หาข่าวที่พี่ว่าไม่เจอ เจอคล้ายๆกันจากเดลินิวส์ครับ
คปภ.เล็งออกประกาศเพิ่มเงินกองทุนขั้นต่ำ ชี้ธุรกิจเล็กถูกฮุบ เร่งเพิ่มความแข็งแกร่งรับมือเออีซี
วันอาทิตย์ 10 สิงหาคม 2557 เวลา 20:48 น.
นายประเวช องอาจสิทธิกุล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า ในการประชุมร่วมกับผู้บริหารระดับสูงของบริษัทประกันวินาศภัยเมื่อวันที่ 8 ส.ค.ที่ผ่านมา ได้แจ้งให้บริษัทประกันภัยเพิ่มเงินกองทุนขั้นต่ำแบบขั้นบันได เพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซีในปี 58 เป็น 500 ล้านบาท จากปัจจุบันไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาทควบคู่กับการดำรงเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยงของธุรกิจแต่ละประเภท (อาร์บีซี)
โดยปีแรกผู้ประกอบการต้องดำรงเงินกองทุนขั้นต่ำให้ได้ 100 ล้านบาท หลังจากที่คปภ.ออกประกาศบังคับใช้ในปลายปี 57 ปีที่ 2 ต้องดำรงเงินกองทุนขั้นต่ำเพิ่มเป็น 200 ล้านบาท ปีที่ 3 เพิ่มเป็น 300 ล้านบาท ปีที่ 5 จะเพิ่มเป็น 500 ล้านบาท
ทั้งนี้จะส่งผลให้เงินกองทุนฯ ของบริษัทประกันภัยไทยอยู่ในระดับใกล้เคียงกับธุรกิจประกันภัยในภูมิภาคอาเซียน ที่ปัจจุบันกำหนดเงินกองทุนขั้นต่ำสูงกว่าไทย เช่น เมียนมาร์ 1,600 ล้านบาท หรือ สิงคโปร์ ปรับปรุงทุกปีตามขนาดของธุรกิจ และทำให้ประกันภัยไทยมีบริษัทขนาดเล็กมีศักยภาพในการแข่งขันมากขึ้น สำหรับ
บริษัทประกันสุขภาพ ให้เพิ่มเงินกองทุนขั้นต่ำจาก 30 ล้านบาท เป็น 100 ล้านบาทภายใน 3 ปีหลังจากประกาศมีผลบังคับใช้ เพราะถือว่าทำธุรกิจเดียว ซึ่งหากบริษัทใดไม่สามารถดำรงเงินกองทุนขั้นต่ำใหม่ได้ตามที่กำหนดลงโทษตามขั้นตอน คือ ให้หยุดรับประกันภัยชั่วคราวจนกว่าดำเนินการแล้วเสร็จ และถ้ายังไม่ทำตามที่คปภ.กำหนดอาจต้องปิดกิจการ
“คปภ.ได้เตรียมมาตรการรองรับผลกระทบเกิดขึ้นแล้ว เช่น ควบรวมกิจการ การเพิ่มสัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างชาติ และการเพิ่มทางเลือกในการระดมทุนผ่านการออกตราสารทางการเงิน สำหรับธุรกิจประกันชีวิต ให้เพิ่มเงินกองทุนขั้นต่ำเป็น 500 ล้านบาทใน 3 ปี จากปัจจุบันกำหนดไว้ที่ 50 ล้านบาท และ ภายใน 5 ปี ต้องเพิ่มเป็น 1,000 ล้านบาท แต่ต้องไปหารือกับภาคธุรกิจอีกครั้งว่าจะเพิ่มปีละเท่าไหร่ “
นายอานนท์ วังวสุ นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวว่า การเพิ่มเงินกองทุนขั้นต่ำเป็นการเพิ่มหลักประกันความมั่นคงทางด้านธุรกิจให้กับผู้ประกอบการและช่วยทำให้ขยายงานในอนาคตมากขึ้น เพราะอัตราที่จัดเก็บในปัจจุบัน 30 ล้านบาทนั้น ทำให้ธุรกิจประกันขยายธุรกิจหรือขยายงานไม่ได้มากนักในช่วงที่ต้นทุนการทำธุรกิจสูงขึ้นต่อเนื่อง ดังนั้นการดำเนินการดังกล่าว จะทำให้เงินกองทุนฯของไทยทัดเทียมกับอาเซียน เนื่องจากในหลายประเทศ มีอัตราสูงกว่าไทย
“ก่อนหน้านี้คปภ.ต้องการให้ขึ้นครั้งเดียว 300 ล้านบาท ซึ่งสมาคมฯได้เจรจาว่า หากขึ้นในอัตราที่สูงจะเป็นภาระหนักให้กับผู้ประกอบการมากเกินไปจึงขอให้ขึ้นเป็นขั้นบันได เพื่อให้บริษัทประกันวินาศภัยได้ปรับตัวไม่เช่นนั้นจะทำให้บริษัทที่ปรับตัวไม่ทันมีปัญหาเกิดขึ้นได้ในอนาคต”
ทั้งนี้ยอมรับว่า การเพิ่มเงินกองทุนฯ จะทำให้บริษัทประกันวินาศภัยที่มีขนาดเล็ก มีการควบรวมกิจการมากขึ้น จากเดิมที่ทำธุรกิจเล็ก ๆ และมีค่าใช้จ่ายสูงอาจต้องหาพันธมิตร เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้ ส่วนการให้ต่างชาติเข้ามาถือหุ้นเพิ่มขึ้น จากเดิมที่อยู่ในอัตรา 25% เป็น 75% นั้น จะต้องแก้ไขกฎหมาย ซึ่งอาจใช้ระยะเวลา แต่เชื่อว่าจะทำให้ธุรกิจประกันแข็งแกร่ง และการเพิ่มสัดส่วนต่างชาติเป็นไปตามข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศ(แกตต์) ในปี 63 ขององค์การการค้าโลก(ดับเบิลยูทีโอ)
http://www.dailynews.co.th/Content/econ ... 2%E0%B8%99