาก "คีรี กาญจนพาสน์" ว่า บางครั้งรถติดจำเป็นต้องใช้บริการรถไฟฟ้า BTS ทำให้รู้ว่า รถไฟฟ้า BTS เป็นบริการที่ดีที่สุดในอันดับต้นๆของโลก ผมมีโอกาสไปเที่ยวยุโรป สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น หรือแม้กระทั่งประเทศใกล้ๆ เมืองไทย ยังไม่เคยเจอรถไฟฟ้าที่มีความสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือน BTS
เมื่อไปศึกษาพื้นฐานบริษัทพบว่า กำไรสุทธิขยายตัวต่อเนื่อง ฉะนั้นราคาหุ้นน่าจะไปต่อ แตกต่างจากเมื่อ 2 ปีก่อนที่ ราคาหุ้น BTS ยังซื้อขายเพียง 0.70-0.80 บาท หลังมั่นใจในข้อมูลจึงขอให้ "มนตรี ศรไพศาล" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ช่วยนัดให้ได้เข้าพบ "คีรี"
ก่อนจะเจอตัวเจ้าของได้ทยอยซื้อหุ้น BTS ชิมลางไว้ประมาณ 100-200 ล้านหุ้น แต่หลังจากไปคุยแล้วเกิดความมั่นใจมากขึ้น เพราะเขาตั้งใจทำงานจริงๆ และมีวิสัยทัศน์การทำธุรกิจที่ดี ที่สำคัญมีธรรมภิบาลที่ยอดเยี่ยม เพราะทุกครั้งที่บริษัทประกาศข่าวดี วันรุ่งขึ้นเขาจะให้นักวิเคราะห์เข้ามารับฟังข้อมูลทันที
คุยอะไรกับ "คีรี"? นักลงทุนวีไอรายใหญ่แจกแจงว่า เจ้าของ BTS เล่าให้ฟังว่า ส่วนต่อขยายในกรุงเทพและปริมณฑลต้องใช้ประมาณ 400-500 กิโลเมตร แต่ BTS ยังมีแค่ 30 กิโลเมตร ส่วน MRT มีกว่า 20 กิโลเมตร เท่ากับว่า เมืองไทยมีเส้นทางรถไฟฟ้าในระบบไม่ถึงร้อยกิโลเมตร หากเป็นเช่นนั้นในอนาคตต้องขยายเพิ่ม
"คีรี" ไม่ได้การันตีตัวเลขรายได้และกำไรอนาคตว่าจะออกมาเท่าไหร่ เราไม่ได้คุยกันถึงเรื่องนี้ คุยกันแต่แผนงานว่า อนาคตจะเน้นทำแต่รถไฟฟ้า ส่วนอสังหาริมทรัพย์พอร์ตจะทยอยลดลงเรื่อยๆ ที่ดินเปล่าที่มีบริษัทจะไม่พัฒนาต่อแต่ยังคงถือครองอยู่หลายแปลง อาจขายทำกำไรในอนาคต
ตอนนั้นบริษัทมีนโยบายปรับพาร์จาก 0.64 บาทต่อหุ้น เป็น 4 บาทต่อหุ้น ทำให้ผมตัดสินใจซื้อหุ้น BTS เพิ่มอีก 200-300 ล้านหุ้น ตอนนั้นลงทุนหุ้น BTS ตัวเดียวมากถึง 1,000 กว่าล้านบาท จากนั้นราคาหุ้น BTS ค่อยๆ เพิ่มขึ้น จน BTS นำบริษัทในเครือ "วี จี ไอ โกลบอล มีเดีย" หรือ VGI เข้าตลาดหลักทรัพย์ผมแสดงความจำนงกับ "คีรี" และผู้ที่เกี่ยวข้องทันทีว่า อยากได้หุ้น VGI เท่าที่บริษัทจะให้ได้ สุดท้ายได้หุ้นไอพีโอมา 4.5 ล้านหุ้น ราคา 35 บาท วันแรกเปิดมา 50 บาท ได้กำไรล็อตแรกแล้ว จากนั้นก็ซื้อขายไปเรื่อยๆ เพื่อหาฐานราคาหุ้นที่แน่นอน เขาหันไปเปิดคอมพิวเตอร์ ก่อนพูดว่า ตอนนั้นฐานราคาหุ้นอยู่ระดับ 40-50 บาท เมื่อฐานราคาแน่นแล้วจึงเดินหน้าซื้อหุ้นต่อในช่วงขาขึ้น
ปัจจุบันมีหุ้น VGI ประมาณ 84 ล้านหุ้น ได้เงินปันผลจากหุ้น VGI มาแล้วเท่าไหร่ เขาคิดก่อนตอบว่า ประมาณ 30-40 ล้านบาทนอกจากจะมีหุ้นแม่แล้วยังมีใบสำคัญแสดงสิทธิหุ้น VGI-W1 อายุ 4 ปี ประมาณ 100 กว่าล้านหุ้น
สุดท้ายจะใช้สิทธิแปลงหรือไม่คงต้องมาดูอีกครั้ง ไม่จำเป็นต้องรีบสามารถแปลงได้ตามจังหวะ ผมลงทุนหุ้นที่เกี่ยวข้องกับสื่อโฆษณาค่อนข้างเยอะ เพราะมองว่าคนใช้ชีวิตนอกบ้านมากขึ้น ฉะนั้นสื่อโฆษณานอกบ้านยังคงเติบโตอีกเยอะ คงถือหุ้นลักษณะนี้ไปเรื่อยๆ
"การมีบทวิเคราะห์ที่ดีจะช่วยในเรื่องลงทุนเ แต่บางครั้งบทวิเคราะห์ก็พลาดได้เหมือนกัน ดังนั้นผมจึงจำเป็นต้องเข้าถึงตัวผู้บริหาร ถือเป็นการตอกย้ำตัวเลขที่เหล่านักวิเคราะห์ทำออกมาว่าถูกต้อง"
"นเรศ" มีหุ้นอยู่ในมือกี่ตัว เขาเลือกซื้อด้วยเหตุผลใด และกำลังเล็งจะเก็บหุ้นตัวไหนต่อ ตามอ่านสัปดาห์ รับรองแซ่บไม่แพ้ 2 ตอนที่บิสวีคนำเสนอไปแน่นอน
"ปลายปี 42 มูลค่าลงทุนเติบโต 30 กว่าเท่า หุ้นตัวเดียวที่ทำให้พอร์ตขยายตัว คือ หุ้น S-ONE "
บรรยายใต้ภาพ
นเรศ งามอภิชน--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, September 22, 2014 06:00
ชาลินี กุลแพทย์
เมื่อ SET INDEX กลับมาจุดพลุในปี 42 จากคนมืดแปดด้าน ฟ้าเปิดทางให้ "นเรศ งามอภิชน" กลายเป็นคนรวยหุ้น "ร้อยล้าน" ก่อนชื่อจะขยับติดโผ "เซียนวีไอพันล้าน" ในปี 51 บุรุษที่เจ้าของ "หุ้นบิ๊กแคป" เต็มใจเอ่ยปาก Welcome
ทักษะการพูดเป็นเลิศ ผสมการลงทุนขั้นเทพ แรงผลักดันชั้นยอดที่ทำให้ "นเรศ งามอภิชน" เซียนหุ้นหลักพันล้าน สามารถเจรจาขอซื้อ "หุ้นบิ๊กล็อต" บริษัทขนาดใหญ่หลายๆ แห่งตรงถึงเจ้าของได้ไม่ยากเย็น
การลงทุนที่ทำให้ "ชายผู้ไม่มีชื่อเล่น" เริ่มถูกจับตามองจากแวดวงตลาดหุ้น คือ การขอซื้อหุ้น บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ หรือ BTS จำนวน 100 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 7.50 บาท มูลค่ารวม 750 ล้านบาท จาก "คีรี กาญจนพาสน์" ในฐานะหุ้นใหญ่ BTS และไล่เก็บหุ้น วี จี ไอ โกลบอล มีเดีย หรือ VGI จนสามารถขึ้นแท่นผู้ถือหุ้นอันดับ 5 สัดส่วน 84 ล้านหุ้น
หลายๆ ดีล ทำให้สำนักงานก.ล.ต.เกิดความเคลือบแคลงสงสัยในตัวเขา เชิญตัวเทรดเดอร์ ประจำตัวเซียนหุ้นไปสอบถามวิธีการลงทุน คือ เรื่องที่ฝ่ายปฎิบัติการณ์ของก.ล.ต. เลือกใช้เพื่อคลายความสงสัย เหตุใดสำนักงานก.ล.ต.ถึงไม่เลือกเชิญ "นเรศ" ไปให้ข้อมูล นั่นคือ เรื่องคาใจของ "วีไอรายใหญ่"
ก่อน "นเรศ" จะขึ้นแท่น "เศรษฐีหุ้น" นั่งบัญชาการซื้อขายหุ้นในห้อง VIP หมายเลข 121 ของ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ที่อยู่บนชั้น 21 อาคารสำนักงาน ดิ ออฟฟิศเศส แอท เซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับ "เสี่ยปู่สมพงษ์ ชลคดีดำรงก, เสี่ยจึง-วิชัย จึงทรัพย์ไพศาล, เสี่ยยักษ์-วิชัย วชิรพงศ์" เขาคือ แมงเม่าเดินตามขาใหญ่คนหนึ่ง
สัปดาห์ก่อน "กรุงเทพธุรกิจ Biz Week" เล่าประวัติการลงทุนเกือบ 30 ปีของ "นเรศ" ว่าเขาเป็นลูกชายคนรอง จากจำนวนพี่น้อง 9 คน ของเจ้าของเครื่องครัวตราสามดาว และตราโลตัส เขาตัดสินใจขอยุติการทำงานของครอบครัว เพื่อออกมาเสี่ยงดวงเล่นหุ้นในปี 2531 ตามคำเชื้อเชิญของเพื่อนนักเรียนนอกที่เพิ่งเรียนจบด้าน MBA ประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยการควักเงินลงทุนก้อนแรก "หลักหมื่นบาท"
แรกเริ่มของการลงทุน แม้จะได้กำไรหลักหมื่นบาทติดต่อกันสิบวันรวด แต่เวลาขาดทุนกลับกินกำไรทั้งหมดที่ได้มา ช่วงที่เกิดความคิดอยากเลิกเล่นหุ้น เขาแอบรู้ความลับของรายใหญ่ว่า พอร์ตโตเพราะไป "ส่องกล้องดูหุ้น" ที่อาคารสินธร เดินตามขาใหญ่ได้ไม่นาน พอร์ตลงทุนก็พุ่งจาก "หลักหมื่นบาท" เป็น "หลักหลายล้านบาท"
ก่อนจะทยายขึ้นสู่ "หลักร้อยล้านบาท"ในปี 2535 หลังย้ายมาซื้อขายที่บล.การทุนไทยช่วงนั้นเขาค้นพบอาชีพใหม่ นั่นคือ ขายใบจองรถยนต์ฮอนด้า หลังยอดผลิตไม่ทันความต้องการ กำไรหลักล้านบาท คือ ตัวเงินที่เขาทำได้ กอดกำไรจากการเล่นหุ้นได้ไม่นาน ชีวิตลงทุนเดินทางสู่ด้านมืดช่วงต้นปี 2537 หลังนักลงทุนต่างชาติกระหน่ำขายหุ้นไม่ยั้ง
"นเรศ" ประสบปัญหา "ขาดทุนหนัก"โกยเงินกลับมาเพียง 20-30 เปอร์เซ็นต์ของพอร์ต ช่วงนั้นเขาใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการเข้าวัดนั่งสมาธิ และไปเป็นที่ปรึกษาธุรกิจครอบครัวให้กับน้องๆ ตอนนั้น "นเรศ" เคยมีความคิดจะไปลงทุนทำธุรกิจซุปเปอร์มาร์เก็ต และร้านอาหารไทยในเมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ตามคำชักชวนของเพื่อนที่เป็นเจ้าของธุรกิจ ซึ่งเจอกันในวัด สุดท้ายเขาตัดสินใจไม่ลงทุน เพราะเชื่อว่าอีกไม่นาน SET INDEX จะดีดกลับมาเหมือนเดิม
รอยยิ้มมาเยือนอีกครั้ง
"กูรูหุ้นรายใหญ่" เล่าว่า ผ่านมาถึงปี 2541 ตลาดหุ้นลงมาซื้อขายแถวๆ 400 จุด ออกแนวนิ่งๆ หลังเพิ่งผ่านพ้นวิกฤติต้มยำกุ้ง ทำให้เกิดความคิดที่ว่า หุ้นไทยคงลงมาต่ำสุดแล้ว จึง ตัดสินใจนำเงินที่เหลือติดพอร์ตประมาณ 5 ล้านบาท ไปเปิดพอร์ตกับบล.พัฒนสิน สาขาปิ่นเกล้า ซึ่งเป็นสาขาใกล้บ้าน เพื่อนสนิทที่บอกว่าจบจากประเทศสหรัฐอเมริกา เขาเลิกเก็งกำไรหุ้นไปเลย แต่มีลงทุนบ้างเล็กน้อย ส่วนใหญ่ใช้ชีวิตไปกับการทำธุรกิจกระจก
ครั้งหนึ่งเคยมีเพื่อนบอกว่า อยากส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ ตอนนั้นผมค้านสุดตัว และบอกเขาว่า ในภาวะแย่ๆ แบบนี้ต้องรู้จักประหยัด เงินทุนสำคัญมากในช่วงที่อะไรๆ ก็ไม่ดี ผมขอให้เขาเก็บเงินไว้ลงทุน เมื่อถึงวันนั้นเขาจะมีเงินส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ แถมยังมีเงินก้อนให้ลูกเป็นทุนอีกด้วย
เมื่อสะสมความรู้เต็มที่ จึงตัดสินใจกลับเข้ามาลงทุนด้วยคอนเซปต์เช่นเคย นั่นคือ เน้นซื้อหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ที่มีการแกว่งไกวสูง ตอนนั้นมีความคิดว่า ดัชนี 400 จุด คงลงมาต่ำสุดแล้ว แต่สุดท้ายไม่เป็นอย่างที่คิด ดัชนียังคงลงต่อจนมายืนแถวๆ 200 จุด แต่ผมไม่กลัว แม้เงินลงทุนจะลดลงจาก 5 ล้านบาท เหลือ 3 ล้านบาท เพราะยังมีความเชื่อที่ว่า ตลาดหุ้นกลับมาแน่ เขาย้ำ เพียงแต่เราอาจเข้ามาลงทุนเร็วไปหน่อย
สุดท้ายความเชื่อเป็นจริง หลังปี 2542 SET INDEX ทะยานขึ้นจาก 200 จุด มายืน 500 จุด ทำให้ปลายปี 2542 "มูลค่าลงทุนโต 30 กว่าเท่า หรือประมาณ 3,000 เปอร์เซ็นต์" หุ้นตัวเดียวที่ทำให้พอร์ตขยายตัว คือ หุ้นบล.เอกธำรง หรือ S-ONE
ตอนนั้นหุ้น S-ONE ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ์ในการจะซื้อหุ้นสามัญ หุ้น S-ONEW3 และหุ้น S-ONE-W4 ทำให้ตัดสินใจซื้อแม่ขายลูก เล่นสลับกันไปมาแบบนี้ ตอนนั้นได้กำไรจำนวนมาก เพราะสมัยนั้นสามารถเล่นมาร์จิ้นกับ warrant ได้ จำได้หุ้นขึ้นช่องละ 10 สตางค์
"เงินกลับมาหมดแล้ว" เริ่มมีกำลังใจตอนปี 2536 พอร์ตลงทุนยืน "หลักร้อยล้านบาท"แต่ปลายปี 2542 มูลค่าลงทุนขยับขึ้นมายืน 170 ล้านบาท การอดทนรอ ถือว่าคุ้มค่า หลังจากปี 2543-2545 ตลาดหุ้นดีบ้างไม่ดีบ้าง แต่ยังคงรักษาเงินต้นได้
สุดท้ายมาได้กำไรมากๆ ในช่วงปี 2546 หลังตลาดหุ้นกลับมาคึกคักอีกรอบตอนนั้น SET INDEX ขึ้นจาก 300 จุด เป็น 700 จุดเรียกว่า มูลค่าพอร์ตหุ้นเปลี่ยนไปเลย ตอนนั้นย้ายมาซื้อขายที่บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส หรือ DBSV
"ปลายปี 2546 ผมคิดอะไรอยู่คุณรู้มั้ย" เขาถาม ผมคิดว่าจะเลิกเล่นหุ้น แล้วไปเอาดีกับการนั่งสมาธิ ตอนนั้นอายุ 45 ปีแล้ว ตั้งใจจะเกษียณอายุ เพราะมีเงินก้อนใหญ่ไว้เลี้ยงตัวเองกับครอบครัวพอสมควรแล้ว แต่เมื่อหยุดเล่นหุ้นจริงๆ เกิดความรู้สึกแย่มากเหมือนคนไม่มีท่า
นั่งว่างอยู่ไม่นานตัดสินใจกลับมาเล่นหุ้นใหม่อีกครั้งในช่วงต้นปี 2547 ด้วยการเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุน เน้นลงทุนแนว "คอนเซอร์เวทีฟ" และกระจายการลงทุนมากขึ้น จากเดิมที่ลงทุนเพียงไม่กี่บริษัทเปลี่ยนเป็นสิบกว่าบริษัท
ตอนนั้นมองว่า ต่อไปนี้จะเน้นการลงทุนเพื่อความมั่นคง ไม่ใช่ลงทุนเพื่อการเติบโตอีกต่อไป ส่วนหุ้นแนวเก็งกำไรยังคงลงทุนบ้างเฉลี่ย 1-2 ตัว ผลของการยึดสูตรลงทุนแนวคอนเซอร์เวทีฟได้กำไรหรือไม่? เขาตอบว่า พอไปได้แต่ช้า เฉลี่ยปีละประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ แต่ไม่รู้สึกกังวลอะไร เพราะตอนนั้นตั้งการ์ดแน่นแล้ว
แม้พอร์ตการลงทุนไม่ค่อยโตเท่าไหร่ แต่รู้สึกมั่นคงมากขึ้น ขอแค่มีเงินใช้จ่ายประจำวันก็พอแล้ว ซึ่งแต่ละปีครอบครัวของเราค่อนข้างใช้เงินเยอะ ส่วนใหญ่ใช้เงินทำบุญหลายล้านบาทต่อปี ตอนนั้นคิดเพียงว่า จะพยายามรักษาเงินต้น และ จะนำเงินปันผลและผลตอบแทนจากราคาหุ้นมาใช้จ่ายในครอบครัว
พอร์ตพลิกปี 2551 "ขาใหญ่" บอก ตอนนั้นย้ายการซื้อขายจากบล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) มาอยู่ห้อง VIP บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ตามคำเชื้อเชิญของ "บุญพร บริบูรณ์ส่งศิลป์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจหลักทรัพย์รายย่อย บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง
"ผมอยากได้ความสงบ อยากได้ทีมวิเคราะห์ เก่งๆ และอยากเข้าถึงตัวผู้บริหารได้ง่าย ซึ่งบล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ช่วยประสานงานเรื่องนี้ได้ ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่พอร์ตโตเร็วมากบางปีขยายตัว หลายร้อยเปอร์เซ็นต์" วีไอรายใหญ่ เกริ่นนำที่มาของ "พอร์ตหลายพันล้านบาท" สำหรับกลยุทธ์การลงทุนที่ใช้มาตั้งแต่เข้ามานั่งห้อง VIP หมายเลข 121 จนถึงวันนี้ คือ จะเน้นศึกษาพื้นฐานธุรกิจ เมื่อแน่ใจจะขอเข้าไปพบผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน ตั้งแต่ย้ายมาซื้อขายโบรกเกอร์แห่งนี้ การเข้าถึงเจ้าของทำได้ง่ายมากขึ้น วิธีการ คือ จะให้ฝ่ายวิเคราะห์ช่วยยกหูถึงบริษัทโดยตรง เมื่อฝั่งโน้น ได้ยินชื่อโบรกเกอร์และชื่อผม ส่วนใหญ่ยินดีให้เข้าพบ ตั้งแต่เป็นนักลงทุนรายใหญ่ทำอะไรๆ มันก็ง่ายขึ้น
ก่อนลงทุนในแต่ละบริษัท ผมต้องได้เจอผู้บริหารหรือเจ้าของก่อนเสมอ ปกติจะไปกับนักวิเคราะห์คู่ใจนามว่า "อั้น" เขาเป็น นักกลยุทธ์ที่มีคุณสมบัติของนักลงทุน สามารถอ่านหลายๆ เกมออก ผมจะคุยกับเขา ทุกวัน โดยเขาจะกรองเรื่องต่างๆ มาพูดให้ฟัง เวลาไปเข้าพบผู้บริหารมักออกมาถามความคิดเห็นเขาเสมอ ซึ่งมุมมองของเขาใช้ได้ แม้บางเรื่องจะไม่ค่อยตรงกันบ้างนักวิเคราะห์ของบล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง เก่งๆ มีกว่า 10 ท่าน เรียกใช้บริหารได้ทุกคน
เขายกตัวอย่าง การขอเข้าพบผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนที่ผ่านพ้นไปแล้วว่า เมื่อก่อน ตอนเทรดหุ้นอยู่ที่บล. ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ช่วงนั้นมีข่าวว่า บล.เอเซียจะทำ การควบรวมกิจการกับบล.แอสเซท พลัส ซึ่งผมไม่รู้จักผู้บริหารของทั้งสองโบรกเกอร์ รู้เพียงว่า บล.เอเซีย คือ เบอร์หนึ่งของการ ซื้อขายในแง่ของวอลุ่ม ส่วนบล.แอสเซท พลัส คือ โบรกเกอร์อันดับต้นๆ ที่เด่นเรื่องธุรกิจวาณิชธนกิจ หรือ IB
ฉะนั้นหาก 1 บวก 1 ต้องไม่ใช่ 2 ต้องเป็น 3 ต้องเป็น 4 ผมจึงตัดสินใจซื้อหุ้นทั้ง 2 บริษัท เมื่อกระบวนการควบรวมกิจการแล้วเสร็จ และเปลี่ยนชื่อเป็นบล.เอเซีย พลัส ราคาหุ้นขยับขึ้นเป็น 80 บาท สูงกว่าต้นทุนที่ซื้อมาประมาณ 70 กว่าบาท แม้จะได้กำไร 10 เปอร์เซ็นต์ แต่ไม่ยอมขาย เพราะคิดว่าหุ้นต้องไปต่อ
ผลปรากฏว่า ผิดคาด!! ราคาหุ้นตก ทุกวันจนเหลือ 60 กว่าบาท ตอนนั้นรู้สึกงงๆ เพราะมั่นใจว่า วิเคราะห์พื้นฐานมาแล้วอย่างดี สุดท้ายมีข่าวออกมาว่า บล.เอบีเอ็น แอมโร- เอเชีย ซึ่งเป็นพันธมิตรเดิมของบล.เอเชีย ขายหุ้นออกมาทุกวัน หลังเขามองว่า ธุรกิจหลักทรัพย์จะไปได้ไม่ไกลแล้ว
แม้การลงทุนในหุ้น บล.เอเซียพลัส จะมีสัดส่วนน้อย แต่เมื่อหุ้นบล.เอเซียพลัส
ตกทุกวัน จึงตัดสินใจโทรศัพท์เข้าไปหา
"ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ" ประธานกรรมการบริหาร บล.เอเซีย พลัส แต่เขาให้เลขารับสาย ตอนนั้นบอกเลขาไปว่า ผมถือหุ้นอยู่หลายล้านหุ้นมีแนวทางและความคิดจะทำให้ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น สุดท้ายเขาก็เชิญไปคุยที่ออฟฟิศ
วันนั้นผมไปคุยเรื่องพื้นฐาน และถามเขาไปว่า มีเรื่องอะไรแย่หรือ ราคาหุ้นถึงลงแบบนี้ "ดอกเตอร์" อธิบายว่า จากนี้ราคาหุ้น
มีแต่จะเพิ่มขึ้น เพราะวันที่ราคาหุ้นลดลงแต่วอลุ่มการซื้อขายของบล.เอเซีย พลัส ไม่ได้ ลดลงเลย ขณะที่งานในส่วนของ IB จะเริ่ม รับงานขนาดใหญ่ได้มากขึ้น เมื่อคุยจบจึงได้ข้อสรุปว่า พื้นฐานบริษัทดี แต่หุ้นลงเพราะ หุ้นใหญ่ขายของออก
ตอนนั้นถือโอกาสเสนอแนวทางการแตกพาร์จาก 10 บาท เหลือ 1 บาท เพราะการแตกพาร์จะสามารถรองรับแรงขายของผู้ถือหุ้นใหญ่ได้ นอกจากนั้นยังเสนอให้บริษัทออกใบสำคัญแสดงสิทธิ หรือ Warrant เพราะเมื่อบริษัทมีขนาดใหญ่ขึ้นจำเป็นต้องมีทุนเพื่อขยายกิจการ หลังจบการสนทนา "ดร.ก้องเกียรติ" ไม่ได้ตอบอะไร ใช้เวลาคุยกันเป็นชั่วโมง
เมื่อกลับมา ผมตัดสินใจซื้อหุ้น เอเซีย พลัส เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว ในราคาเฉลี่ย 60 กว่าบาท เพราะเชื่อว่าธุรกิจมีอนาคต หุ้นวิ่ง 60 บาท อยู่ 2 เดือน บริษัทประกาศแตกพาร์และ ออกวอร์แรนต์ ตอนนั้นราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปกว่า 80 บาท สูงสุดน่าจะประมาณ 90 บาท ได้กำไรเยอะพอสมควร จริงๆบริษัทหลักทรัพย์เขาเชี่ยวชาญเรื่องลักษณะนี้อยู่แล้ว แต่บางครั้ง ผงมันเข้าตา ไม่รู้จะเขี่ยออกอย่างไร
อยากรู้เรื่องอะไรจากปากผู้บริหารมากที่สุด เขาตอบว่า ข้อแรก วิสัยทัศน์ การบริหารงาน ข้อสอง ความรู้ความสามารถ ข้ดสุดท้าย ความมีธรรมภิบาล หากรู้เรื่อง เหล่านี้แล้วจะทำให้สามารถลงทุนได้อย่างสบายใจมากขึ้น แต่ถ้าคุยแล้วพบว่า เรื่องที่พูดมาไม่มีโอกาสเกิดได้จริง และ ความมีธรรมภิบาลน่าสงสัย ก็จะไม่สนใจ หุ้นตัวนั้นเลย.
คุยอะไรกับ'คีรี กาญจนพาสน์'
"เจ้าของพอร์ตหลายพันล้าน"เล่าถึงกรณีเข้าไปขอซื้อหุ้น BTS จาก "คีรี กาญจนพาสน์" ว่า บางครั้งรถติดจำเป็นต้องใช้บริการรถไฟฟ้า BTS ทำให้รู้ว่า รถไฟฟ้า BTS เป็นบริการที่ดีที่สุดในอันดับต้นๆของโลก ผมมีโอกาสไปเที่ยวยุโรป สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น หรือแม้กระทั่งประเทศใกล้ๆ เมืองไทย ยังไม่เคยเจอรถไฟฟ้าที่มีความสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือน BTS
เมื่อไปศึกษาพื้นฐานบริษัทพบว่า กำไรสุทธิขยายตัวต่อเนื่อง ฉะนั้นราคาหุ้นน่าจะไปต่อ แตกต่างจากเมื่อ 2 ปีก่อนที่ ราคาหุ้น BTS ยังซื้อขายเพียง 0.70-0.80 บาท หลังมั่นใจในข้อมูลจึงขอให้ "มนตรี ศรไพศาล" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ช่วยนัดให้ได้เข้าพบ "คีรี"
ก่อนจะเจอตัวเจ้าของได้ทยอยซื้อหุ้น BTS ชิมลางไว้ประมาณ 100-200 ล้านหุ้น แต่หลังจากไปคุยแล้วเกิดความมั่นใจมากขึ้น เพราะเขาตั้งใจทำงานจริงๆ และมีวิสัยทัศน์การทำธุรกิจที่ดี ที่สำคัญมีธรรมภิบาลที่ยอดเยี่ยม เพราะทุกครั้งที่บริษัทประกาศข่าวดี วันรุ่งขึ้นเขาจะให้นักวิเคราะห์เข้ามารับฟังข้อมูลทันที
คุยอะไรกับ "คีรี"? นักลงทุนวีไอรายใหญ่แจกแจงว่า เจ้าของ BTS เล่าให้ฟังว่า ส่วนต่อขยายในกรุงเทพและปริมณฑลต้องใช้ประมาณ 400-500 กิโลเมตร แต่ BTS ยังมีแค่ 30 กิโลเมตร ส่วน MRT มีกว่า 20 กิโลเมตร เท่ากับว่า เมืองไทยมีเส้นทางรถไฟฟ้าในระบบไม่ถึงร้อยกิโลเมตร หากเป็นเช่นนั้นในอนาคตต้องขยายเพิ่ม
"คีรี" ไม่ได้การันตีตัวเลขรายได้และกำไรอนาคตว่าจะออกมาเท่าไหร่ เราไม่ได้คุยกันถึงเรื่องนี้ คุยกันแต่แผนงานว่า อนาคตจะเน้นทำแต่รถไฟฟ้า ส่วนอสังหาริมทรัพย์พอร์ตจะทยอยลดลงเรื่อยๆ ที่ดินเปล่าที่มีบริษัทจะไม่พัฒนาต่อแต่ยังคงถือครองอยู่หลายแปลง อาจขายทำกำไรในอนาคต
ตอนนั้นบริษัทมีนโยบายปรับพาร์จาก 0.64 บาทต่อหุ้น เป็น 4 บาทต่อหุ้น ทำให้ผมตัดสินใจซื้อหุ้น BTS เพิ่มอีก 200-300 ล้านหุ้น ตอนนั้นลงทุนหุ้น BTS ตัวเดียวมากถึง 1,000 กว่าล้านบาท จากนั้นราคาหุ้น BTS ค่อยๆ เพิ่มขึ้น จน BTS นำบริษัทในเครือ "วี จี ไอ โกลบอล มีเดีย" หรือ VGI เข้าตลาดหลักทรัพย์ผมแสดงความจำนงกับ "คีรี" และผู้ที่เกี่ยวข้องทันทีว่า อยากได้หุ้น VGI เท่าที่บริษัทจะให้ได้ สุดท้ายได้หุ้นไอพีโอมา 4.5 ล้านหุ้น ราคา 35 บาท วันแรกเปิดมา 50 บาท ได้กำไรล็อตแรกแล้ว จากนั้นก็ซื้อขายไปเรื่อยๆ เพื่อหาฐานราคาหุ้นที่แน่นอน เขาหันไปเปิดคอมพิวเตอร์ ก่อนพูดว่า ตอนนั้นฐานราคาหุ้นอยู่ระดับ 40-50 บาท เมื่อฐานราคาแน่นแล้วจึงเดินหน้าซื้อหุ้นต่อในช่วงขาขึ้น
ปัจจุบันมีหุ้น VGI ประมาณ 84 ล้านหุ้น ได้เงินปันผลจากหุ้น VGI มาแล้วเท่าไหร่ เขาคิดก่อนตอบว่า ประมาณ 30-40 ล้านบาทนอกจากจะมีหุ้นแม่แล้วยังมีใบสำคัญแสดงสิทธิหุ้น VGI-W1 อายุ 4 ปี ประมาณ 100 กว่าล้านหุ้น
สุดท้ายจะใช้สิทธิแปลงหรือไม่คงต้องมาดูอีกครั้ง ไม่จำเป็นต้องรีบสามารถแปลงได้ตามจังหวะ ผมลงทุนหุ้นที่เกี่ยวข้องกับสื่อโฆษณาค่อนข้างเยอะ เพราะมองว่าคนใช้ชีวิตนอกบ้านมากขึ้น ฉะนั้นสื่อโฆษณานอกบ้านยังคงเติบโตอีกเยอะ คงถือหุ้นลักษณะนี้ไปเรื่อยๆ
"การมีบทวิเคราะห์ที่ดีจะช่วยในเรื่องลงทุนเ แต่บางครั้งบทวิเคราะห์ก็พลาดได้เหมือนกัน ดังนั้นผมจึงจำเป็นต้องเข้าถึงตัวผู้บริหาร ถือเป็นการตอกย้ำตัวเลขที่เหล่านักวิเคราะห์ทำออกมาว่าถูกต้อง"
"นเรศ" มีหุ้นอยู่ในมือกี่ตัว เขาเลือกซื้อด้วยเหตุผลใด และกำลังเล็งจะเก็บหุ้นตัวไหนต่อ ตามอ่านสัปดาห์ รับรองแซ่บไม่แพ้ 2 ตอนที่บิสวีคนำเสนอไปแน่นอน
"ปลายปี 42 มูลค่าลงทุนเติบโต 30 กว่าเท่า หุ้นตัวเดียวที่ทำให้พอร์ตขยายตัว คือ หุ้น S-ONE "
บรรยายใต้ภาพ
นเรศ งามอภิชน--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ