อดกลั้นต่อสิ่งยั่วเย้า/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 14, 2014 3:19 pm
โค้ด: เลือกทั้งหมด
การลงทุนในตลาดหุ้นแบบระยะยาวจริง ๆ คือถือหุ้นแต่ละตัวโดยเฉลี่ยมากกว่าหนึ่งปีหรือหลาย ๆ ปีขึ้นไปนั้นผมคิดว่าเป็นเรื่องยากสำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่โดยเฉพาะที่ยังมีอายุน้อยและมีความหวังที่จะ “รวย” จากการลงทุนในเวลาอันสั้น เหตุผลที่สำคัญก็คือ คนจำนวนมากคิดว่าการลงทุนระยะสั้นนั้นน่าจะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการซื้อหุ้นแล้วไม่ขาย พวกเขาคิดว่าการ “ซื้อแล้วเก็บ” นั้น ผลกำไรหรือผลตอบแทนของการลงทุนก็มักจะเป็นไปตามผลกำไรของบริษัทในระยะยาว ซึ่งก็มักจะ “ไม่สูง” นั่นคืออย่างมากก็ประมาณ 15% ต่อปี แต่ถ้า “เล่นสั้น” ก็จะมีโอกาส “ทำกำไร” ปีละหลายรอบ บางทีรอบละ 10%-20% ปีหนึ่งก็อาจจะสามารถสร้างผลตอบแทนหลายสิบเปอร์เซ็นต์ จริงอยู่ ในบางครั้งอาจจะพลาด แต่โดยรวมแล้วเขาคิดว่ากำไรจะมากกว่าขาดทุน ดังนั้น คนส่วนใหญ่ แม้แต่ที่เป็น VI จึงนิยมลงทุนค่อนข้างสั้นไม่เกินหนึ่งปี ถ้าไม่ใช่ VI ก็อาจจะสั้นขนาดเป็นวัน ที่เป็น VI ก็อาจจะเป็นเดือนหรืออาจจะหลายเดือน สถานการณ์หรือเหตุการณ์ที่ทำให้คนเล่นสั้นนั้นมีหลากหลายและต่อไปนี้ก็คือ “สิ่งยั่วเย้า” ที่ทำให้คนเข้ามาซื้อขายหุ้นอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนตัวหุ้นไปเรื่อย ๆ
สำหรับคนที่เป็น “เทรดเดอร์” หรืออาจจะเป็น “นักลงทุนรายวัน” สิ่งที่ “ยั่ว” ให้เขาเข้ามาซื้อหรือขายหุ้นนั้นก็คือ ราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้น นี่คือการเล่นหุ้นตามแนวเทคนิคที่เน้นการซื้อขายหุ้นตามความผันผวนของราคาและความคึกคักของหุ้น หุ้นที่กำลังวิ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น ภายในเวลาเพียงชั่วอึดใจราคาอาจจะปรับขึ้นไปเป็น 10% หรือในช่วงไม่กี่วันราคาขยับขึ้นไปต่อเนื่องหลายสิบเปอร์เซ็นต์ อาการแบบนี้ทำให้นักเล่นหุ้นระยะสั้นแนวเทรดเดอร์ “อดทนไม่ไหว” ต้องเข้าไปเล่นโดยหวังว่าหุ้นจะวิ่งต่อไปและตนเองสามารถทำกำไรได้อย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้น คนที่เข้าไปเล่นหุ้นตามแนวทางนี้เมื่อได้กำไรในระดับหนึ่ง เช่น อาจจะ 5%-6% ก็มักจะรีบขายทำกำไรเพราะอาจจะกลัวว่าหุ้นจะ “ปรับตัวลง” เช่นเดียวกัน บางคนเข้าไปซื้อ “ช้าเกินไป” และหุ้นปรับตัวลงต่ำกว่าต้นทุน บางทีเข้าก็อาจจะขายทิ้งเหมือนกัน
“สิ่งยั่วเย้า” ต่อมาที่มักทำให้คนเข้าไปซื้อหุ้นโดยไม่ได้ศึกษาบริษัทอย่างลึกซึ้งก็คือ “ข่าวดี” ของบริษัท เช่น บริษัทสามารถสร้างยอดขายได้โดดเด่น เช่น ขายคอนโดหมดได้อย่างรวดเร็ว บริษัทได้รับงานใหม่ที่มีขนาดหรือรายได้สูง เช่น บริษัทรับเหมาก่อสร้างประมูลงานได้ หรือบริษัทชนะประมูลแข่งในกิจการสัมปทานหรืองานจากหน่วยงานรัฐและเอกชนต่าง ๆ เป็นต้น ข่าวดีเหล่านั้นถึงจะทำรายได้ให้บริษัทเพิ่มขึ้นในอนาคตและอาจจะช่วยทำให้บริษัทมีกำไรมากขึ้นซึ่งก็จะทำให้หุ้นมีค่ามากขึ้นได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะเป็นเรื่องที่ “เกิดขึ้นครั้งเดียว” หรือไม่ถาวร ดังนั้นผลกระทบในแง่ของมูลค่าของบริษัทก็อาจจะไม่มากนัก อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเรื่อง “ระยะยาว” แต่ใน “ระยะสั้น” คนก็น่าจะเข้ามาเก็บหุ้นและราคาก็จะปรับตัวขึ้น นั่นคือสิ่งที่เราคิด และนั่นทำให้เรา “อดไม่ได้” ที่จะต้องซื้อหุ้น เราคิดว่านี่คือเงินที่จะได้มาง่าย ๆ หรือเป็น “Easy Money”
สิ่งยั่วเย้าให้คนแห่กันเข้ามาซื้อหุ้นโดยที่ไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านพื้นฐานของบริษัทอีกกลุ่มหนึ่งก็คือสิ่งที่ผมเรียกว่า “Financial Engineering” ในความหมายที่ไม่ได้ตรงกับชื่อจริง ๆ แต่ในความหมายของผมก็คือ การออกตราสารการเงินทั้งที่เป็นหุ้นหรืออนุพันธ์ที่ให้ฟรีหรือเกือบฟรีกับผู้ถือหุ้น หรือการปรับแต่งตัวเลขทางการเงินเช่นการปรับพาร์หรือแตกหุ้นต่าง ๆ เหล่านี้ ซึ่งในพื้นฐานจริง ๆ แล้วเป็นเรื่องของการพิมพ์หรือปรับตัวเลขบนกระดาษเพื่อส่งให้ผู้ถือหุ้น แต่ผลที่มักเกิดขึ้นก็คือ นักลงทุนคิดว่าบริษัทกำลังจ่ายปันผลหรือให้สิทธิต่าง ๆ ที่มีค่า ดังนั้นพวกเขาก็เข้ามาเก็งกำไรโดยการซื้อหุ้นเพื่อหวังปันผลหรือสิทธินั้นโดยอาจจะไม่เข้าใจว่ามูลค่าของหุ้นเดิมจะต้องถูกลดทอนลงหรือเกิด “Dilution” ราคาหุ้นก็มักจะเพิ่มขึ้น นักลงทุนที่เห็นประกาศการทำ “Financial Engineering” ก็มักจะอดไม่ไหวที่จะเข้าไปซื้อหุ้นเพราะหวังที่จะได้กำไรอย่างง่าย ๆ
นอกจาก “Financial Engineering” แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ไม่แพ้กันก็คือ “Business Engineering” ในความหมายของผมอีกเช่นกันที่ผมหมายถึงการดัดแปลงหรือหาธุรกิจใหม่ที่ “หวือหวา” ที่เป็นธุรกิจที่ “มีกำไรดี” และ “ทำได้ง่าย ๆ” เช่น พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หรือเป็นธุรกิจ “แห่งอนาคต” เช่น พลังงานทดแทน มาทำแทนหรือเสริมธุรกิจเดิมอย่างมีนัยสำคัญ ผลที่เกิดมักเกิดขึ้นก็คือ บริษัทถูกมองว่าจะกลายเป็นบริษัทที่มีกำไรและเติบโตมหาศาลจากเดิมที่เป็นบริษัทที่น่าเบื่อและไม่มีอนาคต นักลงทุนจะเข้ามาซื้อหุ้นและให้มูลค่าเท่า ๆ หรือมากกว่าบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันทั้ง ๆ ที่บริษัทยังไม่ได้พิสูจน์ผลงานเป็นที่ประจักษ์ ผลก็คือ ราคาหุ้นพุ่งพรวดและนักลงทุนจำนวนมากก็ “อดไม่ได้” ที่จะ “ร่วมขบวน” การ “หาเงินง่าย ๆ” นี้
ในยามที่ตลาดหุ้นบูมหนักอย่างในช่วงเร็ว ๆ นี้ ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรที่จะทำกำไรแบบ Easy Money มากเท่ากับหุ้น IPO หรือหุ้นเข้าตลาดครั้งแรก นี่เป็นการเก็งกำไรที่ได้เสียเร็วมากที่สุดอย่างหนึ่งเพราะราคาหุ้นผันผวนเป็นหลายสิบเปอร์เซ็นต์ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง แม้แต่ชั่วนาทีก็อาจจะทำกำไรหรือขาดทุนได้หลาย ๆ เปอร์เซ็นต์ แน่นอน คนที่เข้าไปเล่นในวันแรกที่หุ้นเข้าตลาดนั้นต่างก็หวังกำไรทั้งนั้นและพวกเขาก็อดกลั้นไม่ไหวที่จะอยู่เฉย ๆ และมอง “กำไรที่หายไปต่อหน้าต่อตา” ดังนั้น พวกเขาก็เข้าไปเล่นโดยไม่ได้สนใจพื้นฐานของกิจการ
การสนองตอบต่อสิ่งยั่วเย้านั้นไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะต่อนักลงทุนที่ “ไม่รอบรู้” เท่านั้น แม้แต่คนที่เก่งกาจและเป็น VI ผู้มุ่งมั่นเองก็ประสบกับมันเช่นกัน ความต้องการกำไรที่มากและรวดเร็วหรือเป็น Easy Money นั้น ทำให้หุ้นประเภทที่มีโอกาสที่ราคาจะปรับตัวขึ้นมากและรวดเร็วเป็นที่สนใจของ VI จำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะที่อายุยังไม่มากและพอร์ตยังไม่ใหญ่นัก นั่นก็คือหุ้นที่ถูกจัดว่าเป็นหุ้น Turnaround หรือหุ้นฟื้นตัว หรือหุ้น Cyclical หรือหุ้นวัฎจักร หุ้นสองกลุ่มนี้คือหุ้นที่พื้นฐานหรือผลการดำเนินงานกำลังเปลี่ยนจากบริษัทใกล้ล้มละลายหรือตกต่ำอย่างหนักจากภาวะแวดล้อมทางอุตสาหกรรม กลายเป็นบริษัทที่ “เกิดใหม่” และจะมีกำไร หรือกลายเป็นบริษัทที่กำลังจะมีกำไรดีต่อเนื่องไปในอนาคตหลังจากตกต่ำมาช่วงเวลาหนึ่ง ภาวะที่ดีขึ้นอย่างมากในเวลาอันสั้นนั้นมักจะก่อให้เกิดความรู้สึกที่เรียกว่า “Euphoria” หรือเป็นความรู้สึกที่ดีอย่างเคลิบเคลิ้มจนลืมไปว่าผลประกอบการในอนาคตนั้นอาจจะไม่ได้สวยสดต่อเนื่องยาวนาน และดังนั้นพวกเขาก็มักจะให้มูลค่าที่สูงเทียบกับผลกำไรของบริษัทที่กำลังดีขึ้นแต่อาจจะไม่คงทน ผลก็คือ ราคาหุ้นถูก “ดัน” ขึ้นไปมากเนื่องจากนักลงทุน “ทนไม่ไหว” ที่จะไม่เข้าไปซื้อหุ้นที่เห็นว่าอาจจะโตขึ้นไปได้อาจจะอีกหลายเท่า
ยังมีสิ่งยั่วเย้าอีกมากมายในตลาดหุ้นที่ดึงดูดให้นักลงทุนเข้ามาซื้อหุ้นในระยะสั้น ตัวอย่างเช่น การที่หุ้นถูกซื้อโดย “เซียน” หรือนักลงทุน “รายใหญ่” ในตลาดหุ้น หรือถูกซื้อโดยผู้บริหารในจำนวนมาก หรือเรื่องราวต่าง ๆ อีกร้อยแปดที่อาจจะมีผลต่อราคาหุ้นอย่างรุนแรงและทำให้นักลงทุนที่ติดตามความเคลื่อนไหวต่าง ๆ เหล่านั้นเข้ามาซื้อหุ้นโดยหวังที่จะทำกำไรอย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้นเพราะเขา “อดกลั้นไม่ได้”
ผมเองไม่ได้บอกว่าการเข้าซื้อหุ้นบ่อย ๆ เพราะเราอดกลั้นไม่ได้ต่อสิ่งยั่วเย้าเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี มันคงเป็นประสบการณ์ของนักลงทุนแต่ละคน และคงขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์ว่าถูกต้องหรือไม่และบางทีก็เป็นเรื่องของช่วงเวลาที่ทำ ส่วนตัวผมเองเชื่อว่า การทำหรือซื้อหุ้นบ่อย ๆ ซึ่งก็แปลว่าต้องขายบ่อยด้วยนั้น ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับคนส่วนใหญ่ และนั่นทำให้การรู้จักอดกลั้นต่อสิ่งยั่วเย้านั้น เป็นศิลปะที่สำคัญอย่างหนึ่งของ VI