ข้อคิดก่อนจะขายหุ้นหรือปรับพอร์ต
โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ย. 25, 2013 10:59 am
ในสถานการณ์ปัจจุบัน ณ วันนี้ ความร้อนแรงทางการเมืองเป็นประเด็นสำคัญต่อความสนใจของนักลงทุน ซึ่งความจริงแล้วเป็นเช่นนี้ตลอดเวลา เคน ฟิชเชอร์ เคยว่าไว้ว่า ธรรมชาติของตลาดหุ้นคือ "ผันผวน" ไม่ว่าจะช่วงเวลาใด ๆ ความผันผวนของตลาดหุ้น นำมาถึงนิยามเปรียบเทียบว่า มิสเตอร์มาร์เก๊ต เป็นคนที่มีบุคลิกแปลกพิกล เมื่อต้นปีอารมณ์ดีเป็นพิเศษให้ราคาหุ้นสูง มาขายถูก ๆ เอาปลายปี ทำเอาหลายคนขาดทุนและเข็ดขยาดกับตลาดทุน
หากเราให้เวลากับตัวเราเองนานขึ้นกว่านี้และมองย้อนไปในอดีตที่นานกว่า ปีสองปีแห่งความรุ่งเรือง ผมอยากให้เราเห็นภาพของวอร์เรน บัฟเฟตต์ในช่วงแรกของการลงทุน แนวคิดของวอร์เรนในการมองตลาดหุ้นและปรัชญาที่เข้มข้นตั้งแต่วัยหนุ่ม กลางคน ชรา แม้มีเสี้ยวของเทคนิคที่แตกต่าง แต่ปรัชญาของเค้าแทบไม่เปลี่ยนแปลงเลย
ผมคงไม่มีคำแนะนำอะไรเพิ่มเติมในยามที่อุณหภูมิการเมืองเป็นเช่นนี้ แต่หากคุณคิดจะขายหุ้นในช่วงนี้ให้ลองอ่านจดหมายฉบับนี้ดูก่อน จะพบว่าเหตุผลในการขายของ บัฟเฟตต์คืออะไร? สอดคล้องกับการมีเหตุมีผลที่สมควรหรือไม่ ก่อนที่เราจะตัดสินใจขายหรือปรับพอร์ต เพียงเพราะคำว่า "กลัวการเมือง"
ปล. จดหมายฉบับนี้เป็นการเรียบเรียงโดยตัวผมเอง ดังนั้นก็มีเศษเสี้ยวความคิดของผมปน ๆ ไปบ้างในการเรียบเรียงเพื่อความสละสลวย แต่คงไว้ซึ่งสาระให้มากที่สุดนะครับ
จดหมายจากบัฟเฟตต์ ปี พ.ศ. 2501
/ พฤศจิกายน 2556 Nevercry.Boy เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้: เรียบเรียงใจความมิได้แปลตามตัวอักษร
เร็ว ๆ นี้เพื่อนผมที่บริหารสถาบันการเงินขนาดกลาง ๆ แห่งหนึ่งเขียนมาบรรยายกับคุณสมบัติของความเป็นนักลงทุนในอเมริกาไว้อย่างกระชับว่าเค้าเหล่านั้น “ไร้ความอดทนและเปลี่ยนใจง่าย” และนั่นนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงของตลาดหุ้นในปี พ.ศ. 2501
“ระเริง” คำ ๆ นี้กระมังที่จะอธิบายภาพของนักลงทุนยามนี้ได้เหมาะที่สุด การเปลี่ยนแปลงแนวคิดและจิตวิทยาการลงทุนทั้งมือสมัครเล่นตลอดจนมืออาชีพตลอดทั้งปี เค้าเหล่านั้นอ้างสารพัดเหตุผลเพื่อที่จะควักเงินเดินเข้าตลาดหุ้น ถนนทุกสายประดังประเดเข้าสู่ตลาด ไม่มีข้อสงสัยครับว่าปีนี้เป็นปีที่ดีกว่าทุกปี มีอะไรที่ง่ายกว่านี้ที่จะทำเงินได้เร็วและไม่ต้องใช้ความพยายามมาก แต่จะเป็นอย่างนี้ไปอีกนานหรือไม่? คงเป็นไปไม่ได้ที่ใครสักคนจะตอบ ผมพูดได้อย่างเดียวว่าหากเป็นอย่างนี้ต่อไปมีโอกาสสูงที่จะโดนเล่นงานกลับมา
ผมเองเป็นคนที่ไม่สนใจที่จะพยากรณ์หรือคาดเดาตลาดใด ๆ ทั้งสิ้น ผมใช้ความพยายามในการเสาะแสวงหาหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นของมัน ถึงกระนั้นก็ตามผมสังหรณ์ใจเหลือเกินว่าความเชื่อผิด ๆ ที่ว่าการทำเงินจากตลาดหุ้นเป็นของง่ายนั้นถูกแพร่กระจายไปอย่างล้นหลามและสักวันหนึ่งจะนำความหายนะมาสู่ราคาของหลักทรัพย์ แม้จะไม่กระเทือนถึงมูลค่าพื้นฐาน แต่กระนั้นก็ดีทุกหลักทรัพย์แม้แต่หลักทรัพย์ที่มีราคาต่ำเมื่อเทียบกับมูลค่าก็จะได้รับความเสียหายเช่นกันไม่มีข้อยกเว้น
ปีก่อนผมเคยเขียนไว้ว่า ผลการดำเนินงานของเรามักจะดีในยามที่ตลาดเข้าสู่ภาวะถดถอยหรือตลาดหมี และดีมากกว่าในภาวะตลาดกระทิงด้วยซ้ำ ต้องเข้าใจนะครับผมไม่ได้มองว่ามูลค่าของพอร์ตลงทุนของเราลดลง เรามองว่ามูลค่าพอร์ตการลงทุนของเราเทียบกับตลาดแล้วเป็นอย่างไรหากเราลงน้อยกว่าตลาดนั้นคือเราดีกว่าคนส่วนใหญ่ และเช่นเดียวกันในภาวะกระทิงพอร์ตของเราก็สามารถขึ้นได้สูงกว่าค่าเฉลี่ย และนั่นคือมาตรฐานการวัดผลการดำเนินงานของผม
ปีที่แล้วดาวน์โจนส์ขึ้นจาก 435 มาเป็น 583 รวมปันผลอีกประมาณ 20 จุด ก็นับได้ว่าขึ้นมาประมาณ 38.5% พอร์ตของเราทำได้ดีกว่านั้นเล็กน้อย หุ้นของเราขึ้นมาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 36.7-46.2% ส่วนหนึ่งมาจากสัดส่วนการลงทุนในหุ้นส่วนใหญ่ของเราได้รับผลประโยชน์จากการที่ตลาดพุ่งขึ้นไม่มากนัก อย่างไรก็ตามผมยังคาดการณ์ต่อไปว่าผลการดำเนินงานของเราจะดีกว่าตลาดทั้งในยามที่ตลาดเป็นขาลง ขาขึ้นหรือแม้แต่ตลาดที่อยู่คงที่
คราวนี้คุณคงเข้าใจแล้วว่าผมมีวิธีคิดอย่างไร ผมได้แจ้งในพาร์ตเนอร์ชิพเมื่อปีที่แล้วว่า 10-20% ของสัดส่วนของสินทรัพย์ของเราในหุ้นตัวหนึ่ง ซึ่งผมยินดีที่จะซื้อมันและทะยอยซื้อมากขึ้นและมากขึ้นในช่วงที่ภาวะตลาดเป็นขาลงเพื่อที่เราจะได้หุ้นมากขึ้น และเมื่อตลาดสวิงกลับเป็นขาขึ้นเราจะได้ขึ้นตามไปหรือมากกว่า ผมกำลังกล่าวถึง บริษัท Common Wealth Trust Co. of Union City, New Jersey, ผมคำนวณด้วยวิธีการแบบค่อนข้างอนุรักษ์นิยมได้ Intrinsic Value ของหุ้นตัวนี้ที่ 125 เหรียญ ต่อหุ้น ไม่มีปันผล และมีกำไรประมาณ 10 เหรียญ ต่อหุ้น และเพราะว่าเค้าไม่จ่ายปันผลหุ้นตัวนี้เลยถูกกดราคาเหลือเพียง 50 เหรียญต่อหุ้น!
25.5% ของ Common Wealth นั้นมีเจ้าของเป็นธนาคารที่ใหญ่กว่าซึ่งเล็งจะควบรวมอยู่ (Common Wealth มีสินทรัพย์กว่า 50 ล้านเหรียญ คิดเป็นครึ่งหนึ่งของธนาคาร First National หรือ U.S. National ในโอมาฮา) อย่างไรก็ตาม
แม้ว่าการควบรวมจะยังเกิดไม่ได้จะมีปัญหาอันเนื่องมาจากข้อขัดแย้งระหว่างกันอยู่บ้าง แต่ผมเชื่อว่าการควบรวมต้องดำเนินไปโดยมีข้อมูลสนับสนุนดังนี้
1. การบริหารงานแบบระมัดระวัง
2. มูลค่าขององค์กรสูงขึ้นดีอย่างสม่ำเสมอ
3. ในที่สุดมูลค่าพื้นฐานจะถูกปลดปล่อย ผมไม่แน่ใจนะครับว่าจะปีนึงหรือสิบปี
โดยเฉพาะในข้อสุดท้ายในที่สุดหากสิ่งที่ผมคาดการณ์เป็นจริงมูลค่าของกิจการจะสูงถึง 250 เหรียญต่อหุ้นเลยทีเดียว
ในหลายปีที่ผ่านมาผมทยอยสะสมหุ้นตัวนี้จน 12% ของธนาคารเป็นของเราที่ราคาเฉลี่ย 51 เหรียญต่อหุ้น เห็นได้ชัดครับว่าการที่ราคาไม่ขยับไปไหนนั้นเป็นผลดีกับเราทำให้เราได้หุ้นมากขึ้น ผมไม่ได้หมายถึงราคาสูงขึ้นแต่ผมหมายถึงสัดส่วนของมันสูงขึ้น และการที่เราเป็นผู้ถือหุ้นสูงสุดอันดับสองนั้นทำให้เรามีสิทธิโหวตและออกความเห็นต่อประเด็นการควบรวมกิจการ
Commonwealth มีผู้ถือหุ้นอยู่ประมาณ 300 คนและก็มีการซื้อขายต่ำประมาณแค่เดือนละ 1-2 ครั้งเท่านั้น คุณคงเข้าใจแล้วนะว่าตลาดหุ้นไม่มีผลกับหุ้นตัวนี้มากนัก แต่หุ้นสภาพคล่องต่ำก็ไม่ง่ายหากจะซื้อหรือขายจะทำให้ราคามันสวิงมากแม้เราจะซื้อน้อยนิด แต่ช่วงท้ายปีนี้เรามีจังหวะดีที่เก็บหุ้นจนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ด้วยต้นทุนที่น่าพึงพอใจ
แต่แล้วผมได้ตัดสินใจขายหุ้นของเราทั้งหมดจากตอนที่ราคาหุ้นตกลงมาจาก 100 เหรียญ ลงมาที่ 80 เหรียญต่อหุ้น ทำไมผมจึงทำเช่นนั้น ผมไม่ซีเรียสครับที่จะถือหุ้นไว้เพราะต้นทุนผมอยู่ที่ 50 เหรียญแล้วก็ทยอยซื้อสะสมต่อไปแม้ว่าผลงานผมจะไม่ค่อยดีเท่าไรในปีที่แล้ว เพราะปีที่แล้วเป็นปีที่ Commonwealth กำไรเพิ่มขึ้นอย่างมากโดยบังเอิญ ดังนั้นผลงานของเราในแต่ละปีถูกจำกัดโดยประมาณการณ์ผลประกอบการในระยะยาว แต่ไม่ใช่แค่นั้นอย่างไรก็ตามผมเชื่อว่าด้วยวิธีการซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าคือวิธีการที่ชัวร์ที่สุดที่จะช่วยป้องกันเราประคับประคองหุ้นของเราเพื่อให้ผลประกอบการระยะยาวของหุ้นเราสัมฤทธิ์ผล
คนที่ซื้อหุ้นของผมไปที่ 80 เหรียญผมคาดว่าเค้าจะได้รับผลประกอบการที่ดีพอใช้ได้ไปหลายปีเพราะที่ผมคำนวณ intrinsic value ไว้ที่ 135 เหรียญ แต่ ณ จุดนี้มีความเปลี่ยนแปลง intrinsic value 135 กับราคา 80 ไม่เท่ากับ intrinsic value 125 กับต้นทุน 50 สำหรับสถานการณ์แบบนี้ผมคิดว่าหากเราปรับพอร์ตการลงทุนจะได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่า และจะว่าไปหุ้น Commonwealth ก็ไม่ได้มีมูลค่าต่ำกว่าราคาเมื่อเทียบกับหุ้นตัวอื่น ๆ ของเรา
หากเรานำ 25% ของสินทรัพย์ที่อยู่ในหุ้น Common Wealth ไปลงทุนใหม่ เราน่าจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
การเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่นั้นระยะเวลาในการถือครองสมควรเป็นเวลาที่ให้บริษัทปรับตัวจาก หุ้นที่มูลค่าต่ำกว่าควร เป็นมูลค่าที่แท้จริงของมัน ในการถือครองแต่ละครั้งเราจะเห็นได้ชัดแจ้งว่าผลตอบแทนหุ้นในระยะเวลาที่เราถือครองจะดีกว่าดัชนีดาวน์โจนส์ ณ ช่วงเวลาเดียวกัน
สถานการณ์ปัจจุบัน
ตลาดขึ้นมาสูงแล้วครับและมันยากเหลือเกินสำหรับผมที่ผมจะหาสินทรัพย์ที่มีราคาถูกจนกระทั่งผมสนใจ และผมพร้อมที่จะถือครองสินทรัพย์เหล่านั้นเพิ่มขึ้นแต่มันยากเหลือเกินที่จะพิจารณาได้อย่างเหมาะสมในช่วงเวลา ณ ขณะนี้
เพื่อที่จะขยายโอกาสในการลงทุน ผมพยายามที่จะออกแรงในการซื้อหุ้นที่มีมูลค่าต่ำกว่าราคาไว้ในครอบครองอย่างไม่ลดละ ผมดำรงไว้ซึ่งนโยบายนี้เพื่อที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ของผมที่จะสร้างผลตอบแทนแบบโดดเด่นในยามที่ตลาดตกต่ำหรือในสภาวะปกติ และผมยินดีที่จะได้รับผลตอบแทนแบบปกติในยามที่ตลาดร้อนแรง
วอร์เรน อี. บัฟเฟตต์
11 กุมภาพันธ์ 2502
หากเราให้เวลากับตัวเราเองนานขึ้นกว่านี้และมองย้อนไปในอดีตที่นานกว่า ปีสองปีแห่งความรุ่งเรือง ผมอยากให้เราเห็นภาพของวอร์เรน บัฟเฟตต์ในช่วงแรกของการลงทุน แนวคิดของวอร์เรนในการมองตลาดหุ้นและปรัชญาที่เข้มข้นตั้งแต่วัยหนุ่ม กลางคน ชรา แม้มีเสี้ยวของเทคนิคที่แตกต่าง แต่ปรัชญาของเค้าแทบไม่เปลี่ยนแปลงเลย
ผมคงไม่มีคำแนะนำอะไรเพิ่มเติมในยามที่อุณหภูมิการเมืองเป็นเช่นนี้ แต่หากคุณคิดจะขายหุ้นในช่วงนี้ให้ลองอ่านจดหมายฉบับนี้ดูก่อน จะพบว่าเหตุผลในการขายของ บัฟเฟตต์คืออะไร? สอดคล้องกับการมีเหตุมีผลที่สมควรหรือไม่ ก่อนที่เราจะตัดสินใจขายหรือปรับพอร์ต เพียงเพราะคำว่า "กลัวการเมือง"
ปล. จดหมายฉบับนี้เป็นการเรียบเรียงโดยตัวผมเอง ดังนั้นก็มีเศษเสี้ยวความคิดของผมปน ๆ ไปบ้างในการเรียบเรียงเพื่อความสละสลวย แต่คงไว้ซึ่งสาระให้มากที่สุดนะครับ
จดหมายจากบัฟเฟตต์ ปี พ.ศ. 2501
/ พฤศจิกายน 2556 Nevercry.Boy เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้: เรียบเรียงใจความมิได้แปลตามตัวอักษร
เร็ว ๆ นี้เพื่อนผมที่บริหารสถาบันการเงินขนาดกลาง ๆ แห่งหนึ่งเขียนมาบรรยายกับคุณสมบัติของความเป็นนักลงทุนในอเมริกาไว้อย่างกระชับว่าเค้าเหล่านั้น “ไร้ความอดทนและเปลี่ยนใจง่าย” และนั่นนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงของตลาดหุ้นในปี พ.ศ. 2501
“ระเริง” คำ ๆ นี้กระมังที่จะอธิบายภาพของนักลงทุนยามนี้ได้เหมาะที่สุด การเปลี่ยนแปลงแนวคิดและจิตวิทยาการลงทุนทั้งมือสมัครเล่นตลอดจนมืออาชีพตลอดทั้งปี เค้าเหล่านั้นอ้างสารพัดเหตุผลเพื่อที่จะควักเงินเดินเข้าตลาดหุ้น ถนนทุกสายประดังประเดเข้าสู่ตลาด ไม่มีข้อสงสัยครับว่าปีนี้เป็นปีที่ดีกว่าทุกปี มีอะไรที่ง่ายกว่านี้ที่จะทำเงินได้เร็วและไม่ต้องใช้ความพยายามมาก แต่จะเป็นอย่างนี้ไปอีกนานหรือไม่? คงเป็นไปไม่ได้ที่ใครสักคนจะตอบ ผมพูดได้อย่างเดียวว่าหากเป็นอย่างนี้ต่อไปมีโอกาสสูงที่จะโดนเล่นงานกลับมา
ผมเองเป็นคนที่ไม่สนใจที่จะพยากรณ์หรือคาดเดาตลาดใด ๆ ทั้งสิ้น ผมใช้ความพยายามในการเสาะแสวงหาหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นของมัน ถึงกระนั้นก็ตามผมสังหรณ์ใจเหลือเกินว่าความเชื่อผิด ๆ ที่ว่าการทำเงินจากตลาดหุ้นเป็นของง่ายนั้นถูกแพร่กระจายไปอย่างล้นหลามและสักวันหนึ่งจะนำความหายนะมาสู่ราคาของหลักทรัพย์ แม้จะไม่กระเทือนถึงมูลค่าพื้นฐาน แต่กระนั้นก็ดีทุกหลักทรัพย์แม้แต่หลักทรัพย์ที่มีราคาต่ำเมื่อเทียบกับมูลค่าก็จะได้รับความเสียหายเช่นกันไม่มีข้อยกเว้น
ปีก่อนผมเคยเขียนไว้ว่า ผลการดำเนินงานของเรามักจะดีในยามที่ตลาดเข้าสู่ภาวะถดถอยหรือตลาดหมี และดีมากกว่าในภาวะตลาดกระทิงด้วยซ้ำ ต้องเข้าใจนะครับผมไม่ได้มองว่ามูลค่าของพอร์ตลงทุนของเราลดลง เรามองว่ามูลค่าพอร์ตการลงทุนของเราเทียบกับตลาดแล้วเป็นอย่างไรหากเราลงน้อยกว่าตลาดนั้นคือเราดีกว่าคนส่วนใหญ่ และเช่นเดียวกันในภาวะกระทิงพอร์ตของเราก็สามารถขึ้นได้สูงกว่าค่าเฉลี่ย และนั่นคือมาตรฐานการวัดผลการดำเนินงานของผม
ปีที่แล้วดาวน์โจนส์ขึ้นจาก 435 มาเป็น 583 รวมปันผลอีกประมาณ 20 จุด ก็นับได้ว่าขึ้นมาประมาณ 38.5% พอร์ตของเราทำได้ดีกว่านั้นเล็กน้อย หุ้นของเราขึ้นมาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 36.7-46.2% ส่วนหนึ่งมาจากสัดส่วนการลงทุนในหุ้นส่วนใหญ่ของเราได้รับผลประโยชน์จากการที่ตลาดพุ่งขึ้นไม่มากนัก อย่างไรก็ตามผมยังคาดการณ์ต่อไปว่าผลการดำเนินงานของเราจะดีกว่าตลาดทั้งในยามที่ตลาดเป็นขาลง ขาขึ้นหรือแม้แต่ตลาดที่อยู่คงที่
คราวนี้คุณคงเข้าใจแล้วว่าผมมีวิธีคิดอย่างไร ผมได้แจ้งในพาร์ตเนอร์ชิพเมื่อปีที่แล้วว่า 10-20% ของสัดส่วนของสินทรัพย์ของเราในหุ้นตัวหนึ่ง ซึ่งผมยินดีที่จะซื้อมันและทะยอยซื้อมากขึ้นและมากขึ้นในช่วงที่ภาวะตลาดเป็นขาลงเพื่อที่เราจะได้หุ้นมากขึ้น และเมื่อตลาดสวิงกลับเป็นขาขึ้นเราจะได้ขึ้นตามไปหรือมากกว่า ผมกำลังกล่าวถึง บริษัท Common Wealth Trust Co. of Union City, New Jersey, ผมคำนวณด้วยวิธีการแบบค่อนข้างอนุรักษ์นิยมได้ Intrinsic Value ของหุ้นตัวนี้ที่ 125 เหรียญ ต่อหุ้น ไม่มีปันผล และมีกำไรประมาณ 10 เหรียญ ต่อหุ้น และเพราะว่าเค้าไม่จ่ายปันผลหุ้นตัวนี้เลยถูกกดราคาเหลือเพียง 50 เหรียญต่อหุ้น!
25.5% ของ Common Wealth นั้นมีเจ้าของเป็นธนาคารที่ใหญ่กว่าซึ่งเล็งจะควบรวมอยู่ (Common Wealth มีสินทรัพย์กว่า 50 ล้านเหรียญ คิดเป็นครึ่งหนึ่งของธนาคาร First National หรือ U.S. National ในโอมาฮา) อย่างไรก็ตาม
แม้ว่าการควบรวมจะยังเกิดไม่ได้จะมีปัญหาอันเนื่องมาจากข้อขัดแย้งระหว่างกันอยู่บ้าง แต่ผมเชื่อว่าการควบรวมต้องดำเนินไปโดยมีข้อมูลสนับสนุนดังนี้
1. การบริหารงานแบบระมัดระวัง
2. มูลค่าขององค์กรสูงขึ้นดีอย่างสม่ำเสมอ
3. ในที่สุดมูลค่าพื้นฐานจะถูกปลดปล่อย ผมไม่แน่ใจนะครับว่าจะปีนึงหรือสิบปี
โดยเฉพาะในข้อสุดท้ายในที่สุดหากสิ่งที่ผมคาดการณ์เป็นจริงมูลค่าของกิจการจะสูงถึง 250 เหรียญต่อหุ้นเลยทีเดียว
ในหลายปีที่ผ่านมาผมทยอยสะสมหุ้นตัวนี้จน 12% ของธนาคารเป็นของเราที่ราคาเฉลี่ย 51 เหรียญต่อหุ้น เห็นได้ชัดครับว่าการที่ราคาไม่ขยับไปไหนนั้นเป็นผลดีกับเราทำให้เราได้หุ้นมากขึ้น ผมไม่ได้หมายถึงราคาสูงขึ้นแต่ผมหมายถึงสัดส่วนของมันสูงขึ้น และการที่เราเป็นผู้ถือหุ้นสูงสุดอันดับสองนั้นทำให้เรามีสิทธิโหวตและออกความเห็นต่อประเด็นการควบรวมกิจการ
Commonwealth มีผู้ถือหุ้นอยู่ประมาณ 300 คนและก็มีการซื้อขายต่ำประมาณแค่เดือนละ 1-2 ครั้งเท่านั้น คุณคงเข้าใจแล้วนะว่าตลาดหุ้นไม่มีผลกับหุ้นตัวนี้มากนัก แต่หุ้นสภาพคล่องต่ำก็ไม่ง่ายหากจะซื้อหรือขายจะทำให้ราคามันสวิงมากแม้เราจะซื้อน้อยนิด แต่ช่วงท้ายปีนี้เรามีจังหวะดีที่เก็บหุ้นจนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ด้วยต้นทุนที่น่าพึงพอใจ
แต่แล้วผมได้ตัดสินใจขายหุ้นของเราทั้งหมดจากตอนที่ราคาหุ้นตกลงมาจาก 100 เหรียญ ลงมาที่ 80 เหรียญต่อหุ้น ทำไมผมจึงทำเช่นนั้น ผมไม่ซีเรียสครับที่จะถือหุ้นไว้เพราะต้นทุนผมอยู่ที่ 50 เหรียญแล้วก็ทยอยซื้อสะสมต่อไปแม้ว่าผลงานผมจะไม่ค่อยดีเท่าไรในปีที่แล้ว เพราะปีที่แล้วเป็นปีที่ Commonwealth กำไรเพิ่มขึ้นอย่างมากโดยบังเอิญ ดังนั้นผลงานของเราในแต่ละปีถูกจำกัดโดยประมาณการณ์ผลประกอบการในระยะยาว แต่ไม่ใช่แค่นั้นอย่างไรก็ตามผมเชื่อว่าด้วยวิธีการซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าคือวิธีการที่ชัวร์ที่สุดที่จะช่วยป้องกันเราประคับประคองหุ้นของเราเพื่อให้ผลประกอบการระยะยาวของหุ้นเราสัมฤทธิ์ผล
คนที่ซื้อหุ้นของผมไปที่ 80 เหรียญผมคาดว่าเค้าจะได้รับผลประกอบการที่ดีพอใช้ได้ไปหลายปีเพราะที่ผมคำนวณ intrinsic value ไว้ที่ 135 เหรียญ แต่ ณ จุดนี้มีความเปลี่ยนแปลง intrinsic value 135 กับราคา 80 ไม่เท่ากับ intrinsic value 125 กับต้นทุน 50 สำหรับสถานการณ์แบบนี้ผมคิดว่าหากเราปรับพอร์ตการลงทุนจะได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่า และจะว่าไปหุ้น Commonwealth ก็ไม่ได้มีมูลค่าต่ำกว่าราคาเมื่อเทียบกับหุ้นตัวอื่น ๆ ของเรา
หากเรานำ 25% ของสินทรัพย์ที่อยู่ในหุ้น Common Wealth ไปลงทุนใหม่ เราน่าจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
การเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่นั้นระยะเวลาในการถือครองสมควรเป็นเวลาที่ให้บริษัทปรับตัวจาก หุ้นที่มูลค่าต่ำกว่าควร เป็นมูลค่าที่แท้จริงของมัน ในการถือครองแต่ละครั้งเราจะเห็นได้ชัดแจ้งว่าผลตอบแทนหุ้นในระยะเวลาที่เราถือครองจะดีกว่าดัชนีดาวน์โจนส์ ณ ช่วงเวลาเดียวกัน
สถานการณ์ปัจจุบัน
ตลาดขึ้นมาสูงแล้วครับและมันยากเหลือเกินสำหรับผมที่ผมจะหาสินทรัพย์ที่มีราคาถูกจนกระทั่งผมสนใจ และผมพร้อมที่จะถือครองสินทรัพย์เหล่านั้นเพิ่มขึ้นแต่มันยากเหลือเกินที่จะพิจารณาได้อย่างเหมาะสมในช่วงเวลา ณ ขณะนี้
เพื่อที่จะขยายโอกาสในการลงทุน ผมพยายามที่จะออกแรงในการซื้อหุ้นที่มีมูลค่าต่ำกว่าราคาไว้ในครอบครองอย่างไม่ลดละ ผมดำรงไว้ซึ่งนโยบายนี้เพื่อที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ของผมที่จะสร้างผลตอบแทนแบบโดดเด่นในยามที่ตลาดตกต่ำหรือในสภาวะปกติ และผมยินดีที่จะได้รับผลตอบแทนแบบปกติในยามที่ตลาดร้อนแรง
วอร์เรน อี. บัฟเฟตต์
11 กุมภาพันธ์ 2502