Thai VI

พอดีตอนนี้มีกองทุนเลี้ยงชีพกับที่ทำงานอยู่ เค้าก็มีเเบบให้เลือก เช่น แบบลงทุนพันธบัตร 100%,แบบพันธบัตร 70%หุ้น30%,แบบ 50%50%,แบบหุ้น 100% ๆลๆ ทางกองทุนให้เราเปลี่ยนแบบลงทุนได้ปีละครั้ง เราจะมีวิธีประยุกษ์การลงทุนแบบ value มาใช้ได้วิธีไหนบ้าง ขอความเห็นหน่อยครับ

เป็น active หรือ passive fund. ครับ

จริงๆแล้วจะบอกว่า Value คงไม่ถูกซะทีเดียวนะครับ เพราะการให้เลือกแบบนี้คือ Asset Allocation เท่านั้นเอง
น่าอิจฉาที่บริษัทคุณมีกองให้เลือกเยอะแยะเลยครับ

คงต้องถามต่อว่าคิดจะทำงานกับบริษัทนี้อีกนานแค่ไหนครับ ถ้านานมาก ผมว่าเลือกกองที่ลงหุ้นตั้งแต่ 50% ขึ้นไปครับ
เพราะผลตอบแทนเฉลี่ยในระยะยาว หุ้นให้ผลตอบแทนดีกว่าพันธบัตร
การเลือกลงให้หุ้นก็เหมือนเลือกลงใน index fund และการหักเงินทุกเดือนเข้าไปซื้อก็เหมือนกับการทำ Dollar Cost Average

ประเด็นสำคัญคือ อย่าลืมว่าทุกๆบาทที่คุณซื้อกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ คุณได้ return มาแล้ว 100% เพราะบริษัทสมทบ

ในความคิด กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ส่วนใหญ่ให้ผลตอบแทนที่ต่ำเกินจริงๆ
ได้ไม่ถึง 1% ต่อปี สำหรับกองตราสารหนี้ มันเกิดอะไรขึ้น
ซึ่งจริงๆๆ แล้ว น่าถามกองทุนว่า กองทุนถือครองตราสารหนี้ครบกำหนดจำนวนเท่าไร และ ถือเป็น เผื่อค้าเท่าไร และ เผื่อขายเท่าไร
ถ้าบอกแบบนี้ไซร้ กลัวว่า มีปัญหาทั้งระบบแน่นอน
ต้องปฏิวัติเรื่องการรายงานของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

โดยส่วนใหญ่ บริษัท ไม่ให้ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ มีผลตอบแทนสูงเกินไป เนื่องจากทำให้
บุคคลากรของเขาหายไปจากระบบแรงงานนั้นเอง
อีกอย่าง กองทุนสำรองเลี้ยงชีิพนั้น บริษัทได้ค่าบริการจัดการแน่นอน ต่อปี ทำให้ เหมือนเสือนอนกิน
แต่ กองทุนที่บริษัทออกมาแข่งขันกัน จำเป็นต้องทำผลงานดีๆๆ ไม่นั้นก็ไม่ได้ใครกล้ามาลงทุนกับบริษัทจัดการกองทุนรวม มันเลยทำให้ความกระตือรือร้นมันแตกต่างกัน หรือเปล่า

miracle เขียน:ในความคิด กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ส่วนใหญ่ให้ผลตอบแทนที่ต่ำเกินจริงๆ
ได้ไม่ถึง 1% ต่อปี สำหรับกองตราสารหนี้ มันเกิดอะไรขึ้น
ซึ่งจริงๆๆ แล้ว น่าถามกองทุนว่า กองทุนถือครองตราสารหนี้ครบกำหนดจำนวนเท่าไร และ ถือเป็น เผื่อค้าเท่าไร และ เผื่อขายเท่าไร
ถ้าบอกแบบนี้ไซร้ กลัวว่า มีปัญหาทั้งระบบแน่นอน
ต้องปฏิวัติเรื่องการรายงานของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

โดยส่วนใหญ่ บริษัท ไม่ให้ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ มีผลตอบแทนสูงเกินไป เนื่องจากทำให้
บุคคลากรของเขาหายไปจากระบบแรงงานนั้นเอง
อีกอย่าง กองทุนสำรองเลี้ยงชีิพนั้น บริษัทได้ค่าบริการจัดการแน่นอน ต่อปี ทำให้ เหมือนเสือนอนกิน
แต่ กองทุนที่บริษัทออกมาแข่งขันกัน จำเป็นต้องทำผลงานดีๆๆ ไม่นั้นก็ไม่ได้ใครกล้ามาลงทุนกับบริษัทจัดการกองทุนรวม มันเลยทำให้ความกระตือรือร้นมันแตกต่างกัน หรือเปล่า

กองตราสารหนี้เท่าที่รู้ได้ 3 % กว่านะครับ

ส่วนกองที่ลงตราสารทุน รวมกันแล้วได้มากกว่า 3% ขึ้นไปแต่ก็มีบางปีที่ขาดทุนบ้างแต่ไม่เยอะครับ

sci เขียน:

miracle เขียน:ในความคิด กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ส่วนใหญ่ให้ผลตอบแทนที่ต่ำเกินจริงๆ
ได้ไม่ถึง 1% ต่อปี สำหรับกองตราสารหนี้ มันเกิดอะไรขึ้น
ซึ่งจริงๆๆ แล้ว น่าถามกองทุนว่า กองทุนถือครองตราสารหนี้ครบกำหนดจำนวนเท่าไร และ ถือเป็น เผื่อค้าเท่าไร และ เผื่อขายเท่าไร
ถ้าบอกแบบนี้ไซร้ กลัวว่า มีปัญหาทั้งระบบแน่นอน
ต้องปฏิวัติเรื่องการรายงานของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

โดยส่วนใหญ่ บริษัท ไม่ให้ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ มีผลตอบแทนสูงเกินไป เนื่องจากทำให้
บุคคลากรของเขาหายไปจากระบบแรงงานนั้นเอง
อีกอย่าง กองทุนสำรองเลี้ยงชีิพนั้น บริษัทได้ค่าบริการจัดการแน่นอน ต่อปี ทำให้ เหมือนเสือนอนกิน
แต่ กองทุนที่บริษัทออกมาแข่งขันกัน จำเป็นต้องทำผลงานดีๆๆ ไม่นั้นก็ไม่ได้ใครกล้ามาลงทุนกับบริษัทจัดการกองทุนรวม มันเลยทำให้ความกระตือรือร้นมันแตกต่างกัน หรือเปล่า

กองตราสารหนี้เท่าที่รู้ได้ 3 % กว่านะครับ

ส่วนกองที่ลงตราสารทุน รวมกันแล้วได้มากกว่า 3% ขึ้นไปแต่ก็มีบางปีที่ขาดทุนบ้างแต่ไม่เยอะครับ

นั้นกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่ซื้อขายหน่วยลงทุนครับ
มิใช่กองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบริษัทเอกชนทั่วไปครับ
ซึ่งจริงๆๆ แล้ว การจัดอันดับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้น ควรที่จัดอันดับของกองทุนทั้งหมดในระบบ มิใช่กองทุนที่ซื้อขายได้ทั่วไปรวมด้วย

จริงอย่างที่คุณ miracle ตอบครับ ผมเลือกแบบตราสารหนี้ 100% ผลตอบแทนต่อปีแค่ 1%นิดเองครับ เลยคิดว่าถ้าเราเปลี่ยนตามสภาวะตลาดดีไหม ถ้าปีไหนวิเคราะห์แล้วเศรษฐกิจดีก็ลงหุ้นเยอะหน่อย ถ้าไม่ดีก็มาเลือกที่ตราสารหนี้ หรือว่าจะใช้ dollar cost average ดีครับ คือ อยากให้ได้ผลตอบแทนเยอะขึ้นนะครับ

tg32401 เขียน:จริงอย่างที่คุณ miracle ตอบครับ ผมเลือกแบบตราสารหนี้ 100% ผลตอบแทนต่อปีแค่ 1%นิดเองครับ เลยคิดว่าถ้าเราเปลี่ยนตามสภาวะตลาดดีไหม ถ้าปีไหนวิเคราะห์แล้วเศรษฐกิจดีก็ลงหุ้นเยอะหน่อย ถ้าไม่ดีก็มาเลือกที่ตราสารหนี้ หรือว่าจะใช้ dollar cost average ดีครับ คือ อยากให้ได้ผลตอบแทนเยอะขึ้นนะครับ

สิ่งที่ผมกำลังสื่อคือ ถ้าหากคุณลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบริษัทนั้น
คุณลงทุนอย่างต่ำ 3% นายจ้างสมทบ 3% เป็นอย่างน้อย (ตามกฏหมาย สามารถปรับได้แต่มีขั้นต่ำ)
ถ้าหากคุณออกจากกองทุนก่อน 3 ปี คุณไมไ่ด้ส่วนของนายจ้างเลย ถ้าคุณทำงานกับนายจ้างไปเรื่อยๆ
คุณก็ได้ส่วนของนายจ้างที่ส่งนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆๆ
แถมคุณได้ลดหย่อยภาษีจากส่วนที่คุณส่งด้วย จากกรมสรรพากร

แต่ หากออกไปลงทุนเอง ซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน RMF ที่บริษัทจัดการกองทุนรวมตั้งขึ้นนั้น
คุณไม่ได้ส่วนของนายจ้างเลย แต่ได้ลดหย่อนเหมือนกับที่คุณลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพกับบริษัท
แต่ทว่า ยอดที่คุณลงทุนได้สูงสุดต้องหักออกจากยอดที่คุณสมทบแล้วกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบริษัทแล้ว

สิ่งที่คุณได้จากการลงทุนเองคือ การที่คุณเลือกได้ว่า คุณลงทุนในกอง RMF ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นมากหน่อย หรือ ลงทุนในตราสารหนี้ หรือ ลงทุนในทองคำ หรือ ลงทุนต่างประเทศเลย แต่ถ้าหากคุณสมทบโดยใช้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบริษัทนั้น บริษัทลงความเห็นกับบริษัทจัดการกองทุนรวมว่า พนักงานไม่ค่อยมีความสามารถในเรื่องการลงทุน ดังนั้นจึงลงทุนในตัวตราสารหนี้เป็นหลัก หรือ ตั้งคณะกรรมการตัวแทนของลูกจ้าง พิจารณาเรื่องการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ โดยส่วนใหญ่ คณะกรรมการมาจากฝ่ายบัญชีและการเงินของบริษัทนั้นๆเอง

ซึ่งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่ีมีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไทยคือ กองทุน กบข นั้นเอง

ของบริษัทฯ ผม เริ่มให้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบในการเลือกลงทุน ตั้งแต่ปี 2010
ซึ่งก็สามารถปรับเปลี่ยนได้ปีละครั้งเหมือนกัน โดยสามารถเลือกได้ว่า
จะลงทุนในตราสารหนี้, ทอง, หุ้นในสัดส่วนอย่างละเท่าไหร่ (ปัจจุบัน ทองโดยจำกัดสัดส่วนตามกฎหมายที่กำหนด)
ซึ่งส่วนตัวเริ่มเปลี่ยนรูปแบบตั้งแต่ครั้งแรกในปี 2010 แล้ว
ผลกำไรและการเติบโตของกองทุน นั้นเติบโตขึ้นอย่างมาก

ยิ่งถ้าเอาไปเมื่อเทียบกับสมัยก่อนที่จะเริ่มโครงการในปี 2010
กองทุนจะลงทุนในตราสารหนี้ (90%) และตราสารทุนหรือหุ้น (10%) เท่านั้น
ผลประโยชน์ (กำไร) ที่ได้มันต่างกันมากกกกกกกกกกกกกกก เลยครับ
(เอาแค่รอบปีแรก ในปี 2010 ที่เริ่มเปลี่ยนการลงทุน ผลประโยชน์ (กำไร) ที่ได้ ในรอบปีแรกนั้น ก็สามารถเอาชนะผลกำไรในรูปแบบกองทุนเดิม (ตราสารหนี้ 90% หุ้น 10%) ซึ่งสะสมมากว่า 8 ปี ในอัตราผลประโยชน์เพิ่มขึ้น 1 เท่าตัว ได้ในปีเดียว)

แต่ก็นั่นแหล่ะ ปีที่ผ่านมา หุ้นตกในช่วงกลางถึงปลายปี ก็ทำให้ในปีนั้นได้รับผลขาดทุนเหมือนกัน
แต่ถ้าเทียบกับปีที่ผ่าน ๆ โดยรวมตั้งแต่ปี 2010 แล้วก็พบว่า มันดีกว่ามากในเรื่องของผลกำไรที่ได้
ทำให้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ที่เราสะสม บริษัทฯสมทบ และผลกำไรที่ได้) เติบโตขึ้นอย่างมากเลยครับ

ประเด็นในเรื่องการเลือกลงทุนใน Sub master Fund ของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้น
เจ้าหน้าที่ของกองทุนก็ดี หรือ เจ้าหน้าที่ของฝ่ายบริษัทก็ดี มีภาระในการอบรมเจ้าหน้าของบริษัทที่เป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของบริษัท ให้มีความรู้ความเข้าใจ เรื่องผลตอบแทนและความเสี่ยง กว่าจะอบรมกันเสร็จใช้เวลายาวนาน แถมอบรมไปก็ไม่ได้ใช้งานเท่าไรด้วย เพราะ ปรับเปลี่ยนได้ปีละ 1 ครั้งหรือ2 ครั้งเนื่องจาก เป็นภาระเจ้าหน้าที่ของบริษัทจัดการกองทุนรวมอย่างมากมาย
ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่สำคัญ ถ้าหาก กลต. ที่กำกับดูแลในเรื่องกองทุน ลงมาใส่ใจให้ความสำคัญกับการให้ความรู้แก่นักลงทุนในเรื่องนี้อย่างเต็มที่มันจะน่าดีกว่านี้ มิใช่กำกับดูแลอย่างเดียว

ถ้าบริษัทไม่มีนโยบายให้เลือกได้ แต่กองทุนมี
กรรมการของบริษัทกำหนดไว้นโยบายเดียว

เราสามารถโทรไปหากองทุนเองโดยตรงได้หรือไม่ครับ?

1.ถ้าทำงานกับ บ.ที่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ถืิอว่าสุดยอด กอดไว้แน่นๆ
2.การเลือกสัดส่วน เลือกที่ผลตอบแทนสูงกว่า ระยะยาวดีกว่าแน่นอน (ตราสารหนี้เอาไว้รับแรงกระแทกเฉยๆ)
3.การ Rebalance สามารถดูสภาวะตลาดหุ้นได้ จะได้ประโยชน์
4.เกษียณจากงานแล้วยังคงสมาชิกได้อยู่ (เก็บกินได้เรื่อยๆ)

ผมคิดว่ามีหลายประเด็นที่มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนครับ

ตอบ จขกท. ก่อน จริงอย่างที่คุณ zephyr ว่าครับ การเลือกนโยบายการลงทุนเป็นการเลือก Asset Allocation
โดยทั่วไป ถ้ายังลงทุนอยู่กับกองทุนฯอีกนาน ก็สามารถเลือกนโยบายที่มีหุ้นเยอะๆได้ครับ ซึ่งในระยะยาวจะให้ผลตอบแทนสูงกว่า

กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ มีเป้าหมายเพื่อการเกษียณครับ การเปลี่ยนนโยบายการลงทุนจึงควรมองยาวๆ ไม่ควรใช้เพื่อ timing ตลาด

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ประเด็นผลตอบแทนของกองทุนฯ อันนั้นขึ้นอยู่นโยบายการลงทุนของกองทุน เช่น กองตราสารหนี้ก็ยังแบ่งเป็นตราสารหนี้ระยะสั้น
ตราสารหนี้ภาครัฐ ตราสารหนี้ทั่วไป แล้วก็เป็นกองผสม(ซึ่งจะกำหนดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไม่เกินกี่%) กองหุ้น เป็นต้น

ที่คุณ miracle บอกว่าได้ไม่เกิน 1% คงต้องไปดูว่าเป็นกองทุนฯที่มีนโยบายลงทุนยังไง

ที่คุณ tg32401 บอกว่าได้ 1% นิดๆ ผมคิดว่าต่ำผิดปกติครับ ปีที่แล้วดอกเบี้ยลด กองตราสารหนี้น่าจะได้เกิน 3% ผมคิดว่าคุณ tg32401
ลองเช็ค statement ดีๆครับ เพราะ เรามีการนำส่งเงินเข้ากองทุนฯ ระหว่างปีด้วย ดังนั้นเอาผลตอบแทนที่เกิดขึ้นระหว่างปีหารเงินต้นรวมตรงๆไม่ได้
(นึกภาพว่า เงินที่เราส่งเดือน 6 ถึงสิ้นปีเท่ากับลงทุนไปแค่ 6เดือน/ เงินที่เราส่งเดือน 12 เท่ากับยังไม่ได้ลงทุนเลย)

ทั้งนี้หากอยากได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น คงต้องเพิ่มสัดส่วน risky asset เช่นพวกหุ้น หุ้นต่างประเทศครับ
(ทำใจกับตราสารหนี้เถอะครับ ดอกเบี้ยต่ำเตี้ย upside แทบไม่มี)
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ประเด็นเรื่องภาษี

เงินกองทุนฯ มี 4 ส่วน เงินที่เราส่ง ผลประโยชน์จากเงินที่เราส่ง เงินนายจ้างส่ง ผลประโยชน์จากเงินที่นายจ้างส่ง
เงินส่วนที่มาจากนายจ้างและผลประโยชน์ที่เกิดขึ้น นายจ้างสามารถกำหนดเงื่อนไขการจ่ายได้ครับ บางที่ใจดี ก็ให้ไปเลยโดยไม่มีเงื่อนไข
บางที่ก็มีเงื่อนไขให้มากขึ้นตามอายุงาน เช่น 3ปี ให้ 30% 5ปีให้ 50% 10ปี ให้100% ต้องไปดูข้อบังคับกองทุนครับ

ในกรณีที่เราอยู่กับกองทุนจนครบเงื่อนไขยกเว้นภาษี (คุ้นๆว่า อายุ 55 + อยู่กับกองทุนครบ 5 ปี) เงินที่ได้รับทั้ง 4 ก้อน ไม่ต้องเสียภาษี
แต่ถ้าไม่ครบ เงินเฉพาะ ผลประโยชน์จากเงินที่เราส่ง เงินนายจ้างส่ง ผลประโยชน์จากเงินที่นายจ้างส่ง ที่ต้องเอาไปคำนวนเสียภาษี
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ประเด็นเรื่องนโยบายการลงทุน

ตอบคุณ Nevercry.boy ที่ถามว่าโทรไปหาบลจ.ที่บริหารเลยได้ไหม คำตอบคือทำไม่ได้ครับ
นโยบายการลงทุนกำหนดโดยกรรมการกองทุนครับ บลจ. รับหน้าที่บริหารตามที่กรรมการกำหนดให้ครับ

ขอบคุณที่ตั้งคำถามมาครับ
เดี๋ยวผมเอารายละเอียดมาให้ดูละกันว่า กองทนุสำรองเลี้ยงชีพที่ผมเป็นสมาชิกนั้นมีนโยบายอย่างไร มาแสดงให้ดู
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

กองทุนบอกมาแค่นี้
------------------------------------------------------
ประเภทกองทุน : มีหลายนโยบาย (Sub Fund)
• ระดับความเสี่ยง : ตามนโยบายลงทุนจากความเสี่ยงต่ำ – ความเสี่ยงสูง
Sub Fund 1 : ความเสี่ยงต่ำ เงินฝาก ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ
------------------------------------------------------
พอดีบริษัทลงทุนใน Master fund โดยมี Sub Fund หลายๆตัว
ซึ่งตัวที่บริษัทเลือกให้เป็น Sub Fund 1 ซึ่งมีนโยบายแบบนี้ จะได้ชัดเจนว่า ทำไมที่ผมบอกว่าได้ 1% เพราะอะไร
ถ้าหากอยากรู้ลึกๆๆ ต้องไปเปิดผลประกอบการเอา ซึ่งไม่ได้บอกไว้อย่างละเอียดว่านโยบายว่า ลงทุนในตราสารหนี้อายุยาวเท่าไร หรือ อายุสั้นเท่าไร
กองทุนประเภทนี้ ไม่ค่อยโชว์ผลประกอบการเป็นสาธารณะเท่าไร ถ้าเปิดมา สาธารณะคงจะอึ้งกิ้มกี่ว่า ทำไมเกิดอะไรขึ้นก็เป็นไปได้ครับ อีกอย่างหนึ่ง บริษัทไม่ได้บอกด้วยว่า ใช้ Fund manager บริหารงานกี่ท่านในแต่ละกอง ซึ่งที่ผมเจอในบางบริษัทจัดการกองทุนรวม บอกไว้ว่า กองทุนนี้มี Fund manager ดูแลกี่ท่าน ซึ่งผมก็จะเปิดประเด็นต่อไปว่า กองทุนในประเทศไทยมันมีจำนวนกองทุนที่มากมาย ขนาดกองทุนที่ใหญ่มากๆ แต่มี Fund manager ที่ขึ้นทะเบียนไม่เกิน 300 ท่านในการบริหาร ต้องถามย้อนกลับไปว่า จำนวน Fund Manager เพียงพอในการบริหารกองทุนเหล่านั้นหรือเปล่า ประกอบด้วย

miracle เขียน:ขอบคุณที่ตั้งคำถามมาครับ
เดี๋ยวผมเอารายละเอียดมาให้ดูละกันว่า กองทนุสำรองเลี้ยงชีพที่ผมเป็นสมาชิกนั้นมีนโยบายอย่างไร มาแสดงให้ดู
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

กองทุนบอกมาแค่นี้
------------------------------------------------------
ประเภทกองทุน : มีหลายนโยบาย (Sub Fund)
• ระดับความเสี่ยง : ตามนโยบายลงทุนจากความเสี่ยงต่ำ – ความเสี่ยงสูง
Sub Fund 1 : ความเสี่ยงต่ำ เงินฝาก ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ
------------------------------------------------------
พอดีบริษัทลงทุนใน Master fund โดยมี Sub Fund หลายๆตัว
ซึ่งตัวที่บริษัทเลือกให้เป็น Sub Fund 1 ซึ่งมีนโยบายแบบนี้ จะได้ชัดเจนว่า ทำไมที่ผมบอกว่าได้ 1% เพราะอะไร
ถ้าหากอยากรู้ลึกๆๆ ต้องไปเปิดผลประกอบการเอา ซึ่งไม่ได้บอกไว้อย่างละเอียดว่านโยบายว่า ลงทุนในตราสารหนี้อายุยาวเท่าไร หรือ อายุสั้นเท่าไร
กองทุนประเภทนี้ ไม่ค่อยโชว์ผลประกอบการเป็นสาธารณะเท่าไร ถ้าเปิดมา สาธารณะคงจะอึ้งกิ้มกี่ว่า ทำไมเกิดอะไรขึ้นก็เป็นไปได้ครับ อีกอย่างหนึ่ง บริษัทไม่ได้บอกด้วยว่า ใช้ Fund manager บริหารงานกี่ท่านในแต่ละกอง ซึ่งที่ผมเจอในบางบริษัทจัดการกองทุนรวม บอกไว้ว่า กองทุนนี้มี Fund manager ดูแลกี่ท่าน ซึ่งผมก็จะเปิดประเด็นต่อไปว่า กองทุนในประเทศไทยมันมีจำนวนกองทุนที่มากมาย ขนาดกองทุนที่ใหญ่มากๆ แต่มี Fund manager ที่ขึ้นทะเบียนไม่เกิน 300 ท่านในการบริหาร ต้องถามย้อนกลับไปว่า จำนวน Fund Manager เพียงพอในการบริหารกองทุนเหล่านั้นหรือเปล่า ประกอบด้วย

ดูจากนโยบายแล้วน่าจะเป็นนโยบายความเสี่ยงต่ำสุด แต่ยังไงกองตราสารหนี้ปีที่แล้วยังไงไม่น่าได้แ่ค่ 1% ครับ
เพราะเงินฝากก็ได้ เกือบๆ 3% พันธบัตรอายุ 2 ปี total return ก็ได้ราวๆ 3.6% ผสมกองยังไงก็ไม่ลงมา 1.xx %

คุณ miracle ลองเช็ค statement ก่อนนะครับ อย่างที่เคยบอกว่า จะเอาผลตอบแทนที่เกิดระหว่างปี หาร ด้วยเิงินต้น ตรงๆไม่ได้ เพราะเิงินไม่ได้เข้าพร้อมกันทั้งหมด ตัวเลขเป๊ะๆต้องดูตัวเลขที่กองทุนบอกว่าได้ผลตอบแทนเท่าไหร่ ใน
- statement
- ข้อมูลที่ บลจ นำเสนอ เช่นตอนประชุมสามัญประจำปี
- ถาม HR หรือ กรรมการ

ขอบคุณคุณ nu อย่างสูงครับ

ว่าจะมาตอบหลายทีละครับ ลืมตลอด
พอดีว่าเจอสถาณการณ์เดียวกันนะครับ

ตอนนี้รัฐ จะให้เลือกประเภทกองทุนกันแล้ว

เลยต้องหาข้อมูลกันทั่วหน้า
ก่อนหน้านี้ ผมหึกเหิมมากครับ จัด หุ้น 100 แน่ๆ

แต่ผลตอบแทนที่ผ่านมาของ ผจก. คือไม่เกิน 5 งงมาก
ผมลงทุนเอง เกินตลอด

เลยค้นข้อมูลเพิ่ม เจอคีย์หลักๆคือ
1.หุ้นระยะยาว ได้มากสุด
2.อดีตผลตอบแทน ของกองทุน ไม่สามารถบอกอนาคตได้ เผลอๆ ถ้าปีที่แล้วดี ปีที่ท่านจะใช้บริการจะแย่ในบันดล
3.ครั้นจะเลือก กองทุนท้ายแถว ก็ดูจะไม่กล้า

บังเอิญว่ามีเพื่อน เป็นกรรมการกองทุน ของรัฐ
ช่วงนี้เลยยิงคำถามบ่อย

สรุปว่าได้คำตอบแบบ อึ้งครับ ถ้าเป็นไปได้ น่าจะมีให้เลือกลง SET10 SET50 SET100
แล้วไม่มีค่าจัดการกองทุน ยังงั้นจะดีกว่า
แต่ว่าไม่มีให้เลือกแบบนี้นะสิ
จะทำยังงัยละทีนี้

nu เขียน:
ดูจากนโยบายแล้วน่าจะเป็นนโยบายความเสี่ยงต่ำสุด แต่ยังไงกองตราสารหนี้ปีที่แล้วยังไงไม่น่าได้แ่ค่ 1% ครับ
เพราะเงินฝากก็ได้ เกือบๆ 3% พันธบัตรอายุ 2 ปี total return ก็ได้ราวๆ 3.6% ผสมกองยังไงก็ไม่ลงมา 1.xx %

คุณ miracle ลองเช็ค statement ก่อนนะครับ อย่างที่เคยบอกว่า จะเอาผลตอบแทนที่เกิดระหว่างปี หาร ด้วยเิงินต้น ตรงๆไม่ได้ เพราะเิงินไม่ได้เข้าพร้อมกันทั้งหมด ตัวเลขเป๊ะๆต้องดูตัวเลขที่กองทุนบอกว่าได้ผลตอบแทนเท่าไหร่ ใน
- statement
- ข้อมูลที่ บลจ นำเสนอ เช่นตอนประชุมสามัญประจำปี
- ถาม HR หรือ กรรมการ

ขอบคุณคุณ Nu ที่ตั้งข้อสังเกตไว้ครับ
ซึ่งมันก็ตรงกับที่ผมตั้งข้อสังเกตไว้นิครับ ว่าต่ำผิดปกติหรือเปล่า
ผมก็ Check Yield Curve ตลอดทุกอาทิตย์ครับว่าเป็นเช่นไร
ซึ่งในกรณีของกองทุนตราสารหนี้แบบนี้ แสดงไปถึงระดับตัวตราสารหนี้ที่ถือเลยละครับ
ซึ่งถ้ารู้ตราสาร ถ้าขยันหน่อยก็ตรวจสอบไปที่ www.thaibma.or.th ว่าผลตอบแทนเป็นเช่นไร
การวัดผลตอบแทนของตราสารหนี้นั้นมี ตัววัดที่เปรียบเทียบอยู่ด้วย ซึ่งเป็นค่ากลางของอุตสาหกรรม อยู่ด้วย
การลงบัญชีการมีรับรู้ตามระยะเวลาที่ถือครอง /รับรู้ตามมูลค่ายุติธรรม (จุดนี้ผมเองก็รู้ไม่หมด)
แต่ที่สำคัญ ทุกครั้งที่ บริษัทจัดการกองทุนรวมส่งมาถึงมือนั้น ผลตอบแทนมันแบ่งออกเป็นส่วนสองคือ
ส่วนของลูกค้าและนายจ้างที่สมทบ ทั้งสองส่วนนั้น ผลตอบแทนออกมาเท่ากันแป๊บเพราะลงทุนในกองทุนเดียวกัน
ส่วนเรื่องที่ว่า ผลตอบแทนมาหรือน้อยนั้น เดี๋ยวมาว่ากันที่หลังละกัน
จริงๆๆว่าไปแล้ว กองทุนสำรองเลี้ยงชีวิตในระบบนี้ก็เป็นตัวปัญหาในอนาคต เมื่อ ประชาชนเกิดตั้งแต่ 2480- 2535 เกษียณตัว มันทำให้เป็นภาระของกองทุนสำรองเลี้ยงชีวิตทุกที่จ่ายเงินออกมาจากองทุนตัวนี้ แต่เงินไหลเข้าน้อยกว่าเงินไหลออก แต่แก้ไขสิ่งนี้ได้จาก การที่ลดค่าเงิน/ปั้มเงินออกมาในระบบมากๆๆ หรือ ขึ้นอัตราเงินเดือนของประชาชนผู้ที่เกิดปี 2535 ให้มีเงินเดือนในอัตราที่สูงกว่า
ทุกอย่างมีทางแก้ไขเสมอ

miracle เขียน: ขอบคุณคุณ Nu ที่ตั้งข้อสังเกตไว้ครับ
ซึ่งมันก็ตรงกับที่ผมตั้งข้อสังเกตไว้นิครับ ว่าต่ำผิดปกติหรือเปล่า
ผมก็ Check Yield Curve ตลอดทุกอาทิตย์ครับว่าเป็นเช่นไร
ซึ่งในกรณีของกองทุนตราสารหนี้แบบนี้ แสดงไปถึงระดับตัวตราสารหนี้ที่ถือเลยละครับ
ซึ่งถ้ารู้ตราสาร ถ้าขยันหน่อยก็ตรวจสอบไปที่ http://www.thaibma.or.th ว่าผลตอบแทนเป็นเช่นไร
การวัดผลตอบแทนของตราสารหนี้นั้นมี ตัววัดที่เปรียบเทียบอยู่ด้วย ซึ่งเป็นค่ากลางของอุตสาหกรรม อยู่ด้วย
การลงบัญชีการมีรับรู้ตามระยะเวลาที่ถือครอง /รับรู้ตามมูลค่ายุติธรรม (จุดนี้ผมเองก็รู้ไม่หมด)
แต่ที่สำคัญ ทุกครั้งที่ บริษัทจัดการกองทุนรวมส่งมาถึงมือนั้น ผลตอบแทนมันแบ่งออกเป็นส่วนสองคือ
ส่วนของลูกค้าและนายจ้างที่สมทบ ทั้งสองส่วนนั้น ผลตอบแทนออกมาเท่ากันแป๊บเพราะลงทุนในกองทุนเดียวกัน
ส่วนเรื่องที่ว่า ผลตอบแทนมาหรือน้อยนั้น เดี๋ยวมาว่ากันที่หลังละกัน
จริงๆๆว่าไปแล้ว กองทุนสำรองเลี้ยงชีวิตในระบบนี้ก็เป็นตัวปัญหาในอนาคต เมื่อ ประชาชนเกิดตั้งแต่ 2480- 2535 เกษียณตัว มันทำให้เป็นภาระของกองทุนสำรองเลี้ยงชีวิตทุกที่จ่ายเงินออกมาจากองทุนตัวนี้ แต่เงินไหลเข้าน้อยกว่าเงินไหลออก แต่แก้ไขสิ่งนี้ได้จาก การที่ลดค่าเงิน/ปั้มเงินออกมาในระบบมากๆๆ หรือ ขึ้นอัตราเงินเดือนของประชาชนผู้ที่เกิดปี 2535 ให้มีเงินเดือนในอัตราที่สูงกว่า
ทุกอย่างมีทางแก้ไขเสมอ

น่าจะมีการเข้าใจผิดหลายข้อครับ

1. กองทุนมีการ mark to market ทุกวันครับ (หรืออย่างน้อยก็วันที่มีเงินเข้าออกจากกอง) แบบเดียวกับกองทุนรวมทุกประการ ไม่เกี่ยวกับนโยบายบัญชีครับ

2. ฺำืBenchmark ของกองทุนฯ ตามนี้ครับ http://www.aimc.or.th/2011/23_infostats ... chmark.php ดูแล้วผลตอบแทน 1.xx% น่าจะมีอะไรผิดพลาดครับ อย่าลืมว่าเงินที่เราใส่มันทยอยใส่ทุกเดือน ดังนั้นระยะเวลาลงทุนของเงินแต่ละก้อนจะไม่เท่ากัน ถ้าเอาผลตอบแทนมาหารเงินต้นตรงๆจะไม่ได้อัตราผลตอบแทนต่อปีจริงๆ
เพื่อให้เห็นภาพผมลองทำตัวเลขเล่นๆ ถ้าเราฝากเงิน 100 บาท ทุกเดือนเท่าๆกัน ที่อัตราดอกเบี้ย3% ต่อปี สิ้นปีจะได้เงิน 12,196 คิดเป็นผลตอบแทน 196 บาท จากเงินต้น 12,000 บาท หรือ 1.64% ครับ

3. ผลตอบแทนส่วนของสมาชิกกับนายจ้างต้องเท่ากันอยู่แล้วครับเพราะลงทุนในกองทุนฯเดียวกัน แต่จำนวนเงินอาจจะต่างเพราะนายจ้างอาจสมทบมากกว่าลูกจ้างได้ครับ (กม. บอกว่าสบทบไม่ต่ำกว่าลูกจ้าง)

4. กองทุนฯ เป็นของเฉพาะบุคคลครับ เงินใครเงินมัน คนที่เกษียณก็ได้เงินเฉพาะส่วนที่ตัวเองสะสมมา ส่วนคนที่ยังไม่เกษียณก็ลงทุนอยู่ในกองทุนฯต่อไป ที่คุณ miracle กังวลอันนั้นน่าจะเป็นเงินประกันสังคมมากกว่าครับ