โบรกหวั่น'รสา'ถูกสอบอินไซด์

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
otakung
Verified User
โพสต์: 928
ผู้ติดตาม: 0

โบรกหวั่น'รสา'ถูกสอบอินไซด์

โพสต์ที่ 1

โพสต์

โบรกหวั่น'รสา'ถูกสอบอินไซด์

โบรกเกอร์คาดหุ้นรสา อาจถูกตรวจสอบกรณีใช้ข้อมูลภายใน เหตุราคาวิ่งแรง วอลุ่มทะลักก่อนแจ้งข่าวกลุ่มสิงห์ เทคโอเวอร์ แนะนักลงทุนหลีกเลี่ยง

โบรกเกอร์คาดหุ้นรสา อาจถูกตรวจสอบกรณีใช้ข้อมูลภายใน เหตุราคาวิ่งแรง วอลุ่มทะลักก่อนแจ้งข่าวกลุ่มสิงห์ เทคโอเวอร์ แนะนักลงทุนหลีกเลี่ยง อาจโดนทุบ คาดถูกตลาดหลักทรัพย์ เล็งใช้เกณฑ์สั่งซื้อขายได้เฉพาะบัญชีเงินสดสัปดาห์นี้ และประเมินมูลค่าเพิ่มหลังหุ้นใหญ่เปลี่ยนมือยังต้องใช้เวลาถึง 2 ปีกว่าจะสะท้อนอนาคต

สำหรับการเคลื่อนไหวราคาหุ้น รสา พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ หรือ RASA ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยวานนี้ (17 เม.ย.) เปิดตลาดที่ระดับ 3.12 บาท และไต่ระดับขึ้นไปสูงสุดที่ 3.44 บาท ก่อนที่จะอ่อนตัวลงมาแตะระดับต่ำสุดที่ 3.02 บาท ก่อนกระเตื้องขึ้นมาปิดที่ 3.06 บาท เพิ่มขึ้น 0.14 บาท หรือ 4.79% โดยมีมูลค่าการซื้อขาย 691.88 ล้านบาท

แหล่งข่าวบริษัทหลักทรัพย์ เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังของการซื้อขายหุ้นรสา พบว่ามีโอกาสสูงที่จะถูกตรวจสอบเรื่องการใช้ข้อมูลภายในเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากการซื้อขาย (อินไซเดอร์เทรดดิ้ง) โดยเฉพาะมีมูลค่าการซื้อขายเพิ่มขึ้นชัดเจนตั้งแต่ช่วงเช้าของวันที่ 11 เม.ย.ที่ผ่านมา ก่อนที่จะมีการแจ้งถึงการทำรายการกลุ่มสิงห์จะเข้ามาเทคโอเวอร์

“วอลุ่มการซื้อขายหุ้นรสานั้น ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่ช่วงเช้าของวันที่ 11 เม.ย.นี้ ก่อนจะมีการลากราคาหุ้นอีกครั้งในช่วง 15.30 น. ก่อนที่จะปิดตลาด ก่อนที่จะมีประกาศข่าวออกมาในช่วงกลางคืน ซึ่งในการซื้อขายที่ผิดปกติดังกล่าว ไม่มีการแจ้งเตือนจากตลาดหลักทรัพย์แต่อย่างใด”

เขากล่าวว่า ความเคลื่อนไหวของหุ้นรสาหลังจากกลุ่มสิงห์ ประกาศรับทำคำเสนอซื้อหุ้นรสา ที่ราคา 1.87 บาทต่อหุ้น แต่ราคาหุ้นในกระดานหลักปรับตัวขึ้นไปสูงมาก เพราะนักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรต่อเนื่อง และคาดวานนี้ (17 เม.ย.) จะเป็นวันสุดท้ายที่ราคาหุ้นน่าจะปรับตัวขึ้นแรง หลังจากนี้มองราคาหุ้นมีความเสี่ยง ที่จะโดนแรงเทขายทำให้ราคาอ่อนตัวลงมา

ดังนั้นระยะสั้น นักลงทุนควรหลีกเลี่ยงที่จะเข้าลงทุนในหุ้นดังกล่าว เพราะมีความเสี่ยงสูงที่จะต้องแบกขาดทุน ส่วนภาพในระยะยาว ยอมรับว่าการเข้ามาซื้อกิจการของ บริษัท สิงห์ พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ ในครั้งนี้ จะส่งผลดีต่อรสา เพราะจะช่วยให้ฐานทุนของบริษัทมีมากขึ้น ประกอบกับจำนวนที่ดินที่มีอยู่เดิม จะทำให้บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันแข็งแกร่ง

ปัจจุบันพฤติกรรมการซื้อขายหุ้นที่มีข้อสงสัยว่า อาจใช้ข้อมูลภายในเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง จนนักลงทุนมองว่ากลายเป็นเรื่องปกติแล้ว อย่างในปีที่ผ่านมา มีเข้าเก็งกำไรในซื้อกิจการธุรกิจหลักทรัพย์ ทำให้เกิดความผิดปกติในการซื้อขาย ก่อนที่จะมีประกาศการเข้าซื้อกิจการเกิดขึ้นจริง การดำเนินงานของตลท.ที่ผ่านมาจะดูความผิดปกติของการหมุนเวียนหุ้นถ้ามีความผิดปกติ ก็จะบังคับให้หุ้นนั้นถูกเข้าทำการซื้อขายด้วยเงินสด หรือเกณฑ์แคชบาลานซ์ ซึ่งจะเป็นการแจ้งเตือนนักลงทุนเท่านั้น

แหล่งข่าวเจ้าหน้าที่การตลาด เปิดเผยว่า สำหรับความเคลื่อนไหวของหุ้นรสา เริ่มมีการปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นชัดเจนในช่วงวันที่ 11 เม.ย.ที่ผ่านมา มีมูลค่าการซื้อขายที่ 32 ล้านบาท จากระดับปกติที่มีการซื้อขายที่ 2-3 ล้านบาทต่อวัน ก่อนที่วันที่ 16 เม.ย.จะมีมูลค่าการซื้อขาย 300 ล้านบาท และในวานนี้ มูลค่าการซื้อขายพึ่งขึ้นไปแตะ 500 ล้านบาทเพียงแค่ครึ่งวันเท่านั้น

สำหรับคำแนะนำในหุ้นรสานั้น นักลงทุนควรหลีกเลี่ยงการลงทุน เพราะการเพิ่มทุนแบบเจาะจงนั้นมีต้นทุนเพียง 1.87 บาทต่อหุ้น แต่ราคาปัจจุบันสูงกว่า 3.50 บาทต่อหุ้นแล้ว ซึ่งมีความเสี่ยงมาก ที่ราคาหุ้นจะถูกทุบลง นักลงทุนควรเลี่ยงไปลงทุนในหุ้นตัวอื่น ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า

บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส กล่าวว่า การลงทุนในหุ้นรสาต้องใช้ความระมัดระวังสูง เพราะมีแรงเก็งกำไรคาดหวังจากกลุ่มสิงห์มากเกินไป หากประเมินราคาที่ 2.92 บาท ก็ถือว่ามีราคาแพง และหากนำกำไรและส่วนผู้ถือหุ้นของ 3 บริษัทมารวมกัน เพราะจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้นมากหลังเพิ่มทุนที่ 4,712.4 ล้านหุ้น ทำให้ผู้ถือหุ้นจะได้รับผลกระทบในส่วนไดลูชั่น

จากนี้ไปคือแนวโน้มผลการดำเนินงาน และโครงการที่จะเกิดในอนาคตหลังควบรวมกิจการ พบว่าในช่วง 2 ปีนี้แนวโน้มผลการดำเนินงานจะดีขึ้น คือ ในงวดปี 2557 กำไรสุทธิเพิ่มเป็น 49 ล้านบาท หากสมมุติให้ทั้งสามบริษัทที่ควบรวม ส่วนปี 2558 โครงการที่จะให้กำไรเพิ่มคือ การขยายจำนวนห้องโรงแรมของบริษัทสันติบุรี จาก 71 ห้องเป็น 102 ห้อง หรือเพิ่ม 44% รวมทั้งการได้บริหารพื้นที่พาณิชย์ของโครงการ Lighthouse 100% หลังยกเลิกสัญญาการลงทุนร่วมกับ สยามไพร์มจากเดิมที่มีการถือหุ้น 70% แต่ไม่มีข้อมูลกำไรต่อปีที่ทำได้

ส่วนธุรกรรมการขายที่ดินให้กับนายรพิ พินิจชอบ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้บริหารเดิมของ RASA มีส่วนต่างน้อย หากมีสมมุติฐานเบื้องต้นให้ส่วนขยายโรงแรมของสันติบุรีมีกำไรเพิ่มได้ 16 ล้านบาท ในปี 58 สำหรับกำไรส่วนเพิ่มจาก Lighthouse ที่บริหารได้เพิ่ม 100% ไม่มีนัยสำคัญ พีอีเรโช ปี 2558 ก็ยังสูงเป็น 212.6 เท่า ขณะที่ พีอีเรโชอุตสาหกรรมเฉลี่ยที่อยู่อาศัยปี 2558 เป็นเพียง 8-10 เท่า

ฝ่ายวิจัยเห็นว่านักลงทุนควรระมัดระวังการเข้าเก็งกำไรหุ้นรสาเพราะให้ส่วนเพิ่ม (premium)กับบริษัทขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงในแวดวงธุรกิจเข้ามาร่วมลงทุน เช่นเดียวกับกรณีของ UV, GOLD และ BJC ที่มีกลุ่มสิริวัฒนภักดี เข้ามาถือหุ้น แต่ในที่สุดผลการดำเนินงานและการประเมินมูลค่าหุ้น ไม่ได้เกิดขึ้นเร็วและถูกอย่างที่คิด ในที่สุดราคาหุ้นได้ปรับตัวลงมา ก็จะเกิดขาดทุนได้

อีกทั้งอย่าลืมว่าธุรกิจที่บริษัทกลุ่มคุณ เจริญและกลุ่มสิงห์ฯเป็นผู้นำคือ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และน้ำดื่มไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์ สำหรับโครงการอื่นๆ ที่จะตามมาหลังการควบรวม ยกเว้นที่กล่าวข้างต้นจะให้รายได้ในระยะยาว คือปี 60 ขึ้นไป และมีความเสี่ยงว่าจะเกิดโครงการนี้หรือไม่ เช่น การพัฒนาอาคารสำนักงาน เซอร์วิส อพาร์ตเมนต์ บ้านจัดสรรระดับราคาสูง รวมทั้งยังต้องใช้เงินลงทุนอีกมาก ส่วนการให้สิทธิกับบริษัทในการซื้อสินทรัพย์โรงแรมหรือโครงการสินทรัพย์ของคุณสันติ ภิรมย์ภักดีก่อนตามข้อมูลคือ บริษัทบ่อผุดพร็อพเพอร์ตี้แอนด์รีสอร์ท ซึ่งทำธุรกิจโรงแรมที่จะพัฒนาต่อไป
โพสต์โพสต์