หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เผยโฉม "คุณหมอนักเทคนิค" "นพ.รัชต์ชยุตม์ จีระพรประภา" (1)

โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 13, 2014 8:50 pm
โดย pakapong_u
เผยโฉม "คุณหมอนักเทคนิค" "นพ.รัชต์ชยุตม์ จีระพรประภา" (ตอนที่ 1)
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)

Monday, January 13, 2014 07:15


"อยากรู้จักลูกศิษย์คนหนึ่งของผมมั้ย เป็น "คุณหมอนักลงทุน" ทุนตังต้นแค่ 1 ล้านบาท วันนีน่าจะขึน "หลักร้อยล้านบาท" แล้ว เขาร่วมกับเพือนทำ Facebook ชือ "Master Of Trend ไปกดถูกใจได้เลย" "เสียป๋อง-วัชระ แก้วสว่าง" เซียนหุ้นเทคนิคชือดัง เชือเชิญให้ไปทำความรู้จัก"นพ.รัชต์ชยุตม์ จีระพรประภา" เซียนหุ้นเทคนิค บุรุษวัย 30 ปี
เปลือยชีวิตการลงทุน "นพ.รัชต์ชยุตม์ จีระพรประภา" "เซียนหุ้นเทคนิค" บุรุษวัย 30 ปี ผู้มี "เสี่ยป๋อง วัชระ แก้วสว่าง" เป็นไอดอล และมีเซียนหุ้นหญิงตัวย่อ ส. เป็นเพื่อนต่างวัยร่วมแก๊งเล่นหุ้นแนวเทคนิค
อยากรู้จักลูกศิษย์คนหนึ่งของผมมั้ยชื่อ "วิน" เป็น "คุณหมอนักลงทุน" ทุนตั้งต้นแค่ 1 ล้านบาท วันนี้น่าจะขึ้น "หลักร้อยล้านบาท"แล้ว เขาร่วมกับเพื่อนทำ Facebook ชื่อ "Master Of Trend" ไปกดถูกใจได้เลย "เสี่ยป๋อง-วัชระ แก้วสว่าง" เซียนหุ้นเทคนิคชื่อดัง เชื้อเชิญให้ "กรุงเทพธุรกิจ Biz Week" ไปทำความรู้จัก
"วิน-นพ.รัชต์ชยุตม์ จีระพรประภา"ชายหนุ่มที่เพิ่งอายุครบ 30 ปี เมื่อวันที่ 5 ธ.ค.2556 สะพายกระเป๋าโน๊ตบุ๊ค 2 ใบ ข้อมือ ด้านขวาสวมสายรัดลายธงชาติ เข้ามาในห้องประชุมเล็กชั้น 18 ตึกมหาทุนพลาซ่า เพื่อมา บอกเล่าตัวตน ก่อนเข้าร่วมฟังสัมมนาเรื่องเทคนิคช่วงบ่าย "จริงๆไม่ค่อยอยากออกสื่อเท่าไร แต่เกรงใจพี่ป๋อง แกเป็นอาจารย์สอนผมดูกราฟเทคนิค รู้จักกันมา 10 ปีแล้ว" เขาบอกจุดยืนของตัวเอง
ร้านศรีมงคง ซึ่งดำเนินกิจการค้าส่งสุรา ย่านบางบอน ของครอบครัว ถือเป็นอาชีพหลักที่ป๊ากับม๊าทำเพื่อหาเลี้ยงลูกชายคนเดียว ป๊าเริ่มทำธุรกิจตั้งแต่กิจการยังมีขนาดเล็กๆ ท่านค่อยๆสร้างเนื้อสร้างตัวจนทุกวันนี้กิจการใหญ่โตกว่าเดิมยอดขายต่อปี ไม่ใช่น้อยๆ
หลังเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี ตัดสินใจไปเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา สายวิทย์ หลังนั่งดู "ซีรีส์เรื่อง E.R. ห้องฉุกเฉิน" ผสมกับความชอบช่วยเหลือคนอื่น และต้องการดูแลสุขภาพของคนในครอบครัว ทำให้มุ่งมั่นในการสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ใช้เวลาร่ำเรียน 6 ปี
ทันทีที่เรียนจบปริญญาตรี ตัดสินใจไปเป็นแพทย์ใช้ทุนเฉพาะทางด้านกระดูก ณ โรงพยาบาลจังหวัดสระบุรีประมาณ 3 ปี โดยรับหน้าที่เป็นแพทย์พี่เลี้ยง ปัจจุบันทำงานเป็นแพทย์ประจำบ้านในโรงพยาบาลรัฐบาลชื่อดังแห่งหนึ่ง วันนี้หมอด้านกระดูกในกรุงเทพฯและปริมณฑลค่อนข้างเต็ม โอกาสจะมูฟไปประจำการในโรงพยาบาลรัฐบาลต่างจังหวัดมีสูง แต่นี่เป็นเพียงแผนการยังไม่เกิดขึ้น ในเร็วๆ นี้
"หมอวิน" เล่าถึง "แรงบันดาลใจ"ที่ทำให้สนใจเรื่องการลงทุนว่า เห็นคุณพ่อกับญาติๆ เล่นหุ้นช่วงปี 2543 ตอนนั้นดัชนีซื้อขายอยู่ราวๆ 300-400 จุด เขาหันไปเปิดโน๊ตบุ๊ค ตัวแรก เพื่อโชว์กราฟดัชนีย้อนหลังหลายสิบปีให้บิสวีคดู แม้จะเห็นพ่อและญาติเล่นหุ้น "บิ๊กแคป" แล้วไม่ได้ประสบความสำเร็จ แต่ความอยากลงทุนยังคงเกิดขึ้นในใจของ "เด็กชายรัชต์ชยุตม์" ที่กำลังเรียนอยู่เพียงชั้นมัธยมตอนต้น
"ผมเริ่มศึกษาเรื่องหุ้นมาตั้งแต่ดัชนีอยู่ระดับ 360 จุด จากนั้นเมื่ออายุ 19 ปี ถือโอกาสแนะนำ "หุ้น ศุภาลัย" หรือ SPALI เป็น "หุ้นตัวแรก" ให้ป๊า ตอนนั้นดัชนีอยู่แถว 600-700 จุด แม้ทัศนคติเรื่องตลาดหุ้นของม๊าไม่ค่อย ดีนัก แต่ครอบครัวยินยอมให้ลูกชายคนเดียว "ชิมลาง" เล่นหุ้นใน "พอร์ตกงสี" หลัก ล้านบาท เงินในพอร์ตนี้ประกอบไปด้วยเงินของ "ป๊ากับม๊า" (หัวเราะ)
ระหว่างนั้นบทสนทนาถูกคั่นด้วย "หมู- อภิเชษฐ อ่อนกอ" ชายหน้าใสกิ๊กวัย 39 ปี ซึ่งทำหน้าที่เป็น "แอดมินหลัก" ประจำ Facebook ชื่อ "Master Of Trend" ที่มีคนมากดถูกใจแล้ว 1,852 คน เขานั่งรถเข็นเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วย "เดือนก.พ.ที่ผ่านมาครบรอบ 13 ปี ที่ผมประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์"
บังเอิญมีโอกาสได้เจอ "หมอวิน" ที่ โรงพยาบาล วันนั้นเขาเป็นหมอเวรพอดี เขาเห็นผมลงทุนในตลาดหุ้น เมื่อคุยกันแล้วรู้สึกถูกคอถูกใจ เพราะมีแนวคิดคล้ายๆ กัน ผมเล่นหุ้นมานานมากแล้ว เข้าออกตลาดหุ้น หลายรอบ ผมหายไปจากวงการสักพักใหญ่ ก่อนกลับมาลงทุนอีกครั้งเมื่อ 3 ปีก่อน "หมอวิน" เล่าเรื่องตัวเองต่อว่า ผลการแนะนำหุ้นในป๊าในครั้งนั้น คือ "ขาดทุน"ซื้อหุ้น ศุภาลัย บนราคาดอย 5.50 บาท ไม่ขาดทุน ได้ไง ผ่านมา 6 เดือน ราคาลดลงเหลือ 3 บาท แต่เราไม่ยอมขาย ถือคติ "ไม่ขายไม่ขาดทุน"สุดท้ายมาปล่อยที่ราคา 2.50 บาท
ตรรกะที่เลือกซื้อหุ้น ศุภาลัย ในครานั้น เพราะเห็นราคาหุ้นขึ้นมาจาก 0.50 บาทมายืน 5.50 บาท และมีความเชื่อว่าจะขึ้นไปอีก โดยหารู้ไม่ว่า งบการเงินย้อนหลังของหุ้นตัวนี้ เป็นอย่างไร แม้จะเจ๊งแต่ป๊ากับม๊าไม่ได้ว่าอะไร "เล่นหุ้นยาก" ป๊ารู้ เขาถ่ายทอดคำพูดของบิดาให้ฟัง
จากนั้นไม่นานเริ่มศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับตลาดหุ้นมากขึ้น หลังไม่เข้าใจทำไมเราถึงเล่นหุ้นแล้วขาดทุน ด้วยการหาหนังสืออ่าน และเดินทางไปฟังงานสัมมนาต่างๆ วันหนึ่งไปนั่งฟัง "ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์" พูดเรื่อง "หาจังหวะซื้อ-ขายด้วยเทคนิค" ณ บล.ทิสโก้ สมัยก่อนเขาจะแนะนำหุ้นเป็นตัวๆ วันนั้นได้หุ้นมา 3 ตัว รีบกลับบ้านไปบอกป๊า (หัวเราะ)
"จุดหักเห" การลงทุนของชายชื่อ "วิน" เกิดขึ้นเมื่อ 10 ปีก่อน ตอนนั้นน่าจะปี 2546 หลังมีคนแนะนำให้รู้จัก "เสี่ยป๋อง-วัชระ แก้วสว่าง" ตอนนั้นพี่ป๋องยังไม่ดังมากยัง ไม่ออกทีวีเลย ยุคนั้นต้อง "เซียนหุ้นหญิงตัวย่อส."ดังมาก (ลากเสียงยาว)
ตอนนั้นเรารู้ว่า "พี่ป๋อง" เป็น "นักลงทุน รายใหญ่" ด้วยความที่เรายังเด็กเรียนอยู่แค่ปี 2 ทำได้แค่เดินเข้าไปแนะนำตัวเอง จำได้พูดกับแกว่า "ผมเพิ่งเล่นหุ้นด้วยเทคนิคมาแค่ครึ่งปีเอง ยังจับหลักไม่ได้เลยพี่ช่วยแนะนำหน่อยครับ" พี่ป๋องตอบว่า "เล่นหุ้นต้องใช้กราฟช่วย"
สิ้นเสียงคำแนะนำ เกิดข้อสงสัย เล่นหุ้นด้วยเทคนิคอย่างไรถึงจะเรียกว่า "เจ๋ง" ดูแค่สัญญาณซื้อสัญญาณขายแค่นั้นหรอ ด้วยความเป็นนักวิทยาศาสตร์ถูกสอนมาว่า ให้นำข้อมูลในอดีตมาเป็นตัวชี้วัดความแม่นยำในอนาคต ทำให้แอบคิดว่าจะใช้ได้จริงหรือ? เขาแอบ ตั้งคำถามในใจ
ก่อนเจอพี่ป๋องยอมรับศึกษากราฟเทคนิคมานิดหน่อยออกแนวไม่ค่อยลึกซึ้ง เพราะไม่มีใครมาคอยไกด์ทางให้ ทำได้เพียงหาความรู้ตามงานสัมมนาต่างๆ ที่มีเหล่าคนดังๆ มาพูดให้ฟัง อาทิเช่น อาจารย์ ปอ ดัชนี เป็นต้น ระหว่างการสนทนา เซียนหุ้นหญิง นามว่า ส. เพื่อนร่วมอุดมการณ์ในการลงทุนโทรศัพท์เข้ามาเพื่อแจ้งว่า กำลังจะขึ้นไปร่วมวงสนทนา
เขาเล่าต่อว่า ผมขอเบอร์โทรศัพท์พี่ป๋อง เพื่อโทรไปขอคำแนะนำโน่นนี่ ตอนนั้นแกบอกให้ลองใช้กราฟ Modified Stochastic กราฟ Moving Average Convergence Divergence หรือ MACD และกราฟ RSI เป็นต้น ช่วยในการลงทุนรับรองได้ผลแต่อาจไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์
"ผมโทรหาแกตลอดพี่ป๋องคงเอ็นดูเรา จำได้ช่วงนั้นแกกำลังเล่นหุ้น ธนาคารทหารไทย หรือ TMB ช่วงราคา 5 บาท เพราะเป็นหุ้นแบงก์ตัวเดียวที่ราคายังไม่ขึ้น แกหวังว่า จะเห็นราคาหุ้น TMB จาก "ดินเป็นเดือน"ตอนนั้นยอมรับว่า "เล่นหุ้นตามพี่ป๋อง เพราะแกเป็นรายใหญ่"
ผลการ "ลอกหุ้น" ในครานั้น คือ "ขาดทุน"ออกแนวซ้ำๆซากๆ โดนจนเบื่อ ต้องบอกก่อนว่า ตอนพี่ป๋องแนะนำหุ้น เขามี "จุดตัดขาดทุน" หรือ Stop-Loss แต่เราไม่มี ด้วยความไม่รู้เรื่องอะไรคือ "จุดตัดขาดทุน" เห็นหุ้นตัวเดิมลงตัดสินใจซื้อแบบ "ต้นทุนถัวเฉลี่ย" หรือ Dollar Cost Averaging (DCA) เพราะมั่นใจว่าเดี๋ยวหุ้นคงขึ้น จากพอร์ตที่มีเงิน "ร้อยเปอร์เซ็นต์" ค่อยๆ ขาดทุนไปเรื่อยๆ จนลึกมากขึ้น
"ไม่ขายไม่ขาดทุน กลยุทธ์การเล่นหุ้นช่วงเริ่มต้น"
หลังๆ พี่ป๋องเริ่มไม่บอกตัวหุ้นละ แต่จะแชร์ไอเดียแทนการใบ้หุ้นว่า ลองไป Compare Graph หรือการนำกราฟหุ้น 2 ตัวในอดีต มาเปรียบเทียบกันในเชิงโครงสร้าง หนังสือกราฟ เทคนิคของต่างประเทศสอนไว้ว่า ในอดีต คนเล่นหุ้นนิสัยอย่างไรคนกลุ่มนั้นยังคงอยู่ เพียงแต่จะนำนิสัยนั้นมาเล่นในหุ้นตัวใหม่ๆ หมวดใหม่ๆ
จังหวะเข้าหุ้นแรกๆ ตอนปี 2546 ของ ผมคล้ายจังหวะเข้าหุ้นของนักลงทุนหน้าใหม่ ในปีนี้ ส่วนใหญ่เข้ามาเล่นหุ้น เพราะมีคนบอกว่า ตลาดหุ้นดี ขณะที่นักลงทุนแนว VI กำลังดัง และหากขาดทุนในไม้แรกยังสามารถใช้กลยุทธ์ทยอยซื้อแบบถัวเฉลี่ยได้
"ผมขอเปรียบจุดเข้าซื้อหุ้น ธนาคารทหารไทย ในตอนนั้นมันเหมือนจุดเข้าซื้อหุ้น แสนสิริ หรือ SIRI ในปีนี้"
พี่ป๋องแกสอนหลายอย่างกับเรา ฉะนั้นหน้าที่ของลูกศิษย์ที่ดี คือ ค่อยๆ เก็บเล็ก ผสมน้อย เพื่อนำมาใช้ในการลงทุนจริงๆ คราวนี้ เริ่มมีโอกาส "ได้บ้างโดนบ้าง" หุ้นตัวแรก ที่ตัดสินใจซื้อเอง ด้วยการใช้เส้นกราฟเข้าช่วย คือ หุ้น ทรู คอร์ปอเรชั่น หรือ TRUE ช้อนตอนปี 2547 แถวๆราคา 4.50-5 บาท ขายตอนราคา 12 บาท ก่อนจะมาเก็บอีกครั้ง 10.50 บาท สุดท้ายราคาลงมา 7 บาท ตัดสินใจ ขายขาดทุน ถือสะว่า "เล่นฟรี" ได้กำไรกลับมา นิดหน่อย
อย่างน้อยได้บทเรียนที่ว่า เรามีหลักการในการเล่นแล้ว แต่ต้องมาปรับวิธีการเล่นใหม่ ทำอย่างไรจึงจะได้ "กินคำใหญ่ๆ" หุ้นตัวนี้สอนให้รู้ว่า เทคนิคใช้ได้จริง เพียงแต่เราไม่เชื่อ กราฟเอง เพราะตอนราคา 10.50 บาท กราฟไม่ได้บอกให้ซื้อ แต่ดันซื้อเอง นั่นแปลว่า "เราโลภ ไม่มีหลักการ ไม่มีสติ"
ติดตามความสำเร็จในการลงทุนด้วยแนวเทคนิคในสัปดาห์หน้า รับรอง "หมอหนุ่มวัย 30 ปี" ผู้มีความกระตือรือร้นเป็นเลิศคนนี้ไม่ธรรมดา เพราะเขามีเพื่อนต่างวัยคู่ใจเป็นถึง "อดีตเจ้าของพอร์ตลงทุนหลักพันล้าน"ตัวย่อว่า ส.
2 ปี หุ้นไทยไร้จุด'New High'
"นพ.รัชต์ชยุตม์ จีระพรประภา"ทำนายตลาดหุ้นปีม้า (ปี 2557) ว่า จริงๆ เรามองข้ามไป 2 ปีข้างหน้า (2557-2558) เชื่อว่า SET INDEX คงไม่มี "นิวไฮ"โอกาสจะเห็น 1,700 จุด คงยากมาก แต่ตลาดหุ้นในช่วง 2 ปีข้างหน้า น่าจะตกอยู่ในอาการดีและไม่ดีสลับกัน อย่างปี 2557 น่าจะมีลักษณะ "ไซด์เวย์" ฉะนั้นอาจเห็นดัชนีในปีนี้วิ่งอยู่แถว 1,300 - 1,500 จุด แต่หากการเมืองรุนแรงมากคงลงไป ซื้อขาย 1,100 จุด ตลาดหุ้นแบบนี้นักลงทุนไม่ต้องรีบ กรุณาเก็บเนื้อเก็บตัวไว้ก่อน ดัชนีน่าจะอยู่ในช่วงขาลงไปจนถึงปลายเดือนม.ค.2557 เพราะสัญญาณทางเทคนิคบอกว่า ยังไม่มีโอกาสกลับตัวในเร็วๆ นี้ ถ้าผมเป็นนักลงทุนต่างชาติคงจะมี "ความสุขมาก" เพราะขายแล้วหุ้นไม่ลง ทำให้ขายได้ ทุกวัน คนที่มารับส่วนใหญ่คือ นักลงทุนรายย่อย และ prop trade หรือ บัญชีบริษัทหลักทรัพย์
ถามถึง "หุ้นเด่น" ในปี 2557 เขาบอกว่า เศรษฐกิจโลกกำลังฟื้นตัว ฉะนั้น หุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจภายนอก หรือ โกลบอล เพลย์ ค่อนข้างน่าสนใจ
ยกตัวอย่าง "กลุ่มถ่านหิน" โดยเฉพาะ หุ้น บ้านปู หรือ BANPU หุ้นตัวนี้ ลงมา 3 ปีแล้ว ดูตามกราฟจะเห็นว่า หุ้นที่เคยแพ้ตลาดกำลังจะกลับมา "หมอวิน" และ เซียนหุ้น ส.ที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องประชุมเล็กๆ ประสานเสียงความเชื่อ
"ปี 2557 เล่นหุ้น BANPU ปลอดภัยกว่าเล่น SET"
"หุ้นกลุ่มเดินเรือ" เป็นอีกตัวที่ น่าลงทุน หากให้เลือกระหว่าง หุ้น โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ หรือ TTA กับ หุ้น พรีเชียส ชิพปิ้ง หรือ PSL ขอเลือกตัวหลังดีกว่า (หัวเราะ) หุ้นกลุ่มนี้หากดูตามเส้นเทคนิคจะเห็นว่า กำลังชนะ SET แต่หากนำหุ้น 2 ตัว มาเทียบกัน หุ้น PSL น่าสนใจกว่า กลุ่มสุดท้าย คือ "หุ้นประกัน"ขอเชียร์ หุ้น ไทยรีประกันชีวิต หรือ THREL "ผมมีความรู้ที่จะบอกทุกคนแค่นี้ละครับ"
'ผลการ "ลอกหุ้น"คนดังในครานั้นคือ "ขาดทุน"ออกแนวซ้ำๆ ซากๆ โดนจนเบื่อ พี่ป๋องมี "จุดตัดขาดทุน" แต่เราไม่มี'--จบ--

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

Re: เผยโฉม "คุณหมอนักเทคนิค" "นพ.รัชต์ชยุตม์ จีระพรประภา" (1

โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 20, 2014 8:36 pm
โดย pakapong_u
พิชิตกำไร 400% ด้วยกราฟ'น.พ.รัชต์ชยุตม์ จีระพรประภา'
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)

Monday, January 20, 2014 07:39


เปิดความลับ "เซียนหุ้นเทคนิค" "นพ.รัชต์ชยุตม์ จีระพรประภา" บุรุษผู้ใช้เงิน "หลักร้อยล้าน" ในการเทรดหุ้นต่อเดือน ผ่านมาเกือบ 1 ปี โกยกำไรจากตลาดหุ้นแล้ว 400% จากนี้ขอโตปีละ 30-40% ต่อการลงทุนหนึ่งรอบ
"วิน-นพ.รัชต์ชยุตม์ จีระพรประภา"เขาคือ ศิษย์เอก "เสี่ยป๋อง-วัชระ แก้วสว่าง" เซียนหุ้นรายใหญ่หลังแสดงตนขอทำความรู้จักเมื่อ 10 ปี ก่อนในงานสัมมนาแห่งหนึ่ง และยังเป็นคนสนิท "เซียนหุ้นหญิง ตัวย่อ ส. อดีตนักลงทุนรายใหญ่ เจ้าของพอร์ตหลักพันล้าน เขาเรียก "หมอยรรยง พันธุ์วงศ์กล่อม" เซียนหุ้นรายใหญ่ ด้วยความสนิทชิดเชื้อว่า "คุณอา" บุรุษวัย 30 ปี เขาเป็นลูกชายคนเดียว ประจำตระกูลจีระพรประภา พื้นเพเป็นคนกรุงเทพ ครอบครัวดำเนินธุรกิจค้าส่งสุรา ภายใต้ชื่อร้าน "ศรีมงคง" ย่านบางบอน ด้วยอุปนิสัยชอบช่วยเหลือคน ทำให้เขาตัดสินใจเรียนคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ปัจจุบันทำงานอยู่ในโรงพยาบาลรัฐบาลชื่อดังแห่งหนึ่ง "จุดเริ่มต้นการลงทุน" เกิดขึ้นทันทีหลังเห็นป๊าและญาติเล่นหุ้นในปี 2543 แม้ครอบครัวจะไม่ประสบความสำเร็จในการเล่น "หุ้นบิ๊กแคป" แต่เขากลับอยากลงทุนหุ้น
"วิน" ตัดสินใจเชียร์ให้ป๊าซื้อ "หุ้น ศุภาลัย" หรือ SPALI เป็น"หุ้นตัวแรก" ช่วงราคา ดอย 5.50 บาท ผ่านมา 6 เดือน ราคาลดเหลือ 3 บาท แต่เขาไม่ยอมขาย ยึดคติ "ไม่ขายไม่ขาดทุน" สุดท้ายปล่อยที่ราคา 2.50 บาท "หมอวิน" เล่าถึงกลยุทธ์การลงทุนในปัจจุบันให้ฟังว่า "ผมใช้อารมณ์ในการลงทุนนานถึง 3-4 ปี" หลังประสบความสำเร็จระดับหนึ่งในการโกยกำไร หุ้น ทรู คอร์ปอเรชั่น หรือ TRUE
เพิ่งมาเลิกใช้อารมณ์เป็นใหญ่เมื่อปี 2556 หลังจากเริ่มมีวินัยและมีกลยุทธ์ในการลงทุนมากขึ้น เรียกง่ายๆ ทำการบ้านมาอย่างหนัก ทำให้ในปี 2556 ผมมีกำไรจากการลงทุนแนวเทคนิคมากถึง "400 เปอร์เซ็นต์" หากจะให้เรียงลำดับว่า หุ้นตัวไหนที่ดันพอร์ตให้สวยขนาดนี้ บอกตรงๆ เรียงไม่ถูกจริงๆ สาวสวยเต็มฮาเร็ม "หมู-อภิเชษฐ อ่อนกอ" แอดมินหลักประจำ facebook ชื่อ Master of Tread ที่มีคนมากดถูกใจแล้ว 1,852 คน แอบแซว
ปัจจุบันหลักการลงทุนได้เปลี่ยนไปแล้ว ทุกวันนี้อารมณ์นิ่งขึ้นเยอะ ก่อนลงทุนมักจะวางแผนการลงทุนเองทุกขั้นทุกตอน วันนี้เราต้องดูว่า Risk (ความเสี่ยง) กับ Reward (ผลตอบแทน) มันคุ้มค่าในการเสี่ยงหรือไม่ ถ้า Risk และ Reward เยอะๆแบบนี้ไม่เอา แต่ถ้า Risk น้อยๆ Reward สูงๆ แบบนี้น่าลงทุน
เมื่อนำ Risk กับ Reward มาหารกันแล้วออกมาใกล้ๆศูนย์ถือว่า เป็นที่น่าพอใจ แต่หากมีค่าใกล้ 1 หรือเกิน 1 ถือว่าไม่คุ้มเสี่ยง หลักการเช่น ซื้อหุ้นหนึ่งตัวในราคา 10 บาท ถ้าหุ้นลงเราจะเสียไม่เกินบาท แต่ถ้าได้จะได้มากถึง 10 บาท แบบนี้อัดเลย
นักลงทุนแนว VI เขาใช้หลักการ "กำไรทบต้น" สิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ผมเองใช้เช่นกัน แต่เราจะกำไรทบต้นเร็วกว่านักลงทุนวีไอ เพราะเราใช้เครื่องไม้เครื่องมือทางเทคนิคบางอย่างมาช่วยซื้อขาย ที่สำคัญจะใช้เวลาไม่นาน หุ้นตัวนั้นจะมีแรงหรือพลังส่งขึ้นไปมากกว่าตัวอื่นๆ
ถามว่า เลือกใช้กราฟตัวไหนในการหาจังหวะเข้าออก "หมอวิน" ตอบว่า ส่วนใหญ่จะใช้กราฟ Keltner Channel กราฟ RSI กราฟ MACD กราฟ Directional Indicator และเทคนิคการนำกราฟแต่ละตัวในอดีตมาเปรียบเทียบกัน เป็นต้น
การ Compare Graph หรือการนำกราฟมาเปรียบเทียบในเชิงโครงสร้าง ยอมรับว่า "หมอวิน" เขาทำการบ้านหนักมาก เพราะการ Compare Graph ของเขาไม่ได้ทำเหมือนที่นักวิเคราะห์บางรายทำ "หมู" พูดเสริม
หลักการลงทุนส่วนตัว คือ เลือกหมวดที่ชนะตลาด และเลือกตัวที่เก่งและแกร่งที่สุดในหมวดนั้น เมื่อตลาดมีอันเป็นไป หุ้นตัวนั้นจะลงน้อย หรือตลาดขึ้นหรือไม่ลงเลยหุ้นตัวนั้นจะมี High beta (ค่าเบี่ยงเบนที่มีต่อดัชนีอ้างอิง) ที่สูงกว่าตลาดมาก เหมือน หุ้น ยูนิ เวนเจอร์ หรือ UV ในยุคสมัยหนึ่งหุ้น ยูนิ เวนเจอร์ หรือ UV จึงเป็น "หุ้นตัวแรก" ที่ดันพอร์ตปี 2556 ให้เติบโต เลือกซื้อในช่วงปลายปี 2555 ต้นทุน 7 บาท ขายตอน 18 บาท "เซียนหุ้นหญิง ตัวย่อ ส." ช่วยเตือนความจำหมอวิน ตอนนั้นหุ้น UV มีสตอรี่เรื่องการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนอสังหาริมทรัพย์ วันนั้นดู Reward มากกว่า Risk 10 เท่า เห็นแบบนี้รีบอัดเลย พออัดหนึ่งครั้งได้เยอะทำให้พอร์ตโตเร็วมาก
"หุ้นสวย" ตัวต่อไป คือ หุ้น ยูนิเวอร์แซลแอดซอร์บเบ้นท์ แอนด์ เคมิคัลส์ หรือ UAC เซียนหุ้น ส.และหนุ่มหมู ประสานเสียง ต้นทุน 9 บาท ขาย 14 บาท ใช้เวลาแค่ 11 วัน เราเริ่มอัดหุ้นช่วงเดือนม.ค. 2556 พอดีแอบเห็นนักลงทุนรายใหญ่ถือหุ้นตัวนี้เลยเกิดความสนใจ อีกอย่างธุรกิจพลังงานทางเลือกกำลังมา
"ผมชอบเล่นหุ้นตามกระแส แต่ต้องรู้ก่อนว่า กระแสอะไรกำลังจะมา ไม่ใช่ไปเล่นกลางกระแส หรือปลายกระแส เราต้องมองข้ามสเต็ป เมื่อหมวดไหนน่าสนใจหรือแข็งแกร่ง ผมจะรีบทำ Compare Graph ทันที เน้นวางแผนการลงทุนเป็นชุดๆ ส่วนใหญ่มักใช้เวลาหลังเลิกงานในการทำการบ้านเรื่องหุ้น"
ตัวต่อไป คือ หุ้น ช.การช่าง หรือ CK สัญญาณทางเทคนิคสั่งซื้อตอน 12 บาท และสั่งขายช่วง 28 บาท ใช้เวลาการขึ้นไม่เกิน 3 เดือน ตอนนั้นอึดอัดต้องรีบขาย ทั้งๆที่มีความเชื่อว่าจะขึ้นไป 40 บาท ตอนนั้นอัดเต็มเหมือนกัน เพราะเล่นตามสตอรี่โครงสร้างพื้นฐานสาธารณูปโภค 2.2 ล้านบาท ต้องบอกก่อนว่า หุ้นตัวนี้นักลงทุน VI ไม่เล่น เพราะหุ้น CK ตอนโน้นมีอัตราส่วนราคาต่อกำไร หรือค่า P/E 1,000 เท่า ราคาหุ้นขึ้นอย่างเดียว
แต่ตอนนี้อัตราส่วนราคาต่อกำไรอยู่ที่ 3 เท่า หุ้นลงตลอด นั่นแปลว่า "เล่นเสร็จแล้ว"เซียนหุ้น ส. แสดงความคิดเห็น "หมอวิน" หันไปเปิดกราฟในโน๊คบุ๊คคู่ใจให้บิสวีคดู เราจะนั่งดูเพียงอัตราส่วนราคาต่อกำไรอย่างเดียวไม่ได้ "ผมเองเป็นคนไม่ดูอัตราส่วนราคาต่อกำไร แต่จะดูแนวโน้มของหุ้นตัวนั้นว่า สตอรี่อะไรกำลังมาและมีแนวโน้มหรือความเป็นไปได้หรือไม่"
เขา เปิดกราฟหุ้น CK ช่วงปี 2546 ให้ดู ตอนนั้นราคาหุ้นอยู่ระดับ 2 บาทใช้เวลาแค่ครึ่งปีขึ้นมา 30 บาท ตอนนี้ราคาหุ้น CK กำลังตกอยู่ในอาการนี้เช่นกัน ถามว่า ต้องใช้เวลาอีกกี่ปีกว่าหุ้นจะกลับมา 30 บาท อย่างน้อยต้องใช้เวลา 5 ปี หากการเมืองยังยุ่งๆแบบนี้
"หมอวิน" เล่าถึงหุ้นตัวต่อไปว่า ซื้อ หุ้น กรุ๊ปลีส หรือ GL มา 7.50 บาท ขายช่วง 12.50 บาท ตอนนั้นเล่นเรื่องข่าวคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 2.25เปอร์เซ็นต์ อีกอย่างพื้นฐานบริษัทดีมากเขาไปปล่อยสินเชื่อที่ประเทศกัมพูชาค่อนข้างเยอะ คนประเทศนั้นเริ่มมีเงิน ความต้องการใช้มอเตอร์ไซด์สูงมาก เมื่อ AEC เปิดเขาจะได้เปรียบ ตอนนั้นนักวิเคราะห์แนะนำซื้อหุ้น กรุ๊ปลีส มากกว่าหุ้น ฐิติกร หรือ TK ทั้งๆที่ "ฐิติกร" ไซด์ใหญ่กว่าและมาร์จิ้นมากกว่า
ขายหุ้น กรุ๊ปลีส รอบนั้น เราไม่เคยกลับไปซื้ออีกเลย พรางชี้นิ้วไปหา "เซียนหุ้นหญิงคนเก่ง" คนนี้ไงที่สอนผม พูดง่ายๆ"ได้แล้วทิ้ง" รอบของหุ้นตัวเดิมจะใช้เวลากลับมาอีกครั้งประมาณ 2-3 ปี ดูอย่างหุ้น ไออาร์พีซี หรือ IRPC ผ่านมา 10 ปี หุ้นยังไม่กลับมาเลย ส่วนใหญ่หุ้นจะใช้เวลาในการเล่นรอบแค่ 1 เดือน เธอขยายความ จากนั้นมาซื้อ หุ้น ไทยพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรม หรือ TFD ต้นทุน 10 บาท ขาย 16 บาท เล่นข่าวเพิ่มทุนแจกใบสำคัญแสดงสิทธิ ตัวต่อไป คือ หุ้น เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น หรือ NBC ต้นทุน 6 บาท ขาย 9 บาท ราคาหุ้นเคยสูงสุด 11.40 บาท
จริงๆ สัญญาณยังไม่สั่งให้ขาย แต่ยอมรับว่ากลัว เพราะหุ้นวิ่งขึ้นเร็วมาก ตอนนั้นคิดยังไงต้องคว่ำ แต่สุดท้ายกลับมาซื้อใหม่ เพราะอยากได้ใบสำคัญแสดงสิทธิ และ ขายไปตอน 6.50 บาท ช่วงหุ้น NBC ขึ้นเยอะๆ ทำให้เกิดออกอาการเพ้อไปไกลว่า หากทีวีดิจิทัลเปลี่ยน
จริงๆ หุ้นไปไกลแน่
เขา เล่าว่า ระหว่างทางเกิด "เจ็บตัว"เพราะหุ้น เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป หรือ NMG ซื้อมา 2 บาท ขาย 1.50 บาท "ขาดทุน" ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ ตอนนั้นซื้อเพราะ
เชื่อว่าทีวีดิจิทัลเกิดแน่ จริงๆ
สัญญาณเทคนิคบอกให้ขายแล้ว แต่หุ้นวิ่งเร็วมากทำให้ขายไม่ทัน บทเรียนคราวนั้นสอนให้รู้ว่า บางครั้งต้องเชื่อกราฟมากกว่าความลับที่รับรู้มา
ตัวต่อไป คือ หุ้น ยูไนเต็ด เปเปอร์ หรือ UTP สัญญาณซื้อทางเทคนิคเกิดขึ้นตอน 9 บาท ขายไป 15 บาท หุ้นใช้เวลาขึ้นแค่ 8 วัน ตอนนั้นมีข่าวลือเรื่องเทคโอเวอร์ อีกตัวที่ได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2556 คือ หุ้น ซีออยล์ หรือ SEAOIL ขายในราคาไอพีโอ 3.50 บาท และกลับมาเก็บครึ่งหนึ่งของจำนวนที่อยากได้ในราคา 4 บาท ก่อนจะไล่เก็บช่วง 4.50 บาท และ 5 บาทอีกครั้ง ตอนนั้นทรงกราฟหุ้น SEAOIL เหมือนหุ้น UV ทำให้ไล่ซื้อมา 3 รอบ สุดท้ายขายที่ราคา 8 บาท จากนั้นมาซื้ออีกครั้ง 8 บาท แล้วขายตอน 10.50 บาท
ครั้งหนึ่ง "ทพ.ยรรยง พันธุ์วงศ์กล่อม" เซียนหุ้นรายใหญ่ เคยสอนเราว่า ก่อนจะซื้อหุ้นไอพีโอต้องดูว่า เขาเข้ามาในตลาดหุ้นเพื่ออะไร เงินที่ได้จากการระดมทุนจะนำไปทำอะไร หากนำเงินไปใช้หนี้ หรือไม่ได้นำไปขยายกิจการ หุ้นตัวนั้นราคาจะไม่สูง แต่ถ้านำเงินไปขยายกิจการ และเจ้าของไม่ได้ระดมทุน เพื่อให้ตัวเองรวย หุ้นตัวนั้นจะไม่มีแรงขาย เปรียบเหมือนหุ้น SEAOIL ผมจำได้เคยอ่านบิสวีคที่ลงเรื่องของ SEAOIL ลูกสาวเจ้าของ "เติ้ล-นีรชา ปานบุญห้อม" เขาบอกว่า หุ้นไอพีโอส่วนหนึ่งจะถูกขายให้พันธมิตร ฉะนั้นถ้าเปิดมาแล้วหุ้นลงคงโดนด่าเละ
"ตลาดหุ้นช่วงครึ่งปีหลังของปี 2556 ยอมรับ "เล่นยากมาก" ระหว่างทางโดนหุ้นตัวโน้นตัวนี้เล่นงานตลอดเต็มที่ได้กำไรแค่ 4-5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ไม่ค่อยได้เนื้อได้หนังเท่าไร"
"คุณหมอหนุ่ม" สถบว่า อย่าถามว่าตอนนี้พอร์ตมีมูลค่าเท่าไร พูดแบบนี้แล้วกันปกติจะใช้เงินซื้อขายหุ้น "หลักร้อยล้านบาทต่อเดือน" ผมไม่ได้ลงทุนคนเดียว แต่มีเงินของคนในครอบครัวช่วยด้วย
เราวางตัวเองเป็น "นักกลยุทธ์" เน้นวางแผนรบเป็นหลัก หากชนะข้าศึกแล้วต้องโหมตีอย่างรวดเร็ว และต้องใช้เวลาและเงินทุนให้น้อยที่สุด เราต้องบริหารความเสี่ยง หรือ RISK Management ให้ดี ที่สำคัญต้องหาตัวเองให้เจอว่า เป็นนักลงทุนประเภทไหน
อย่างผมเองวางตัวเองเป็น "นักลงทุนเทคนิค เพื่อรับส่วนต่างของราคา" นิยมเล่นหุ้นตามกระแสที่กำลังจะเกิดขึ้น หากเล่นไปแล้วพบว่า เหตุการณ์นั้นไม่เกิดขึ้นต้องรีบออกมา คุณต้องยอมเสียกำลังทหาร 10- 20 เปอร์เซ็นต์ แต่ยังมีกองทหารเพื่อไปตีทัพอื่นได้ ลงทุนลักษณะนี้ได้ต้องทำการบ้านอย่างหนัก ต้องมองเกมส์ล่วงหน้า
จากนี้จะพยายามบริหารให้พอร์ตเติบโตปีละ 30-40 เปอร์เซ็นต์ต่อการลงทุนหนึ่งรอบ พูดตอนนี้เหมือน "ขี้โม้" ตลาดหุ้นปี 2557 ท่าทางเล่นยากเขาย้ำ โอกาสจะได้ผลตอบแทน 400 เปอร์เซ็นต์แบบนี้คงเป็นไปไม่ได้ จริงๆต้นปี 2556 เคยคิดแค่ว่า ได้กำไร 50 เปอร์เซ็นต์ ก็สวยแล้ว "น้ำขึ้นให้รีบตัก"สุภาษิตนี้ใช้ได้จริงๆ
"หมอวิน" ปิดท้ายบทสนทนาด้วยการเล่าถึงสิ่งที่อยากจะทำในปี 2557 ว่า สนใจลงทุนใน "ดัชนีนิเคอิ ตลาดหุ้นโตเกียว" เท่าที่ดูทรงกราฟพบว่า ในปี 2557 ดัชนีอาจวิ่งไปไกลถึง 25,000 จุด ตอนนี้กำลังศึกษาเกี่ยวกับหุ้นของประเทศเขา เพราะยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร
"ผมจะไม่ดูพื้นฐานของหุ้นตัวนั้นเลย หากทรงกราฟไม่สวย และจะขายเมื่อสัญญาณสั่งให้ขายเท่าไรก็ต้องขาย เราต้องมีวินัย อย่าปล่อยให้ฐานทุนหมดไปเรื่อยๆ เพราะมันต้องใช้เวลานานมากกว่าหุ้นจะกลับมา หากทำเช่นนั้นคุณจะเป็นเหมือนผมในอดีต เล่นหุ้นต้องมีเพื่อน เล่นคนเดียวไม่ได้ เมื่อก่อนเคยเล่นคนเดียวทำให้เล่นพลาดบ่อยๆ เซียนหุ้น ส. สอนมา"
"พี่ป๋องเป็นคนที่สอนให้ผมรู้จัก "กลัว" ขณะเดียวกันสอนให้รู้จักว่า อย่ากลัวหากมีจังหวะโลภ เขาถือเป็นบุคคลต้นแบบที่ดี"
'วางตัวเองเป็น "นักลงทุนเทคนิคเพํ อรับส่วนต่างของราคา" นิยมเล่นหุ้นตามกระแสที่กำลังจะเกิดขึ้นหากเล่นไปแล้วพบว่า เหตุการณ์นั้นไม่เกิดขึ้นต้องรีบออกมา'--จบ--

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ