หน้า 1 จากทั้งหมด 1

ตลาดหุ้นญี่ปุ่น/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 13, 2014 10:43 am
โดย Thai VI Article

โค้ด: เลือกทั้งหมด

	ผมเพิ่งกลับจากการไปเที่ยวที่ญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศที่ผมได้ไปเยี่ยมเยือนมาหลายครั้งย้อนหลังไปประมาณ 30 ปีเศษ ๆ  ความรู้สึกในภาพรวมทั่ว ๆ ไปก็คือ  ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่  “เจริญมาก”  ในทุก ๆ  ด้านทั้งทางด้านวัตถุและจิตใจซึ่งส่งผลให้สังคมของญี่ปุ่นที่ผมมองเห็นจากภายนอกนั้นดู  “สมบูรณ์”  ไปหมด  ประเด็นก็คือ  มันดีแบบนี้มาตั้งแต่ครั้งแรก ๆ  ที่ผมไปญี่ปุ่น  ดังนั้น  ถ้าจะพูดถึงการ “เติบโต”  หรือ  “อัตราการพัฒนา” ให้ดีขึ้นนั้น  อาจจะไม่สูงเลย  ว่าที่จริงในช่วงกว่า 10 ปี หรืออาจจะใกล้ ๆ 20 ปีมาแล้วที่เศรษฐกิจของญี่ปุ่นอาจจะ “ไม่ไปไหนเลย”  สาเหตุใหญ่นั้นผมคิดว่าน่าจะมาจากการที่อัตราการเกิดของพลเมืองญี่ปุ่นนั้นต่ำมาก  และคนก็มีอายุที่ยืนยาวมาก  ดังนั้นอายุเฉลี่ยของคนจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจน  กลายเป็นสังคมของ “คนแก่”  และญี่ปุ่นเองก็ไม่ต้องการที่จะรับคนต่างชาติเข้าเมืองเนื่องจากเกรงว่าจะทำให้สังคมของญี่ปุ่น “ด้อยลง”  นอกจากประเด็นเรื่องคนแก่ตัวลงแล้ว  ผมคิดว่าอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจของญี่ปุ่นชะงักงันยาวนานอาจจะเป็นเพราะนิสัยหรือแนวความคิดของคนญี่ปุ่นเองนั้น  ค่อนข้างที่จะอนุรักษ์นิยมมาก  หรือเป็นคนที่มีวินัยสูง  ทุกคนต่างก็ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของสังคมอย่างเคร่งครัด  ไม่ใคร่มีใคร  “แหกกฎ” หรือ  “คิดแตกต่าง”  ซึ่งนี่อาจจะทำให้ความคิดสร้างสรรค์ลดน้อยลงไป   ซึ่งในอดีตนั้น  อาจจะไม่มีปัญหาในการแข่งขันทางเศรษฐกิจมากนัก   แต่ในระยะหลังเป็นสิ่งจำเป็น  และนี่อาจจะทำให้ญี่ปุ่นมีปัญหาพอสมควรทีเดียวในโลกยุคปัจจุบัน
	สิ่งที่ผมพูดข้างต้นนั้นก็เป็นเรื่องของการพรรณนาที่เราต่างก็ได้รับรู้จากการได้สัมผัส  จากสื่อและหนังสือที่มีการเผยแพร่มาต่อเนื่อง  ในฐานะที่เป็นนักลงทุน  ผมเองอยากที่จะ  “อ่าน” ข้อมูลที่เป็นตัวเลขที่สะท้อนออกมาจากตลาดหุ้นนั่นก็คือ  ดัชนีนิกเกอิที่เป็นดัชนีตลาดหุ้นหลักของญี่ปุ่นเพื่อที่จะดูหรือยืนยันว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นนั้นเป็นจริงตามที่มีการพูดกันแค่ไหน  และสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ  พยายามทำนายว่ามันจะไปอย่างไรต่อไป
	มองย้อนหลังไป 30 ปี ตั้งแต่ปี 1983 นั้น  ดัชนีนิกเกอิเริ่มต้นประมาณ 10,000 จุดเศษ ๆ  และนั่นเป็นช่วงที่ญี่ปุ่นกำลัง  “ขึ้นสุดยอด”  ผมยังจำได้ถึงสถานะและบทบาทของบริษัทยักษ์ใหญ่ต่าง ๆ  ของญี่ปุ่นที่ก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทชั้นนำของโลก  ไล่ตั้งแต่บริษัทที่ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างเนชั่นแนล  เครื่องเสียงของโซนี่ที่ปรากฏอยู่ในภาพยนตร์ของเจมส์บอนด์  รถยนต์ของโตโยต้าและนิสสันที่กำลังเป็นที่นิยมทั่วโลกโดยเฉพาะในประเทศไทย  และชิ้นส่วนสินค้าไฮเท็คจำนวนมากที่แม้แต่บริษัทชั้นนำของอเมริกันหรือนาซ่าก็ต้องพึ่งพิง  นอกจากนั้น  ความรู้และแนวความคิดในการบริหารงานแบบญี่ปุ่นเช่น  ระบบการควบคุมสินค้าคงคลังแบบเป็นศูนย์หรือการบริหารงานแบบ  Just in Time   และแนวความคิดอื่น ๆ  อีกมากต่างก็ได้รับการขานรับว่าเป็นวิธีการบริหารงานที่ทำให้ญี่ปุ่น  “ครองโลก”  ในทางธุรกิจ   หนังสือ How To หรือการพัฒนาตนเองทางธุรกิจบนแผงหนังสือต่างก็เป็นเรื่องของญี่ปุ่น
	ในช่วงประมาณ 6 ปี คือถึงสิ้นปี 1989 ดัชนีนิเกอิได้ปรับขึ้นไปอย่างต่อเนื่องแทบไม่สะดุดเลยขึ้นไปเป็นประมาณ 39,000 จุดหรือขึ้นไปเป็นเกือบ 4 เท่า  คิดเป็นผลตอบแทนทบต้นประมาณปีละ 25%  และนี่น่าจะเรียกว่าเป็น  “ทศวรรษทอง” ของญี่ปุ่นอย่างแท้จริง  ราคาของหุ้นญี่ปุ่นนั้นสูงจนนักวิชาการหลายคนบอกว่า  “เป็นไปไม่ได้”  ค่า PE ของตลาดสูงเป็นหลายสิบเท่า  ผมจำได้ว่ามากกว่า 50 เท่า  แต่นักลงทุนและนักวิเคราะห์จำนวนมากที่เห็นดัชนีขึ้นเอา ๆ  ต่างก็เถียงว่าญี่ปุ่นนั้น “ไม่เหมือนสหรัฐ”  หรือประเทศอื่นในโลก  หุ้นของญี่ปุ่นส่วนใหญ่ถือโดยสถาบันหรือบริษัทญี่ปุ่นด้วยกันล็อกกันไว้หมดและไม่ขาย  แต่ที่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  อัตราผลตอบแทนดอกเบี้ยของญี่ปุ่นต่ำมากแค่ 1-2% ต่อปี  ดังนั้น  การลงทุนในหุ้นที่มีค่า PE 50 เท่าก็ไม่แพง  เพราะเท่ากับมีผลตอบแทนของกำไรปีละประมาณ 2% เหมือนกัน  ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ  ราคาที่ดินของญี่ปุ่นเองก็สูงมาก  อาจจะยิ่งกว่าหุ้น  มีการคำนวณกันว่า  ราคาที่ดินทั้งประเทศของญี่ปุ่นนั้น  ถ้าคิดตามราคาตลาดแล้ว  มีค่ามากกว่าราคาที่ดินทั้งหมดของสหรัฐที่มีพื้นที่ใหญ่กว่าไม่รู้กี่สิบเท่า  ที่ดินเฉพาะในโตเกียวก็สูงกว่ารัฐใหญ่ที่สุดหลาย ๆ รัฐของอเมริการวมกัน
	สิ้นปี 1989 สำหรับผมก็คือ “ยอดดอยฟูจี” ของตลาดหุ้นญี่ปุ่น  ตลาดหุ้นเริ่มถล่มทะลาย  ภายในเวลาหนึ่งปี  ดัชนีตกลงไปเหลือประมาณ 24,000 จุด  หรือลดลงประมาณ 38%  แต่นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการพังทะลายของความเชื่อเกี่ยวกับญี่ปุ่นที่ว่าหุ้นของญี่ปุ่นไม่มีวันตกเพราะมันถูกถือโดยคนที่จะไม่ขาย  มันเป็นจุดเริ่มต้นของการพังทลายของความคิดที่ว่าญี่ปุ่นคือ “ราชัน” ทางเศรษฐกิจที่จะยึดกุมโลก  มันเป็นจุดเริ่มต้นของการพังทลายของความเชื่อที่ว่าสินค้าญี่ปุ่นนั้นจะครองใจคนทั้งโลกโดยที่คู่แข่งไม่มีทางตามทันเพราะญี่ปุ่นมีคนที่ดีและฉลาดที่สุดและมีตลาดภายในที่ใหญ่พอที่จะสร้าง Economies of Scale ที่เป็นฐานให้กับกิจการทุกชนิดได้  มีแต่อเมริกาเท่านั้นที่อาจจะเป็นคู่แข่ง  ประเทศเล็กอย่างเกาหลีในเอเซียหรือฟินแลนด์ในยุโรปไม่ได้อยู่ในสายตาที่จะก้าวเข้ามาแข่งขันได้
	ดัชนีนิกเกอิตกลงมาต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 3 ปีจนถึงเดือนมีนาคม 2003 เหลือเพียงประมาณ 8,000 จุด  หรือลดลงมาประมาณ 80% ซึ่งนี่ก็คือลักษณะของวิกฤติอย่างแท้จริงซึ่งเป็นเหมือนกันทั่วโลก  หลายประเทศรวมถึงไทยนั้นพบว่าเมื่อเกิดวิกฤติใหญ่ดัชนีหุ้นมักจะลดลงต่อเนื่องประมาณ 3 ปี  และดัชนีจะตกลงมาเหลือเพียง 10% ถึง 20% จากจุดสูงสุด  หลังจากนั้นดัชนีนิกเกอิก็เริ่มฟื้นตัว  ดัชนีปรับขึ้นไปเป็นเวลากว่า 4 ปีเป็นประมาณ 18,000 จุด  ในปี 2007  แต่แล้วในปี 2008 ก็เกิดวิกฤติซับไพรม์ในอเมริกาและลามไปทั่วโลกซึ่งทำให้ดัชนีนิกเกอิตกลงไปถึงเกือบ 60% เหลือเพียงประมาณ 7,500 จุดในช่วงต้นปี 2009
	จนถึงสิ้นปี 2012  ดัชนีนิกเกอิก็ยังอยู่ที่เพียงประมาณ 10,400 จุด ห่างไกลจากจุดสูงสุดก่อนซับไพรม์ที่ 18,000 จุด มากในขณะที่ตลาดหุ้นอื่น ๆ  โดยเฉพาะในเอเชียที่ดัชนีวิ่งเกินไปมากแล้ว  ญี่ปุ่นนั้นดูเหมือนว่ามีปัญหาทางด้าน  “พื้นฐาน”  ของเศรษฐกิจประเทศและบริษัทจดทะเบียนที่ยังคงตกต่ำลงไปเรื่อย ๆ  บริษัทที่เคยยิ่งใหญ่หลายบริษัทใกล้ล้มละลายและไม่สามารถแข่งขันได้โดยเฉพาะในสินค้าไฮเท็คยุคใหม่  แม้แต่สินค้าธรรมดา ๆ อย่างเครื่องใช้ไฟฟ้าก็ถูกแย่งชิงตลาดไปมาก  คนญี่ปุ่นเองแม้ว่าจะยังฉลาดและมีวินัยสูงแต่ด้วยวัยที่สูงขึ้นมากก็ยากที่จะเติบโตต่อไป  การเติบโตทางเศรษฐกิจดูเหมือนว่าจะนิ่งมาเป็นสิบ ๆ  ปี  เรียกว่าเป็น  Loss Decade หรือเป็น “ทศวรรษที่หายไป”   อย่างไรก็ตาม  การตกต่ำของดัชนีนิกเกอินั้นก็ทำให้หุ้นของญี่ปุ่นกลายเป็นหุ้นที่ไม่แพงโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับอดีต  ว่าที่จริงหลาย ๆ บริษัทนั้นถูกกว่าหุ้นของบริษัทในเมืองไทยที่ทำธุรกิจคล้าย ๆ  กันด้วยซ้ำ
	สังคมญี่ปุ่นเองคงถึงจุดที่ว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงหลังจากที่ประเทศ  “ติดหล่ม” มานาน  และนี่ก็เป็นที่มาของการที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่มีนโยบาย  “ก้าวร้าว”  และพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ  นายอาเบะกล้าที่จะพิมพ์เงินเพื่อ “สร้างเงินเฟ้อ” เพื่อผลักดันเศรษฐกิจ  เขากล้าแม้กระทั่งยอมให้คนไทยเข้าประเทศโดยไม่ต้องมีวีซ่าเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว  เขายังทำอะไรอีกหลายอย่างที่ไม่มีใครเคยคิดทำในสังคมแบบญี่ปุ่น  และนี่ทำให้ดัชนีนิกเกอิของปีที่แล้วปรับตัวขึ้นถึง 57% เป็นประมาณ 16,300 จุด  เป็นการปรับตัวสูงที่สุดในรอบกว่า 10 ปี และน่าจะดีที่สุดในโลกสำหรับตลาดหุ้นหลัก ๆ   ประเด็นต่อจากนี้ก็คือ  เศรษฐกิจของญี่ปุ่นจะไปได้ต่อไหมและมากน้อยแค่ไหน  จริงอยู่  แนวความคิด  วัฒนธรรม  และวิธีการนั้นสามารถเปลี่ยนได้โดยเฉพาะในคนญี่ปุ่นที่ฉลาด  มุ่งมั่นและมีวินัยสูงรวมถึงการเป็นคนที่มีสุขภาพดีเลิศ  แต่การที่คนแก่ตัวลงและโอกาสหรือความตั้งใจที่จะเพิ่มคนนั้นอาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย  มองในระยะยาวแล้ว  ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าญี่ปุ่นนั้นจะฟื้นได้จริง ๆ  มากน้อยแค่ไหน  ดังนั้น  ถ้าจะลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นแล้ว  ผมคิดว่าผมคงอยากที่จะเลือกเป็นรายตัวมากกว่าการซื้อกองทุนรวมที่อิงอยู่กับเศรษฐกิจโดยรวมของญี่ปุ่น
[/size]

Re: ตลาดหุ้นญี่ปุ่น/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 13, 2014 11:49 am
โดย ReRedrum
ขอบคุณมากครับ

Re: ตลาดหุ้นญี่ปุ่น/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 13, 2014 12:25 pm
โดย MaiFuen
สุดยอดครับ

ขอบคุณอาจารย์นิเวศน์และทีมงานครับ

Re: ตลาดหุ้นญี่ปุ่น/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 13, 2014 9:58 pm
โดย kabu
ต้นปี 57 นี้ ญี่ปุ่นปรับภาษี capital gain จาก 10% เป็น 20% ครับ ขึ้นมาเท่าตัวเลยทีเดียว ผมเคยคุยกับคนญี่ปุ่น พอบอกว่าประเทศไทยไม่มี capital gain tax เค้าหูผึ่งเลยครับ ^^"

http://www.reuters.com/article/2013/11/ ... UN20131113