หน้า 1 จากทั้งหมด 1

'ประภาคาร ภราดรภิบาล'VI ต้นทุนหุ้น BIGC 30 บาท

โพสต์แล้ว: จันทร์ มี.ค. 03, 2014 8:09 am
โดย pakapong_u
'ประภาคาร ภราดรภิบาล'VI ต้นทุนหุ้น BIGC 30 บาท
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)

Monday, March 03, 2014 06:41


ชาลินี กุลแพทย์
"ประภาคาร ภราดรภิบาล" เซียนหุ้น VI วัย 44 ชายผู้หลงใหลหุ้นที่มีกิจการเป็นเบอร์ของหนึ่งของอุตสาหกรรม รักมากยกให้ "ค้าปลีก-พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อค้าปลีก-โรงพยาบาล"
ทุกวันนี้มีความสุขและสบายใจในการถือหุ้นทุกตัว เป้าหมายใหญ่ไม่มี ขอโตแค่ปีละ15%
"ประภาคาร ภราดรภิบาล" เซียนหุ้น VI ชายผู้หลงใหลหุ้นที่มีกิจการเป็นเบอร์ของหนึ่งของอุตสาหกรรม รักมากยกให้ "ค้าปลีกพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อค้าปลีก-โรงพยาบาล" เป้าหมายใหญ่ไม่มี ขอโตแค่ปีละ 15%
ก่อน "ตุ้ม-ประภาคาร ภราดรภิบาล"เจ้าของสำนักพิมพ์ บริษัท วิง มีเดีย จำกัด จะได้ขึ้นชื่อว่า เป็นนักลงทุนเน้นคุณค่า หรือ Value Investor และเจ้าของพอร์ตลงทุนเกือบแตะ "หลักสิบล้านบาท" เขาเคยยึดอาชีพผู้ผลิตรายการโทรทัศน์ในบริษัทชั้นนำหลายแห่ง อาทิ บริษัท ทีวีซีน แอนด์ พิคเจอร์ จำกัด ผู้ผลิตละครโทรทัศน์ไทยให้กับสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 และ บริษัท กันตนา กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นต้น "บุรุษวัย 44 ปี" ในฐานะผู้เขียนบทความ Value Way หนังสือพิมพ์ "กรุงเทพธุรกิจ Biz Week" ที่เขาเขียนร่วมกับ "วิบูลย์ พึงประเสริฐ" เซียนหุ้นวีไอ เริ่มต้นสนใจการลงทุนใน ตลาดหุ้น หลังมีโอกาสได้อ่านหนังสือต่างประเทศ เรื่อง "คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก" เขียนโดย David J. Schwartz ซึ่ง "ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร"เป็นผู้แปล รวมถึงหนังสือ "พ่อรวยสอนลูก"หรือ Rich Dad Poor Dad ของ "โรเบิร์ต คิโยซากิ" เป็นต้น เขาตัดสินใจเปิดพอร์ตในปี 2546 กับบริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด ด้วยเงินทุนตั้งต้นก้อนแรก "หลัก หมื่นบาท" ลองผิดลองถูกมาเรื่อยๆ เริ่มจากลงทุนตามเพื่อน ก่อนจะมาหันมาลงทุนใน "หุ้นบูลชิพ" ติดดอยอยู่ 1 ปี กว่าจะได้กำไร จากนั้นไม่นานเขาเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ เน้นสอยหุ้นที่มีอัตราส่วนราคาต่อกำไร หรือ ค่า P/E ไม่เกิน 10 เท่า และให้อัตราเงินปันผลเฉลี่ย 5 เปอร์เซ็นต์ ตามคำแนะนำในหนังสือ "ตีแตก"
"ประภาคาร ภราดรภิบาล" เล่าเรื่องราวการลงทุนต่อว่า หลังได้ "กำไร 2 เด้ง" จาก หุ้น อุตสาหกรรมถังโลหะไทยหรือ TMD "ผมเริ่มศึกษาหาความรู้มากขึ้น ด้วยการอ่านหนังสือการลงทุนของต่างประเทศ ทำให้รู้จักชายชื่อ "วอร์เรน บัฟเฟตต์-ปีเตอร์ ลินซ์- ฟิลลิป ฟิชเชอร์" คนเหล่านี้ถือเป็นนักลงทุนชื่อดังของโลก
ศึกษาไปได้สักพัก ทำให้รู้ว่า สไตล์การลงทุนของ "วอร์เรน" คือ ไม่จำเป็นต้องลงทุนหุ้น ที่มีอัตราส่วนราคาต่อกำไร หรือ ค่า P/E ต่ำเสมอไป เพราะหุ้นบางตัวมีกิจการที่ดี แต่อัตราส่วนราคาต่อกำไรไม่ต่ำ ในตลาดมีเยอะแยะ มาก ขอแค่หุ้นตัวนั้นต้องมีกิจการเป็นเบอร์ต้นๆ ของอุตสาหกรรม
ส่วนตัวชอบแนวการลงทุนของ "วอร์เรน บัฟเฟตต์" มากที่สุด เพราะเขาประยุกต์รูปแบบ มาจาก "เบนจามิน เกรแฮม" ซึ่งเป็นอาจารย์ของ "วอร์เรน" และเป็นต้นตำรับของการลงทุน
แบบ Value Investing ช่วงแรกๆ "วอร์เรน"ใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ "เบนจามิน" ถือว่าประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง
แต่เมื่อ "วอร์เรน" รู้สึกไม่สุดๆ กับการลงทุน เขาจึงหันมาศึกษาการลงทุนของ "ฟิลลิป ฟิชเชอร์" ทำให้รู้ว่า นอกจากต้องเลือกหุ้น ที่มีอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่ำๆ แล้วยังต้องเลือกหุ้นที่มีความสุดยอด ในการทำธุรกิจด้วย "วอร์เรน" จึงนำ 2 ส่วนมาประยุกต์รวมกัน
"ผมศึกษาการลงทุนมาสักพักจึงค้นพบรูปแบบการลงทุนเป็นของตัวเองว่า หากเราจะเน้นเพียงหุ้นที่มีอัตราส่วนราคาต่อกำไร ต่ำๆ และมีอัตรา เงินปันผลสูงอย่างเดียวคงไม่ได้ แต่ต้องลงทุนในบริษัทที่มีกิจการอันดับหนึ่งของแต่ละอุตสาหกรรมด้วย ที่สำคัญหุ้นตัวนั้นต้องมีการเติบโตต่อเนื่อง ไม่ใช่ดีแค่วันนี้แล้วต้องมานั่งลุ้นการแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงในปีหน้า"
เมื่อความคิดสะเด็ดน้ำ ตัดสินใจปรับโมทการลงทุนใหม่ ด้วยการหันมาเลือกลงทุนในหุ้นที่เราอยากเป็นเจ้าของกิจการ "กลุ่มค้าปลีก" จึงเป็นตัวเลือกแรกในการลงทุน "จุดเด่น" ของหุ้นกลุ่มนี้คือ ซื้อขายเป็นเงินสดทำให้มีเงินกองอยู่ในบริษัทจำนวนมาก เขาสามารถนำไปขยายกิจการหรือทำอะไรได้เยอะแยะ
ปี 2549 ตัดสินใจซื้อ หุ้น ซีพี ออลล์ หรือ CPALL ต้นทุนไม่ถึง 7 บาท ตอนนั้นหุ้น ซีพี ออลล์ ยังไม่เป็นที่นิยม เพราะกิจการเทสโก้โลตัสที่เมืองจีนไม่ค่อยดี แต่ช่วงนั้น มีความเชื่อว่า เขาน่าจะตัดกิจการนี้ทิ้งไป ขณะที่ร้านสะดวกซื้อ "เซเว่น อีเลฟเว่น" ในเมืองไทย น่าจะมีแนวโน้มที่ดี เพราะ "ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์"ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ซีพี ออลล์ เขาเก่งและทุนหนา
จากนั้นไม่นานไปซื้อ หุ้น บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ หรือ BIGC ต้นทุน 30 กว่าบาท ราคาหุ้น บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ เคยขึ้นไปสูงสุดระดับ 252 บาท (ณ วันที่ 23 เม.ย.2556) ข้อดีของหุ้นตัวนี้ คือ กิจการของเขาเป็นรองแค่ เทสโก้โลตัส แถมยังลดราคาสินค้าบ่อยๆ ถูกใจคนชอบของถูก เขาเจาะตลาดแตกต่างจากร้านสะดวกซื้อ เซเว่น อีเลฟเว่น ที่เน้นความสะดวกมากกว่าสินค้าราคาประหยัด
เมื่อหลายปีก่อน "บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์" ได้เทคโอเวอร์ "คาร์ฟูร์ เมืองไทย" ทำให้ราคาหุ้น BIGC พุ่งกระฉูด แถมกิจการยังขยายตัว ดีอย่างต่อเนื่อง ผู้ถือหุ้นรายย่อยอย่างเราแทบ ไม่ต้องไปทำอะไรกับหุ้นตัวนี้เลย ที่ผ่านมาแทบไม่เคยส่องดูว่า บริษัทเติบโตปีละกี่เปอร์เซ็นต์ แต่จะดูงบการเงินว่า ขยายตัวทุกไตรมาส หรือเปล่า การเลือกหุ้นที่ดีเป็นผู้นำของธุรกิจจะมีข้อดีแบบนี้ละ
จากนั้นในปี 2554 ได้ควักเงินซื้อ หุ้น เซ็นทรัลพัฒนา หรือ CPN หุ้นตัวนี้ไม่ได้อยู่ในกลุ่มค้าปลีก แต่อยู่ในหมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อค้าปลีก ธุรกิจหลัก คือ เปิดศูนย์การค้าให้เช่าโมเดลลักษณะนี้ถือว่า น่าสนใจมาก เพราะถ้าทำเลดีคนจะมาเช่าพื้นที่เยอะบริษัทก็จะเติบโตมากขึ้น
ต้นทุนหุ้น เซ็นทรัลพัฒนา ประมาณ 30 บาท แม้วันนี้ยังไม่ได้กำไรงามๆจากหุ้นตัวนี้ เพราะเข้าไปซื้อช้า แต่ด้วยความที่เขาเป็นผู้นำในธุรกิจศูนย์การค้าคงทำให้บริษัทเติบโตได้เรื่อยๆ จากนั้น ไม่นานมาซื้อ หุ้น ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน หรือ ROBINS ต้นทุนแค่ 10 กว่าบาท วันนี้ปาเข้าไปจะ 50 บาทแล้ว (ยิ้ม)
เขา เล่าต่อว่า หลังเห็นคนเริ่มใส่ใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น ทำให้หันมาสนใจลงทุน "หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล" ในปี 2555 จัดการซื้อ หุ้น กรุงเทพดุสิตเวชการ หรือ BGH เห็นบริษัทพยายามขยายเครือข่ายในเชิงรุก ด้วยการเทคโอเวอร์โรงพยาบาลขนาดเล็ก ถือเป็นการเติบโตทางลัด
ต้นทุนเฉลี่ย 70-80 บาท ตอนนั้นคิดว่า "ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ" ในฐานะเจ้าของบริษัทคงไม่หยุดขยายกิจการแค่นี้แน่นอน เขามีวิชั่นกว้างไกล จริงๆ เคยมองหุ้นตัวนี้ตั้งแต่ราคา 20-30 บาท แต่ตอนนั้นยังสนใจหุ้น ค้าปลีกมากกว่า แม้จะเข้ามาซื้อแพง แต่ด้วยศักยภาพที่ยังสามารถไปได้ ทำให้วันนี้ราคาหุ้นวิ่งมาอยู่ 120 บาทแล้ว
ตัวสุดท้าย คือ หุ้น เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป หรือ M ต้นทุนเฉลี่ย 40 กว่าบาท "ผมมองว่า การที่บริษัทเกาะการเติบโตไปตามห้างสรรพสินค้าจะทำให้ศักยภาพของบริษัทดีขึ้นเรื่อยๆ ส่วนตัวชอบแบรนด์เอ็มเค และการทำธุรกิจของเขา ที่ผ่านมาบริษัทมักพัฒนาเรื่องการให้บริการนำหน้าคนอื่นมาตลอด แอบประทับใจ เขามานานแล้ว เคยคิดว่า ถ้าบริษัทเข้าตลาดเราต้องเข้ามาเป็นเจ้าของให้ได้
"ทุกวันนี้มีความสุขและสบายใจในการถือหุ้นทุกตัว หน้าที่เรา คือ คอยติดตามผลการดำเนินงานทุกไตรมาส หากราคาหรือธุรกิจอิ่มตัว หรือมีเรื่องอะไรมากระทบคงต้องมาปรับกลยุทธ์ใหม่ทันที"
ถามว่า เคยทำราคาเป้าหมายและการเติบโตล่วงหน้าของหุ้นที่ถืออยู่หรือไม่ "ตุ้ม"ตอบทันทีว่า ไม่เคยทำราคาเป้าหมาย ทุกวันนี้ ไม่ได้มองเรื่องราคาเหมาะสมเป็นหลัก แต่มองเรื่องการเติบโตของกิจการมากกว่า เรื่องราคาหุ้นตลาดจะเป็นคนให้เขาเอง ส่วนเรื่องการทำตารางเปรียบเทียบผลประกอบการไม่เคยทำเช่นเดียวกัน
จริงๆ เคยทำในช่วงแรกๆ ที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น เพราะตอนนั้นภาพการเติบโตของแต่ละ ธุรกิจยังไม่ชัดเจน ครั้งหนึ่งเคยทำราคาเป้าหมายและการเติบโตของหุ้น ซีพี ออลล์ โดยมองว่า บริษัทจะน่าจะมีสาขามากกว่า 5,000 แห่ง
สุดท้ายบริษัทสามารถพิสูจน์ตัวเองได้แล้วว่า ทำได้จริง ปัจจุบันบริษัทมีมากกว่า 7,000 แห่ง ล่าสุดผู้บริหารออกมายืนยันว่า ภายใน ปี 2560 จะมีสาขาประมาณ 10,000 แห่ง ถ้าทำได้จริงกำไรของบริษัทคงงอกเงยขึ้นมาก ขณะที่อำนาจการต่อรองกับซัพพลายเออร์คงสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว
"ผมมักหาจังหวะดีๆ ซื้อหุ้นตัวเดิมๆ เพิ่มเติม ตลอด ซื้อมากหรือน้อย ดูตามหน้าตักของตัวเอง ส่วนใหญ่จะใช้เงินหลักหมื่นในการสอยหุ้นแต่ละตัว แต่จะกี่หมื่นบาทแล้วแต่ความเหมาะสม เช่น ราคาหุ้นน่าสนใจมากน้อยแค่ไหน เป็นต้น
ที่ผ่านมาได้ขายหุ้นตัวเดิมๆ ออกบ้างหรือเปล่า "ประภาคาร" ตอบว่า มีบ้างในช่วงแรกๆของการลงทุน ครั้งหนึ่งเคยขายหุ้น ซีพี ออลล์ และหุ้น บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ หลังถือมานาน และต้องการโยกเงินไปลงทุนหุ้นตัวอื่นที่คิดว่าน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
แต่กลยุทธ์นี้ไม่ได้ใช้แล้วในปัจจุบัน เพราะการมีหุ้นที่ดีแล้วปล่อยทิ้งไว้น่าจะเป็นเรื่องที่ดีกว่าขายออกไป "ผมได้รับเงินปันผลหลายหมื่นบาทต่อเนื่องทุกปี จากการปล่อยให้หุ้นดีๆ อยู่ในพอร์ต ทุกครั้งที่เงินปันผลถูกโอนเข้าบัญชี มักนำไปซื้อหุ้นตัวเดิมๆ แทนเลือกซื้อหุ้นตัวใหม่ๆ อย่างน้อยความคุ้นเคยจะทำให้เราประสบความสำเร็จในการลงทุน"
"วันนี้พอร์ตลงทุนมีมูลค่าไม่สูงแค่ 7 หลัก ผมแอบลุ้นให้ถึง 8 หลัก ไม่มีในใจว่า พอร์ตลงทุน ต้องขึ้นไปยืนระดับสิบล้านบาทปีไหน อยากใช้ชีวิตสบายๆ ปล่อยให้พอร์ตเติบโตเองอัตโนมัติ ขอแค่ขยายตัวปีละ10-15 เปอร์เซ็นต์ เท่านี้สุดแสนจะแฮปปี้ เมื่อก่อนพอร์ตลงทุนเคยขยายตัวมากกว่านี้ แต่นั่นเป็นเพราะมีข่าวเร่งปฏิกิริยา"
หากมีเงิน "ร้อยเปอร์เซ็นต์" มักนำไปลงทุนในตลาดหุ้น 50 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือจะออมเงินในรูปแบบของทองคำ เคยซื้อทองคำช่วงแต่งงาน ต้นทุนแค่ 6,000 บาท นอกจากนั้นยังมีบ้านให้เช่าแถวเกษตรนวมินทร์เดือนละ 6,000-7,000 บาท จริงๆ มีคนถามซื้อประมาณ 1.4-1.5 บาท จากต้นทุนไม่กี่แสนบาท
เขา เล่ากลยุทธ์การลงทุนในปัจจุบันให้ฟังว่า อันดับแรกจะเลือกลงทุนในบริษัทที่มีความรู้ ความเข้าใจเป็นอย่างดี หากเจอบริษัทที่ถูกใจใช่เลย แต่ยังรู้จักไม่ดีพอต้องรีบทำความรู้จักเพิ่มเติมในเชิงลึก ด้วยการอ่านรายงานประจำปี หรือเข้าไปดูแบบฟอร์ม 56-1 ในสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต.
อันดับ 2 เข้าไปดูรูปแบบของธุรกิจ สุดท้ายคือ ดูงบการเงิน บริษัทที่ดีควรมี "กำไรสุทธิ"เติบโตปีละ 10 เปอร์เซ็นต์ แต่หลังๆแทบไม่ดูเปอร์เซ็นต์แล้ว ขอแค่เติบโตสม่ำเสมอก็พอ ส่วนอัตราส่วนราคาต่อกำไร หรือ ค่า P/E ขอแค่ไม่เวอร์เกินไป อยากถือหุ้นเบอร์หนึ่งในแต่ละอุตสาหกรรมที่มีอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่ำๆ คงเป็นไปได้ยาก หุ้นสวยๆ ควรมีค่าอัตราส่วนราคาต่อกำไรเฉลี่ย 10-20 เท่า สำหรับผลตอบแทนผู้ถือหุ้น หรือ ROE ควรอยู่ระดับ 15 เปอร์เซ็นต์
ช่วงนี้เล็งหุ้นกลุ่มไหนเพิ่มเติมหรือไม่ เขาตอบว่า ส่องแต่หุ้นตัวเดิมๆ "ผมเป็นคนเคลื่อนไหวน้อยเหมือนนักลงทุนชื่อดังหลายๆคน ยึดคติเลือกหุ้นดีแล้วปล่อยให้เงินทำงาน" ช่วงนี้ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเขียนหนังสือ แปล หนังสือ และพิมพ์หนังสือ ภายใต้ชื่อบริษั ท วิง มีเดีย จำกัด บริษัทแห่งนี้เปิดมาตั้งแต่ปี 2551 พิมพ์หนังสือมาแล้ว 12 เล่ม ไม่รวมเล่มที่พิมพ์ซ้ำ
อาทิเช่น เรื่อง "คัมภีร์ VI ลงทุนหุ้นแบบเน้นคุณค่า" โดย "มนตรี นิพิฐวิทยา" และ "วิบูลย์ พึงประเสริฐ" รวมถึงเรื่อง "เคล็ดลับเซียนหุ้นบันลือโลก" เป็นต้น บังเอิญรู้จัก "วิบูลย์" ผ่านเว็บไซต์ THAIVI เห็นเขาเขียนบทความ Value Way ในหนังสือพิมพ์ Biz Week" น่าสนใจหลายเรื่อง เมื่อได้พูดคุยกันทำให้รู้ว่า เรามีหลักการลงทุนคล้ายๆ กัน จึงชักชวนให้มาทำหนังสือด้วยการ
บริษัทพิมพ์หนังสือเล่มแรกขายเมื่อเดือนมี.ค.2552 ชื่อ "ทำอย่างไรให้เงินงอกเงย" ซึ่งผมเป็นคนเขียนเอง โดยใช้นามปากกาว่า "ธนพล ภราดล" ซึ่ง ธน มาจากคำว่า ธนบัตร และพล มาจากคำว่า พลัง ตอนนั้นยังไม่กล้าใช้ชื่อจริง (หัวเราะ) ทำเล่มนี้ขึ้นมา เพราะต้องการให้น้องๆ ที่ทำงานร่วมกันใน บริษัท เนเวอร์แลนด์ จำกัด รู้จักใช้เงิน หลังเห็นเขาใช้เงินค่อนข้างฟุ่มเฟือยเล่มแรกมียอดขายมากถึง 3,000-4,000 เล่ม
เมื่อยอดขายหนังสือเกี่ยวกับการวางแผนทางการเงินประสบความสำเร็จ จึงหันมาพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้น แต่จะให้นำเสนอเรื่องราวของตนเองคงดูไม่น่าสนใจ เมื่อเทียบกับเรื่องของคนเก่งๆอย่าง "ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร" เซียนหุ้นแนวคุณค่าหมายเลข 1 ของเมืองไทย
"ผมไปขออนุญาตอาจารย์ เพื่อนำประวัติของท่านมาเขียน หวังให้เป็นแรงบันดาลใจให้นักลงทุนรุ่นใหม่ๆ" หลังเขียนเสร็จนำไปให้ท่านตรวจดูความถูกต้อง ท่านเอ่ยปากชมว่า เขียนได้ดี สิ้นเสียงคำชื่นชมรู้สึกว่า ประสบความสำเร็จแล้ว ทั้งๆที่ไม่รู้ว่า จะขายดีหรือไม่
สุดท้ายเรื่อง "พลิกชีวิตด้วยการลงทุน เซียนหุ้นพันล้าน" ขายดีพิมพ์ซ้ำมากถึง 4 ครั้ง จากนั้นไปขออนุญาตอาจารย์อีกครั้ง เพื่อพิมพ์เรื่องเกี่ยวกับการลงทุนของท่าน ชื่อเรื่อง "ลงทุนอย่างดร.นิเวศน์" ถือว่า ประสบความสำเร็จเหมือนกัน
เขา ทิ้งท้ายบทสนทนาว่า "ผมไม่ชอบหุ้นปั่น หุ้นประเภทนี้ชอบสร้างข่าวมาหากินเงินนักลงทุน ที่ไม่มีความรู้ และนักลงทุนที่มีความโลภ" ด้วยความที่ไม่อยากเห็นนักลงทุนโดนหลอก ทำให้ต้องลุกขึ้นมาเขียนหนังสือเรื่องการลงทุน อยากให้มือใหม่มีภูมิคุ้มกันในการลงทุนจะได้ไม่โดนคนอื่นหลอก
นักลงทุนวันนี้ไม่แตกต่างจากนักลงทุนเมื่อหลายสิบปีก่อน ส่วนใหญ่เข้ามาด้วย "ความโลภ" เรียกว่า เข้ามาจ่ายค่าเทอมก่อนแล้วค่อยเข้ามา ศึกษา เมื่อจบการศึกษาและประสบความสำเร็จในการลงทุนจึงค่อยโดดเข้าไปเล่นในเกมที่ตนเองมีความถนัด
"จงหาความสุข และความปลอดภัย ในการลงทุนให้เจอ เราจะได้ไม่บาดเจ็บหรือเสียเปรียบคนอื่น ช่วงแรกๆ ผมเคยศึกษาแนวเทคนิค แต่เมื่อไม่ค่อยเข้าใจ รู้สึกว่า เป็นภาษาที่เราตีไม่แตก ทำให้ตัดสินใจถอยออกมา"
'ทุกวันนี้มีความสุข และสบายใจในการถือหุ้นทุกตัว หน้าที่เรา คือ คอยติดตามผลการดำเนินงานทุกไตรมาส'--จบ--

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ