หน้า 1 จากทั้งหมด 1

SPELT/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 30, 2014 8:42 pm
โดย Thai VI Article

โค้ด: เลือกทั้งหมด

    Value Investor จำนวนมาก  “ถูกสอน” ไม่ให้สนใจภาวะเศรษฐกิจการเมืองหรือปัจจัยภายนอกต่าง ๆ ที่  “ไม่เกี่ยว” กับบริษัทที่เราจะลงทุน  พวกเขาอ่านหนังสือของ ปีเตอร์ ลินช์ ที่บอกว่าเราไม่ควรสนใจว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร  สิ่งที่สำคัญก็คือตัวกิจการหรือบริษัทหรือหุ้นที่เราจะลงทุน  ถ้ามันดีเสียอย่าง  เราก็ไม่ต้องกังวล  ราคาหุ้นนั้นจะปรับตัวตามผลประกอบการของบริษัท  ไม่ใช่ตามภาวะเศรษฐกิจ  นอกจากนั้น  VI ยังมีประสบการณ์โดยตรงจากเหตุการณ์ในประเทศไทยเอง  ทั้งเรื่องภาวะเศรษฐกิจและการเมืองที่เกิดเหตุการณ์รุนแรงมาต่อเนื่องแต่ทั้งหมดก็ไม่ได้กระทบต่อหุ้นมากนัก  พวกเขาพบว่าเมื่อเกิดภาวะรุนแรงหรือวิกฤติเศรษฐกิจหุ้นก็อาจจะลงหนักแต่หลังจากนั้นมันก็ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและสูงกว่าช่วงก่อนวิกฤติด้วยซ้ำ  นอกจากนั้น  เมื่อพูดถึงการเมืองที่เกิดเหตุการณ์รุนแรง  บางทีแทนที่หุ้นจะลงมันกลับปรับตัวขึ้น  ดังนั้น  VI จึงค่อนข้างจะเชื่อและมั่นใจว่าเราไม่ต้องคำนึงถึงเรื่องภาวะเศรษฐกิจ  การเมือง  หรือปัจจัยภายนอกต่าง ๆ  ที่เป็น  “ภาพใหญ่”  สิ่งที่เราต้องวิเคราะห์ก็คือตัวบริษัทว่ามันเป็นอย่างไรและอาจจะถูกกระทบโดยตรงอย่างไรจากปัจจัยภายนอกที่เปลี่ยนแปลงไปเท่านั้น

    ผมเองคิดว่าแนวความคิดดังกล่าวนั้นอาจจะถูกต้องเป็นส่วนใหญ่โดยเฉพาะในตลาดหุ้นสหรัฐและตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมา  เหตุผลไม่ใช่เพราะว่าปัจจัยภายนอกนั้นไม่ได้มีอะไรที่จะกระทบกับการลงทุน  แต่เหตุผลนั้นเป็นเพราะว่าการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยภายนอกต่าง ๆ  ที่เกิดขึ้นนั้น  “ไม่เคย”  กระทบกับการทำธุรกิจของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ  ถ้าจะมีบ้างก็เป็นช่วงสั้น ๆ  ไม่กี่เดือนหรือไม่กี่ปี  และดังนั้น  เมื่อเหตุการณ์ผ่านไปทุกอย่างก็กลับมาเหมือนเดิม  และในระยะยาวแล้ว  สภาพแวดล้อมก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ  และดังนั้น  VI ที่ไม่ได้สนใจกับเรื่องของภาวะเศรษฐกิจและปัจจัยภายนอกอื่น ๆ  ก็ไม่เกิดความเสียเปรียบหรือเสียหาย  นาน ๆ  เข้าเราก็เลยรู้สึกว่าเราไม่ต้องสนใจกับการวิเคราะห์ “ภาพใหญ่” ให้เสียเวลา  และถ้ายิ่งไป  “คิดมาก”  ก็อาจจะทำให้เรากระวนกระวายใจหรือกลัวและอาจจะทำให้ตัดสินใจผิดพลาดได้

    แต่ความเป็นจริงก็คือ  ภาพใหญ่นั้นมีความสำคัญ  โดยเฉพาะถ้ามันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญและมีแนวโน้มจะเปลี่ยนไปอย่าง  “ถาวร”  ซึ่งจะกระทบกับกิจการหรือบริษัทหรือหุ้นที่เราลงทุน  อย่าลืมว่า  กิจการนั้นเหมือน “ปลา”  และภาพใหญ่นั้นเหมือน  “น้ำ”  ถ้าน้ำนั้นมีปัญหาหรือไม่เหมาะสม  ปลาจะอยู่ลำบาก  ถ้าน้ำเป็น “พิษ”  ปลาก็อยู่ไม่ได้  ที่ผ่านมานั้นน้ำค่อนข้างจะ “สะอาด” และอยู่ในสภาพที่ดี  เราก็เลยไม่รู้สึกอะไร  เราไม่รู้สึกว่าคุณภาพของน้ำนั้นมีความสำคัญและเราไม่สนใจที่จะต้องเฝ้าดูและติดตาม  แต่เราไม่รู้หรอกว่าน้ำ  โดยเฉพาะของประเทศไทยนั้น  อาจจะเปลี่ยนไปได้มากมายและกลายเป็นพิษที่อาจจะทำลายปลาได้   การวิเคราะห์ภาพใหญ่หรือปัจจัยภายนอกนั้น  ถ้าจะให้ครอบคลุมเราควรใช้กรอบที่เรียกว่า  “SPELT”  ซึ่งเป็นคำย่อของคำต่อไปนี้:

    S มาจากคำว่า Social  หรือสังคม  สิ่งที่เราจะต้องตามก็คือ พฤติกรรมของคนไทยในเรื่องต่าง ๆ  เราต้องรู้ว่าสังคมไทยนั้นเป็นอย่างไร  มีอะไรที่แตกต่างจากชาติอื่นและเป็นเพราะอะไร  และการเปลี่ยนแปลงจะไปทางไหนและเกิดขึ้นเมื่อไรและจะส่งผลกระทบอะไรบ้างโดยเฉพาะกับหุ้นที่เราลงทุน  วิธีการวิเคราะห์นั้น  ประเด็นใหญ่ก็คือการสังเกตพฤติกรรมของคนทั่วไป  คนรอบข้าง  ดูว่าเป็นใครและอายุเท่าไร  การอ่านข่าวสารทางสังคมในแวดวงต่าง ๆ  โดยเฉพาะที่เป็นคนชั้นนำ เช่น เหล่า “ดารา” ในวงการต่าง ๆ  “ไอดอล”  ของคนแต่ละกลุ่มเป็นใคร  ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ  ดูการ  “เปลี่ยนแปลง”  ที่เกิดขึ้นซึ่งจะเป็นตัวที่จะกระทบกับผลิตภัณฑ์หรือบริการของบริษัทและต่อหุ้นในที่สุด  ตัวอย่างง่าย ๆ  ที่เราเห็นการเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างชัดเจนในช่วงนี้ก็คือ  การที่คนมักจะ  “ก้มหน้าจิ้มเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่นาน ๆ”   หรือการที่ผู้หญิงหรือแม้แต่ผู้ชายบางคนทำศัลยกรรมหรือปรับแต่งใบหน้าและร่างกายส่วนอื่นกันจนเป็นเรื่อง  “ปกติ”  หรือการที่คนหนุ่มสาวต่างก็มีคอนโดมิเนียมกันแพร่หลายและอาศัยอยู่กันเป็นบ้านหลังแรกเป็นต้น

    P มาจากคำว่า Politics นี่คือเรื่องของการเมือง  เราต้องวิเคราะห์ว่าแนวโน้มของการเมืองไทยนั้นจะเป็นอย่างไรและมันจะกระทบกับเศรษฐกิจและธุรกิจโดยรวมอย่างไร  ประเด็นก็คือ  การเมืองที่อันตรายที่สุดของตลาดหุ้นก็คือ  ระบบการเมืองที่  “ปิดประเทศ”  หรือทำให้ประเทศกลายเป็นประเทศปิดเนื่องจากไม่เป็นที่ยอมรับของสังคมโลก  อันตรายต่อมาก็คือ  การเมืองที่ทำให้เกิดความวุ่นวายเนื่องจากคนไทยกลุ่มใหญ่บางกลุ่มไม่ยอมรับ “กติกา” ในการเข้าสู่อำนาจในการปกครองและนำไปสู่การต่อสู้หรือการรบพุ่งจนทำให้ธุรกิจไม่สามารถดำเนินไปได้เป็นปกติอย่างเช่นที่เกิดในประเทศตะวันออกกลางบางประเทศ  เป็นต้น  ตรงกันข้าม  ระบบการเมืองที่เอื้ออำนวยที่สุดต่อตลาดหุ้นและบริษัทก็คือ  ระบบเสรีประชาธิปไตยอย่างที่เป็นในประเทศที่ก้าวหน้าทั้งหลาย

    E มาจากคำว่า Economics นี่คือเรื่องของเศรษฐกิจ  การวิเคราะห์ในเรื่องนี้ผมไม่ใคร่สนใจภาวะการเติบโตของเศรษฐกิจในช่วงสั้น ๆ  แค่ปีหรือสองปี  เพราะผมคิดว่ามันไม่ค่อยจะมีผลอะไรกับบริษัทในระยะยาว  สิ่งที่ผมสนใจติดตามและวิเคราะห์ก็คือ  การเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาวของประเทศว่ามันจะไปถึงไหน?  การวิเคราะห์ในเรื่องนี้ผมมักจะดูถึง “โปรไฟล์”  ของประชากรคนไทย  ซึ่งรวมถึงอายุ  ความสามารถ  และรวมถึงทำเลที่ตั้งของประเทศ  และอื่น ๆ  ที่เป็นเรื่องของ “โครงสร้าง” ที่ไม่ค่อยจะเปลี่ยนแปลงได้ง่าย  ซึ่งสิ่งที่ผมจะพยายามหาข้อสรุปก็เช่น  อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยจะโตต่อไปได้ประมาณปีละกี่เปอร์เซ็นต์และจะโตไปได้อีกกี่ปี  คำตอบของผมก็อาจจะเป็นว่า  ประเทศไทยก็อาจจะโตแบบค่อนข้างเร็วต่อไปได้อีกซัก 10 ปี  หลังจากนั้นคงจะโตช้าลงหรือหยุดโต  กลายเป็นประเทศที่  “ติดกับดัก”  ชาติที่มีรายได้ปานกลางเหมือนอย่างอาร์เจนตินาหรืออีกหลาย ๆ  ประเทศ เป็นต้น  และถ้าเป็นแบบนั้น  การลงทุนของผมจะทำอย่างไร?

    L มาจากคำว่า Legal หรือกฎหมายต่าง ๆ  ที่ออกมาและมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจหรือบริษัทหรือต่อความมั่งคั่งของเราในแง่ของการลงทุนในหุ้น  ยกตัวอย่างง่าย ๆ  เช่น  การเปลี่ยนแปลงที่จะเก็บภาษีกำไรจากการลงทุนในหุ้น  แบบนี้ก็เห็นได้ชัดว่าทำให้ผลตอบแทนการลงทุนในหุ้นลดลง  ราคาหุ้นคงถูกกระทบอย่างรุนแรงเพราะเป็นเรื่องที่กระทบกับหุ้นโดยตรง  ยังมีกฎหมายมากมายที่อาจจะกระทบกับบริษัทโดยรวมหรือกระทบอย่างแรงต่อบางบริษัทในด้านของผลประกอบการ  แบบนี้เราก็ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด  และในบางครั้งเราก็ต้องลงมือทำอะไรบางอย่างถ้าดูแล้วว่าความเสี่ยงที่มันจะเกิดขึ้นนั้นสูงพอควรเป็นต้น

    สุดท้ายก็คือ T ซึ่งมาจากคำว่า Technology  นี่คือการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่นับวันเกิดบ่อยและเร็วขึ้นมากจนเป็นความเสี่ยงที่รุนแรงที่สุดอย่างหนึ่งของการลงทุนโดยเฉพาะในธุรกิจที่เกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์กับเทคโนโลยี  หลาย ๆ  บริษัทต้องล้มหายตายจากหรือมีผลประกอบการตกต่ำลงมากอย่างรวดเร็วก็เพราะเทคโนโลยีใหม่เข้ามาแทนที่หรือมาทำลายความเข้มแข็งเดิมที่มีอยู่  ตัวอย่างเช่น ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับหนังสือและเทปเพลงที่ถูกอินเตอร์เน็ตเข้าแย่งชิงตลาดไปมาก เป็นต้น  ดังนั้น  การติดตามเรื่องของเทคโนโลยีจึงเป็นเรื่องที่สำคัญโดยเฉพาะกิจการที่อาจจะอยู่ในข่ายที่ถูกกระทบอย่างรุนแรงได้

    ก่อนที่จะจบบทความนี้  ผมขอพูดย้ำอีกครั้งว่าภาพใหญ่ที่จะเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจในการลงทุนของเรานั้นมักจะไม่เกิดขึ้นบ่อย  ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องของระยะสั้นที่เรามักจะไม่ต้องทำอะไร  อย่างไรก็ตาม  ในบางครั้งมันก็อาจจะมีผลกระทบและเมื่อเกิดขึ้นก็มักจะแรงกว่าที่คิดและเราอาจจะต้องทำอะไรบางอย่างเช่น อาจจะต้องขายหุ้นทิ้ง  ผมเองก็ได้แต่หวังว่า  การเปลี่ยนแปลงภาพใหญ่ของประเทศไทยเรานั้น  ถ้าจะเกิดความเสียหายก็เกิดขึ้นเฉพาะจุด  เฉพาะบางบริษัท  อย่าได้เกิดรุนแรงจนกระทั่งกระทบไปทั้งระบบ  เพราะในกรณีอย่างนั้น  มันอาจจะเหมือนกับ  “น้ำ”  ที่เสียจนกระทั่ง  “ปลา”  ทั้งหลายไม่สามารถอยู่รอดได้
[/size]

Re: SPELT/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 30, 2014 8:49 pm
โดย theenuch
ขอบพระคุณมากค่ะ :)

Re: SPELT/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 30, 2014 9:04 pm
โดย ลูกหิน
ขอบคุณมากๆครับ

Re: SPELT/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 30, 2014 10:32 pm
โดย Mr.Kcip
ขอบคุณครับอาจารย์

Re: SPELT/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 30, 2014 10:45 pm
โดย pakhakorn
ขอบคุณมากๆ ครับ

Re: SPELT/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 01, 2014 12:35 am
โดย JobJakraphan
ขอบพระคุณมากครับ

Re: SPELT/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 01, 2014 1:13 am
โดย วรันศ์ บัฟเฟต
SPELT นี่เป็น conventional macro environment analysis framework ครับ
เริ่มจาก PEST ก่อนและมี variation ออกไปหลายรูปแบบทั้ง
SLEPT, SPELT (เพิ่ม legal)
PESTEL, PESTLE (เพิ่ม environment)
STEEPLE (เพิ่ม ethics)
STEEPLED (เพิ่ม ethics + demo)
STEER (socio-cultural + technological + conomic + ecological + regulatory)

Re: SPELT/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 01, 2014 2:32 am
โดย CARPENTER
Thai VI Article เขียน:

โค้ด: เลือกทั้งหมด

 แต่ความเป็นจริงก็คือ ภาพใหญ่นั้นมีความสำคัญ โดยเฉพาะถ้ามันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญและมีแนวโน้มจะเปลี่ยนไปอย่าง “ถาวร” ซึ่งจะกระทบกับกิจการหรือบริษัทหรือหุ้นที่เราลงทุน อย่าลืมว่า กิจการนั้นเหมือน “ปลา” และภาพใหญ่นั้นเหมือน “น้ำ” ถ้าน้ำนั้นมีปัญหาหรือไม่เหมาะสม ปลาจะอยู่ลำบาก ถ้าน้ำเป็น “พิษ” ปลาก็อยู่ไม่ได้ ที่ผ่านมานั้นน้ำค่อนข้างจะ “สะอาด” และอยู่ในสภาพที่ดี เราก็เลยไม่รู้สึกอะไร เราไม่รู้สึกว่าคุณภาพของน้ำนั้นมีความสำคัญและเราไม่สนใจที่จะต้องเฝ้าดูและติดตาม แต่เราไม่รู้หรอกว่าน้ำ โดยเฉพาะของประเทศไทยนั้น อาจจะเปลี่ยนไปได้มากมายและกลายเป็นพิษที่อาจจะทำลายปลาได้ การวิเคราะห์ภาพใหญ่หรือปัจจัยภายนอกนั้น ถ้าจะให้ครอบคลุมเราควรใช้กรอบที่เรียกว่า “SPELT” ซึ่งเป็นคำย่อของคำต่อไปนี้:ได้
[/size]
เป็นการเปรียบเทียบที่ทำให้เห็นภาพได้ชัด สภาพใหญ่ คือ น้ำ แต่ละกิจการคือปลา
แต่ที่บอกว่าที่ผ่านมาน้ำค่อนข้างสะอาด ผิดข้อเท็จจริงอย่างแรง การคอรัปชั่นอย่างมหาศาล
และจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เฉพาะ จำนำข้าวอย่างเดียวก็เสียหายไม่ต่ำกว่า หกแสนล้านบาท
ผมจะไม่พูดแล้วว่าคอรัปชั่นชั่วร้ายอย่างไร เหมือนกับน้ำที่เน่าและจะเพิ่มระดับความเน่าขึ้นเรื่อยๆ
ปลาที่ทนไม่ได้จะตาย(SME) ปลาที่ชอบน้ำเน่า จะแข็งแรงและเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ
สุดท้ายเราก็จะเหลือปลาที่ชอบน้ำเน่ากับหนอนเท่านั้น