หน้า 1 จากทั้งหมด 1

ผ่ากำไรสิ้นปี 5 เซียนหุ้น'เสี่ยปู่' โชว์เหนือโกย 100%

โพสต์แล้ว: จันทร์ ธ.ค. 30, 2013 12:23 pm
โดย pakapong_u
ผ่ากำไรสิ้นปี 5 เซียนหุ้น'เสี่ยปู่' โชว์เหนือโกย 100%
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)

Monday, December 30, 2013 08:14

"ซื้อหุ้นตัวไหนก็ได้กำไร" ไม่แปลกหากในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2556 จะเป็นปีแห่งการ "กำเนิดเม่าน้อยมือใหม่"
"จิ้มตัวไหนก็ไม่ขึ้น แถมขาดทุนอีกต่างหาก" เสียงบ่นของ "เม่าสมัครเล่น" เริ่มเกิดขึ้นในช่วงครึงปีหลังของปี 2556 เมื่อตลาดหุ้นไทยทยอยปรับตัวลดลง สุดท้ายลงมาสร้างสถิติ "ต่ำสุด" ระดับ 1,275.76 จุด ณ วันที่ 28 ส.ค.2556
เหตุการณ์ในครานั้น ทำให้เหล่ากูรู สบถว่า "มือใหม่แย่แล้ว" ขณะทีแมงเม่าส่อแววจะตายเกลื่อนตลาด แล้ว "เซียนหุ้นรายใหญ่" เอาตัวรอดได้หรือไม่?
ตลาดหุ้นปี 2556 "ขึ้นแรงลงเร็ว" ทำให้บรรดา "เซียนหุ้นวีไอ" โกยกำไรไม่เข้าเป้า ยกเว้น"นักลงทุนพันธุ์ผสม" "เสี่ยปู่-สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล"ที่ตบทรัพย์เข้าเป๋า "ร้อยเปอร์เซ็นต์
"นักลงทุนควรซื้อหุ้นที่มี "ความปลอดภัย" เช่น "กลุ่มค้าปลีก" และ "กลุ่มพลังงาน" "เสี่ยปู่-สมพงษ์"
"ซื้อหุ้นตัวไหนก็ได้กำไร" ไม่แปลกหากในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2556 จะเป็นปี แห่งการ "กำเนิดเม่าน้อยมือใหม่" โดยตลาดหุ้นไทยสามารถสร้าง "จุดสูงสุด" ระดับ 1,643.43 จุด ณ วันที่ 21 พ.ค.2556
"จิ้มตัวไหนก็ไม่ขึ้น แถมขาดทุนอีกต่างหาก" เสียงบ่นของ "เม่าสมัครเล่น"เริ่มเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2556 เมื่อตลาดหุ้นไทยทยอยปรับตัวลดลง สุดท้ายลงมาสร้างสถิติ "ต่ำสุด" ระดับ 1,275.76 จุด ณ วันที่ 28 ส.ค.2556
เหตุการณ์ในครานั้น ทำให้เหล่ากูรู สถบว่า "มือใหม่แย่แล้ว" ขณะที่แมงเม่าส่อแว่วจะตายเกลื่อนตลาด แล้ว "เซียนหุ้นรายใหญ่"เอาตัวรอดได้หรือไม่? "กรุงเทพธุรกิจ Biz Week" มีคำตอบ
"เสี่ยปู่-สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล" เจ้าของพอร์ต "หลักพันล้าน" เล่าให้ฟังด้วยน้ำเสียงนิ่ง เรียบเหมือนเคยว่า ปี 2556 สามารถโกยผลตอบแทนจากการลงทุนได้ "ร้อยเปอร์เซ็นต์"หรือ เมื่อเทียบกับปี 2555 "หุ้นดาวเด่น" ที่ทำพอร์ตขยายตัว คือ หุ้น ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่นหรือ WHA ต้นทุนเฉลี่ย 13 บาท "หุ้นตัวนี้พื้นฐานดี" เขาเชื่อเช่นนั้น "การเมืองวุ่นวาย" ทำให้ปัจจุบันจำเป็นต้องปรับลดสัดส่วนการลงทุน ขอให้คะแนนการเมือง "ติบลบ" หากปี 2557 การเมืองนิ่ง SET INDEX อาจยืนระดับ 1,600-1,700 จุด หุ้นไทยอาจ "รีบาวด์" จากการสำรวจการครอบครองหุ้นของ "เสี่ยปู่" พบว่า ตลอดปี 2556 เขาถือหุ้นหลากหลายกลุ่ม อาทิเช่น หุ้น เอเซีย พรีซิชั่น หรือ APCS จำนวน 4,250,000 หุ้น,หุ้น บางกอก เดค-คอน หรือ BKD จำนวน 20,000,000 หุ้น
หุ้น บ้านร็อคการ์เด้น หรือ BROCK จำนวน 8 2,670,000 หุ้น,หุ้น เด็มโก้ หรือ DEMCO จำนวน 34,596,500 หุ้น, หุ้น เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง หรือ GEN จำนวน 6,666,668 หุ้น, หุ้น เจ มาร์ท หรือ JMART จำนวน 3,502,600 หุ้น เป็นต้น
"เสี่ยปู่" ถือโอกาสแนะนำหุ้นน่าลงทุนในปี 2557 ว่า นักลงทุนควรซื้อหุ้นที่มี "ความปลอดภัย" โดยหุ้นตัวนั้นต้องเป็นหุ้นพื้นฐานที่มีการเติบโตของธุรกิจสม่ำเสมอและไม่ได้รับผลกระทบทางการเมือง อาทิเช่น "กลุ่มค้าปลีก" โดยเฉพาะ หุ้น ซีพี ออลล์ หรือ CPALL รวมถึง "กลุ่มพลังงาน" ที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้า เพราะกลุ่มดังกล่าวจะขายไฟฟ้าให้กับรัฐบาล ฉะนั้นคงไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ทางการเมือง
นักลงทุนควร "หลีกเลี่ยง" หุ้นที่ได้รับผลกระทบทางการเมืองโดยตรง เช่น หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวอย่าง "กลุ่มโรงแรม"หรือ หุ้น ท่าอากาศยานไทย หรือ AOT เมื่อการเมืองวุ่นวายกลุ่มดังกล่าวโดนเต็มๆ เพราะนักท่องเที่ยวจะไม่เข้ามาเที่ยวในเมืองไทย หากการเมือง "ยืดเยื้อ" หุ้นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจะค่อยๆ ปรับลดลง ยกเว้นว่า หุ้นเหล่านั้นมีพื้นฐานดี ราคาลงมาเยอะก็ให้เข้าไปลงทุนได้
ถามว่า ตลาดหุ้นไอพีโอมีโอกาสคึกคักเหมือนต้นปี 2556 หรือไม่ "เสี่ยปู่" วิเคราะห์ว่า หากราคาไม่สูงเกินไป ถือว่าน่าสนใจ ส่วนตัวหากพบหุ้น IPO น่าสนใจยังคงเข้าไปลงทุนเหมือนเดิม ยิ่งตัวไหนมีธุรกิจที่ดีมีอนาคต และมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง "ลุยเลย" ตลอดปี 2556 ที่ลงทุนหุ้นไอพีโอ ยอมรับว่า มีทั้งขาดทุนและกำไร ตัวไหนขาดทุนต้องรีบตัดขายขาดทุนในช่วงแรกๆ
ฟาก "ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร" ผู้เผยแพร่แนวคิดการลงทุนแบบเน้นคุณค่าคนแรกในประเทศไทย หรือ วีไอ เจ้าของพอร์ตกว่าสองพันล้าน เล่าว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนในปี 2556 ถือว่า "บวกเล็กน้อย" ไม่ขาดทุนสุดแสนจะดีใจแล้ว (ไม่ยอมบอกตัวเลข) ด้วยความที่ตลาดหุ้นโดยรวม "ติดลบ" และเราเป็นนักลงทุนระยะยาว ผลจึงออกมาเป็นแบบนั้น
สถานการณ์ตลาดหุ้นในปัจจุบัน ทำให้จำเป็นต้องแบ่งพอร์ตลงทุนใหม่ โดยหันมาถือเงินสดประมาณ 6-7 เปอร์เซ็นต์ จากเดิมที่ไม่เคยถือเงินสดเลย เพราะว่าที่ผ่านมาราคาหุ้นพื้นฐานปรับตัวลดลงเยอะมาก ฉะนั้นหากมีหุ้นตัวไหนที่ดีจะได้มีเงินเข้าไปซื้อหุ้นทันที
"นักลงทุนรายใหญ่" มองตลาดหุ้นปี 2557 ว่า อาจอยู่ในกรอบ 1,450 จุด ยอมรับว่า ตลาดหุ้นจะ "ไม่โดดเด่น" เหมือนช่วง 1-2 ปี
ที่ผ่านมา เท่าที่ดูปัจจุบันตลาดหุ้นไทยยังไม่มีปัจจัยอะไรมาสนับสนุน ส่วนปัจจัยต่างประเทศ ปี 2557 เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา และยุโรป อาจฟื้นตัวชัดเจน แต่ตลาดหุ้นไทยยังเจอภาวะเรื่องภายในประเทศกดดันอยู่ต่อเนื่อง "ปีหน้าแนะนำนักลงทุนซื้อหุ้น "ปลอดภัย"อย่าง "กลุ่มอุปโภค-บริโภค" ไม่ว่าจะเป็น "หุ้นค้าปลีก" หรือหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการ จับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ"
"กรุงเทพธุรกิจ Biz Week" พบชื่อ "ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร" ถือหุ้น เอเชียซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น หรือ AS จำนวน 4,000,000 หุ้น, หุ้น บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ หรือ BAFS จำนวน 4,000,000 หุ้น เป็นต้น
"พีรเจต สุวรรณนภาศรี" ผู้บริหาร บมจ.ยูเนี่ยน อินทราโก้ หรือ UIC ในฐานะ นักลงทุนแนว Value Investors บอกว่า สำหรับผลตอบแทนจากการลงทุนในปี 2556 อยู่ในระดับที่น่า "พอใจ" มีทั้งสิ่งที่ได้เพิ่มขึ้นมา และสิ่งที่ต้องเสียไป
ปัจจุบันแบ่งพอร์ตออกเป็น 2 แบบ คือ พอร์ตเก่าที่ซื้อหุ้นเก็บมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ยอมรับว่า พอร์ตเก่ามีมูลค่าลดลง เนื่องจากหุ้นหลายๆ ตัวมีมูลค่าลดลง ส่งผลให้กำไรหดหายไป สำหรับพอร์ตใหม่ที่เพิ่งเริ่มซื้อเข้ามาเมื่อ 3-4 เดือนก่อน ตอนที่ดัชนีปรับลดลงไปเยอะๆ ถือว่ามีผลตอบแทนประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์
ปัจจัยที่นักลงทุนต้องจับตามากที่สุดในปี 2557 คงหนีไม่พ้นเรื่องการเมือง นั่งลุ้นอย่างเดียวเท่านั้น หากมีรัฐบาลใหม่ต้องคอยดูว่า เขาจะสานต่อโครงการต่างๆได้หรือไม่ ถ้ารัฐบาลใหม่มีการสานต่อโครงการใหญ่ มีโอกาสเห็นดัชนีระดับ 1,600-1,700 จุด ตามที่หลายฝ่ายเคยคาดการณ์ไว้ แต่หากรัฐบาลชุดใหม่ไม่มีการสานต่อโครงการเดิม ดัชนีอาจยืนอยู่ที่เดิมประมาณ 1,200-1,300 จุด
"ข่าวดีไม่มี นักลงทุนจึงไม่มีความหวัง ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นออกตลอด ดัชนีจะไปต่อได้อย่างไร"
เขา เล่าถึง "หุ้นเด่น"ในปี 2557 ว่า น่าจะเป็น "กลุ่มสื่อสาร" เน้นจำพวกที่ติดตั้งระบบโครงข่าย เพราะว่าผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่มีแผนจะลงทุนโครงข่าย 3G อย่างต่อเนื่อง ถือเป็นหุ้นที่มีความปลอดภัยจากปัญหาทางการเมืองสูง
อีกกลุ่ม คือ "กลุ่มส่งออก" อาจได้รับผลดีจากการฟื้นตัวทางด้านเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกา และยุโรป สุดท้าย คือ "กลุ่มพลังงานทดแทน"ถือเป็นหุ้นที่ไม่ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบทางการเมือง
นักลงทุนที่ซื้อลงทุน "ระยะยาว" ถือเป็นโอกาส "ทอง" ในการซื้อของถูก เพราะว่าราคาปรับตัวลงมาเยอะมาก ส่วนนักลงทุน "ระยะกลาง" ให้เลือกซื้อให้ถูกจังหวะ เน้น เข้าช่วงต้นปี 2557 ที่ราคาหุ้นกำลังจะปรับ เพิ่มขึ้นมาหลังจากนั้นต้องดูสถานการณ์ทางการเมืองอีกครั้ง
โปรดยึดคติที่ว่า "เล่นหุ้นดี เล่นหุ้นปลอดภัย และถูกจังหวะ" เพราะว่านักลงทุนระยะกลาง ต้องซื้อขายบ่อยกว่าระยะยาว ส่วนนักลงทุนระยะสั้นกรุณาใช้กลยุทธ์ "ซื้อเย็นขายเช้า" อย่างเดียวเท่านั้น เพราะว่าปี 2557 ตลาดหุ้นอาจ "ผันผวน" สูง ด้าน "ใหญ่-โอภาส ถิรปัญญาเลิศ""นักลงทุนสังกัด stock2morrow ในฐานะเจ้าของ หนังสือ "พลิกพอร์ตหุ้นใหญ่ HI" เล่าว่า ผ่านมา 1 ปี พอร์ตลงทุนมีขนาดเท่าเดิม เรียกว่า "ไม่โต ไม่ลด ไม่กำไร และไม่ขาดทุน" เมื่อเทียบกับปี 2555
ราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงมาก ส่งผลให้ ไม่สามารถโกยผลตอบแทนได้ตามเป้าหมาย ด้วยความที่เน้นซื้อแต่หุ้นพื้นฐานดี เมื่อราคาลดลงผลตอบแทนในแง่ราคาหุ้นจึงลดตามไปด้วย
แม้จะวันนี้ราคาหุ้นจะซื้อขายต่ำกว่าต้นทุนที่ได้รับ แต่ไม่เคยคิดขาย เพียงแต่มีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เล็กน้อย ด้วยการหันมาถือเงินสดบางส่วน เพื่อรอโอกาสดีๆ หากราคาหุ้นพื้นฐานปรับลดลงจะได้มีเงินไปสอย
"ช่วงที่ราคาหุ้นลดลงเยอะๆ มีโอกาสสอยหุ้นเพิ่มเติมเล็กน้อย อาทิเช่น "กลุ่มอสังหาริมทรัพย์" เน้นตัวที่จะมีข่าวดีในปี 2557 แต่สำหรับหุ้นสไตล์เทคนิค ยังพอหากำไรได้บ้าง แต่ไม่ใช่สัดส่วนใหญ่ของพอร์ต"
"ชายวัย 40 ปี" มอง SET INDEX ปี 2557 ว่า อาจเกินระดับ 1,500 จุด แต่จะไม่ปรับตัวขึ้นแรงๆ เหมือนในช่วง 2 ปีก่อน โดยจะอยู่ในลักษณะ Sideway up หรือราคาหุ้นค่อยๆขึ้นไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะหุ้นพื้นฐานบางตัวที่มีข่าวดีรออยู่ในปี 2557
"อาจเห็นหุ้นหลายตัวกลับมาทำ "นิวไฮ" อีกครั้ง"
ถามถึง "หุ้นเด่น" อดีตเม่าตัวพ่อ บอกว่า น่าจะเป็น "กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม" เพราะนักลงทุนญี่ปุ่นยังมองเมืองไทยเป็นฐานการผลิต ฉะนั้นการที่เศรษฐกิจประเทศญี่ปุ่นฟื้นมา 2 ปี เชื่อว่าผู้ประกอบการจะมีการขยายฐานการผลิตเพิ่มขึ้น ซึ่งเมืองไทยถือเป็นตัวเลือกหนึ่งของนักลงทุนต่างชาติ
รองลงมา คือ "กลุ่มอสังหาริมทรัพย์"เขาย้ำว่า ดูดีแค่บางตัว มาตรการลดภาษีจะช่วยให้กลุ่มนี้น่าสนใจมากขึ้น สุดท้าย คือ "กลุ่มอาหาร" เพราะภาวะเศรษฐกิจประเทศสหรัฐอเมริกา และยุโรป กำลังฟื้นตัว ดังนั้นกลุ่มส่งออกอาหารที่มีฐานลูกค้าอยู่ในประเทศดังกล่าวจะได้รับผลดีแน่นอน
"กลุ่มพลังงานทางเลือก" ตอนนี้ราคาหุ้นหลายๆ ตัวทำท่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น เพราะไม่ได้รับผลกระทบทางการเมือง สุดท้าย คือ "กลุ่มสื่อสาร" เป็นหุ้นที่ดีอยู่แล้ว แต่ว่ามองว่า ราคาหุ้นจะไม่เติบโตเป็นเท่าตัวเหมือนช่วงที่ผ่านมา แต่จะได้ในแง่เงินปันผลมากกว่า
ในฐานะเจ้าของแชมป์โครงการ The Stock Master บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง คนแรกของประเทศไทย พูดทิ้งท้ายว่า ปี 2557 เศรษฐกิจเมืองไทยจะถูกขับเคลื่อนโดยการลงทุนของภาคเอกชนเป็นหลัก เพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ในขณะที่ภาครัฐบาลยังไม่มีความแน่นอนในหลายๆ เรื่อง นอกจากนั้นภาคส่งออกยังเป็นตัวผลักดันตัวเลขเศรษฐกิจของเมืองไทย
เซียนหุ้นคนสุดท้าย "นายแพทย์บุญ วนาสิน" ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มโรงพยาบาลธนบุรี ในฐานะนักลงทุนรายใหญ่ ยอมรับว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนในปี 2556 "ไม่ดีดั่งใจหวัง" แต่ในเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา พอมีกำไรได้บ้าง
ตอนนี้เริ่มทยอยซื้อหุ้นเข้าพอร์ตบ้างแล้ว หลังราคาหลายตัวเริ่มถูกลง ส่วนใหญ่เป็น "หุ้นพื้นฐานดีที่มีเงินปันผล" สัดส่วนการลงทุน 60-70 เปอร์เซ็นต์ "ผมมีความเชื่อว่า หากถือลงทุนหุ้นดีๆ 1 ปี จะได้เงินปันผลปลอบใจ 3 เปอร์เซ็นต์
หุ้นดีๆ ที่ว่า ยกตัวอย่าง เช่น "กลุ่มพลังงาน-ธนาคาร-รับเหมาก่อสร้าง" ส่วนอีก 30 เปอร์เซ็นต์ จะถือเป็นเงินสด แม้การเมืองรุนแรง แต่หุ้นไทยยังน่าสนใจเหมือนเดิม "ความสวย" อยู่ตรงที่ "อัตราส่วนราคาต่อกำไร" หรือค่า P/E ยังคงต่ำเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในประเทศอื่นๆ
ถามถึงทิศทางตลาดหุ้นไทยในปี 2557 เขาทำนายว่า ดัชนีอาจ "กระโดดแรง" โอกาสปรับตัวขึ้นไปแตะระดับ 1,600-1,700 จุด จากฐานในปี 2556 ที่ระดับ 1,300-1,400 จุด มีสูงมาก ปัจจัยอะไรที่จะมาสนุบสนุนให้หุ้นไทยไปต่อ? "นักลงทุนรายใหญ่" ยังคงคำตอบเดิมว่า เ ศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาที่มีแนวโน้มฟื้นตัว
การที่ประเทศสหรัฐอเมริกามีแผนจะทยอยลดการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบในปี 2557 แปลว่า อะไรๆกำลังจะดีขึ้นตามลำดับ ฉะนั้นหากการเมืองไทย "สงบ" รับรองหุ้นไทยจะกลับมา "สดใส" หากเป็นเช่นนั้น เบื้องต้น นักลงทุนควรแบ่งเงินมาลงหุ้น 30 เปอร์เซ็นต์ อีก 70 เปอร์เซ็นต์ เก็บไว้เป็นเงินสด ส่วนใครที่มีเงินเย็นมากๆ สามารถช้อนหุ้นพื้นฐาน เข้าพอร์ตได้มากถึง 40 เปอร์เซ็นต์
บรรยายใต้ภาพ
โอภาส ถิรปัญญาเลิศ
นพ.บุญ วนาสิน
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
พีรเจต สุวรรณนภาศรี
สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล--จบ--

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ