picatos เขียน:Smartphone
Tablet
Wearable Technology
Social Network
ผลต่ออุตสาหกรรม
1. Content : book, print, tv, movie
2. Ads : ที่มากับ content จากข้อ 1 เปลี่ยน ทำให้ ad spending วิ่งไปที่ Hub อย่าง Facebook, youTube, Netflix , Hulu
3. Digital ad จากข้อ 2 ทำให้ธุรกิจ platform อย่าง cable, tv network กระทบ
4. คนคุม digital ads ลงทุนใน infra structure อย่าง internet.org, Google Fibre, Loon เพื่อให้คน access เน็ตได้มากขึ้น จะได้ขาย Ads ได้มากขึ้น จะไปกดดันธุรกิจ Infra structure, Telco ให้ราคาต่ำลง
เอาคร่าวๆ แค่นี้ละกัน
ตอบคร่าวไปหน่อย... ขออนุญาตขยายความนะครับ เพราะ เทรนนี้เป็นเทรนใหญ่ที่มีผลกระทบต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคมาก
จริงๆ คำถามคือว่า อะไรคนแน่น? แต่คำถามที่สำคัญตามมาคือ อะไรได้ประโยชน์จากคนแน่น... ซึ่งอาการคนแน่น พฤติกรรมของคนที่เปลี่ยนไปมากๆ ในช่วงที่ผ่านมาที่ผมสังเกตเห็น คือ คนก้มหน้าก้มตากดมือถือและ Tablet มากขึ้น บนรถไฟฟ้า ร้านอาหาร หรือที่ไหนก็แล้วแต่ คนก้มหน้าลงดูมือถือ Tablet แล้วอะไรล่ะคือผลที่ตามมา... ชีวิตจะเปลี่ยนไปอย่างไรในอนาคต ธุรกิจอะไรที่จะได้ประโยชน์ เสียประโยชน์
เท่าที่ผมคิด ในเบื้องต้น คือ คนดูทีวี ฟังวิทยุ อ่านหนังสือ ซึ่งหมายถึง การบริโภคสื่อแบบดั้งเดิมน้อยลง... โฆษณาที่ขายบนสื่อเหล่านั้นน่าจะกระทบแน่ๆ
ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Platform พวกทีวี วิทยุ หนังสือ ก็เลยมีปัญหา เห็นได้ชัดก่อนเลยก็พวกร้านหนังสือ ซึ่งในอนาคตก็คงจะลามไปที่วิทยุ เมื่อบริการแบบ iTunes, Spotify, Pandora เข้ามากิน Platform เหล่านี้ และในอนาคตทีวีก็คงจะไม่รอดจากการเข้ามาของ youTube, Netflix, Hulu คนทำธุรกิจ Platform หรือกำลังจะเข้ามาทำธุรกิจ Platform นี่น่ากลัวจะโดนอิทธิพลจากแนวโน้มเหล่านี้เล่นงาน เพราะ บน Platform ใหม่ๆ เหล่านี้ business model ของเค้ามีลักษณะสำคัญดังนี้
1. อยากได้อะไร ได้ service เป็นแบบ On-Demand หมด ไม่เหมือนธุรกิจยุคเก่าที่เป็น Broadcasting ที่ต้องดู Live
2. ค่าบริการฟรี หรือไม่ก็ถูกมาก เพราะ เอา Ads มา Subsidise
3. โฆษณาเป็น Target Audience (โฆษณาจะเฉพาะเจาะจง เหมาะสมกับพฤติกรรมของลูกค้าแต่ละคน) ซึ่งลบจุดบอดของ Traditional Ads หมด ที่เวลา Broadcast อะไรออกไปต้องหว่านแห่ ไปตามกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ตัวเองต้องการ ซึ่งอาจจะถูกบ้างไม่ถูกบ้าง ในขณะที่ Digital Ads สมัยใหม่จะนำเสนอโฆษณาที่ตรงประเด็น ROI สูง Conversion Rate สูง Track ผลตอบรับได้ทันที ทำให้ Ads Spending บน Digital Ads เหล่านี้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่สูงกว่า ROI สูงกว่า Ads แบบเก่า
4. เมื่อ Ads มี ROI สูงกว่า จึงทำให้ Ads บน Service เหล่านี้ทำเงินได้มากกว่า ผลที่ตามมาเลย Subsidise ค่าบริการรายเดือนได้มากกว่า ในมีจำนวนโฆษณาต่อ Air Time น้อยกว่า แถม โฆษณาก็เป็นขยะน้อยกว่า
ธุรกิจที่เกี่ยวกับ Platform ที่เจ้าตลาดเดิมจะมีปัญหา คนที่เข้ามากินรวบตลาดจะเป็นเจ้าใหญ่ในระดับโลก เป็นระดับ Global Play ไม่ใช่ระดับ National อีกต่อไป เพราะ การเข้าถึง Service เหล่านี้เข้าถึงได้ผ่าน Internet ไม่จำเป็นต้องใช้ Local Network อย่างสัญญาณวิทยุ โทรทัศน์ หรือดาวเทียม ในการ Broadcast
ผลที่ตามมา ธุรกิจเหล่านี้ จึงมีความพยายามที่จะให้คนที่ยังไม่สามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้ สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ เพื่อที่ว่าคนเหล่านี้จะได้มาใช้บริการของเค้า และจะได้ขาย Ads ได้ สิ่งที่เราเห็นคือ การตั้ง Internet.Org ของ Facebook ที่พยายามที่จะให้อินเตอร์เน็ตเข้าถึงประชากรอีก 5 พันล้านคนที่อยู่ในที่ห่างไกลความเจริญ หรือ Project Loon ของ Google ที่ปล่อยบอลลูนในการส่งสัญญาณอินเตอร์เน็ตในที่ห่างไกลความเจริญ
ส่วนในที่เจริญแล้ว Google ก็ไปทำ Google Fiber ให้บริการเน็ต 1 Gbps ซึ่งเป็น Speed ที่มากกว่าผู้ให้บริการเจ้าอื่นๆ ถึง 50 เท่า ในราคาเท่าๆ กัน หรือแนวความคิดที่จะทำ Google Wifi ที่จะให้บริการ Wifi ที่ไม่จำกัดความเร็ว ไม่จำกัดจำนวนข้อมูล เพื่อแก้ไขปัญหาผู้ให้บริการมือถือ หรือ Wifi จำนวนความเร็วและ data ทั้งหมดนี้ก็เพื่อที่จะได้ขายโฆษณาได้มากขึ้น
ซึ่งในอนาคตก็มีความเป็นไปได้ที่บริษัทเหล่านี้จะ Subsidise เงินให้กับผู้ให้บริการมือถือ เพื่อให้คนใช้อินเตอร์เน็ตมากขึ้น เพื่อที่จะได้ขายโฆษณาได้มากขึ้น
แม้ว่าในส่วนของธุรกิจ Platform จะดูไม่ค่อยดีนัก เพราะ จะเจอผู้เล่นระดับ Global รุกเข้ามา แต่ในส่วนของธุรกิจ Content น่าจะยังโอเคอยู่ แม้ว่าเดี๋ยวนี้จะมีการแข่งขันสูงขึ้นจาก User Generated Content อย่างก็ตาม Content ดีๆ หลายๆ อย่างก็มี DCA ในตัวของมัน สุดท้ายแล้วมนุษย์ทุกคนมีเวลาอยู่อย่างจำกัด จะเสียเวลาบริโภร Content ก็ต้องเลือก Content ดีๆ ที่มีคุณภาพอยู่ดี แถมด้วย Technology ที่เกิดขึ้นในอนาคต ขีดจำกัดทางภาษาจะน้อยลง การเผยแพร่จะทำได้ง่ายขึ้น ไม่จำเป็นต้องซื้อช่อง ซื้อเวลาอีกต่อไป ฐานลูกค้าจะใหญ่ขึ้นในระดับ Global ต้นทุนของการเผยแพร่ Content จะต่ำลง ดังนั้น Content ดีๆ จะมีคุณค่ามากขึ้น และถ้ามีคนดู Content ของคุณ คุณก็จะขายโฆษณาที่เป็น Target Audience เป็นโฆษณาที่ Effective, ROI สูง Conversion Rate สูงเสมอ ผลที่ตามมาคนทำ Content ดีๆ จะมีโอกาสสูงขึ้นในโลกอนาคต
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะ Wearable Technology อย่าง Glass จะทำให้การเดินทางท่องเที่ยว ซึ่งที่ผ่านมาต้นทุนในการท่องเที่ยวต่ำลงไปแล้วจาก Low Cost Airline, ข้อมูลการท่องเที่ยวผ่านอินเตอร์ Apps ต่างๆ, ช่องทางการจองโรงแรมผ่านเว็บไซต์ที่เป็นฮับ เมื่อมี Wearable Technology จะทำเสนอข้อมูลที่เหมาะสมกับสถานการณ์อยู่เสมอ
จินตานาการว่าคุณอยู่ที่อิตาลี เดินไปเที่ยวไหน ก็มีคำอธิบายสถานที่เที่ยวต่างๆ เมื่อใกล้เวลาอาหาร ก็มีร้านอาหารแนะนำขึ้นมาทันทีบนแว่นตาของคุณ เมื่อเดินเข้าร้านอาหาร คุณขอเมนูกับบริกรเป็นภาษาไทย แต่บริกรก็เข้าใจสิ่งที่คุณพูดด้วย Wearable Technology ที่เขาใส่ และเขาได้นำเมนูมาให้คุณ เปิดเมนูซึ่งเป็นภาษาอิตาลีออก แว่นของคุณก็ทำการแปลภาษาให้คุณโดยอัตโนมัติ
เหล่านี้จะทำให้ต้นทุนในการท่องเที่ยวต่ำลง การเดินทางมีมากขึ้น... ธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวที่มากขึ้น ไม่ใช่โรงแรม แต่เป็น Website หรือ Apps ที่ช่วงในการจองโรงแรม อย่าง Booking.com หรือ Agoda ในขณะที่ธุรกิจสายการบินก็ไม่ได้ประโยชน์ แต่คนได้ประโยชน์กลับเป็นสนามบิน
ในทางการแพทย์... ในอดีตเมื่อเราป่วย เราจะมีปัญหาที่กลืนไม่เข้า คายไม่ออก ว่าเราจะไปโรงพยาบาลดีหรือไม่... ส่วนใหญ่ถ้าป่วยไม่มาก ก็ไม่มีใครอยากจะไปโรงพยาบาลสักเท่าไหร่หรอก เพราะ ค่าใช้จ่ายที่โรงพยาบาลทั้งโรงนี่แพงเหลือเกิน หรือถ้าจะไปที่ไม่แพงคุณก็จะมีต้นทุนในเรื่องเวลา ความมั่นใจ ความปลอดภัย อื่นๆ ตามมา... บางครั้งต้องเจ็บปวดมากๆ ก่อนที่จะตัดสินใจไปโรงพยาบาล ซึ่งบางครั้งก็ไม่ทันกาล โรคกลายเป็นรุนแรงไปเสียแล้ว
ด้วยโครงสร้างตลาดที่เอื้อประโยชน์ให้กับโรงพยาบาลมากกว่าผู้ป่วย ผู้ป่วยจึงไม่มีสิทธิเลือกอะไรได้มาก... แต่ในอนาคตเทคโนโลยีที่ออกมาจะมีเครื่องมือในการตรวจสุขภาพคร่าวๆ นำผลที่ได้ รวมไปถึง เราสามารถใส่อาการต่างๆ ที่เราเป็นลงไปใน Apps ระบบดังกล่าวก็จะทำการวินิจฉัยโรคในเบื้องต้น แนะนำแนวทางในการดูแล ยา รวมไปถึงในกรณีที่ต้องการคำปรึกษาจากแพทย์ ก็มี Service ที่ทำ Video Conference ได้ทันที และในกรณีที่เกินขอบเขตที่จะทำการวิเคราะห์ วินิจฉัยผ่านทางเน็ต Apps ก็จะแนะนำให้ไปโรงพยาบาลต่อไป... ผลที่ตามมา เราจะไปโรงพยาบาลเท่าที่จำเป็น หมอจะมีเวลามากขึ้น ต้นทุนในการรักษาจะต่ำลง
ในทางการค้า... เมื่อเราเดิน Shopping จะมีการนำเสนอโปรโมชั่นสิ่งที่เราสนใจจะซื้อ หรือเมื่อเราจะซื้ออะไร หากมีสินค้าอื่นที่ทำโปรโมชั่น ก็จะมีแนะนำให้ทันที... และเมื่อเราตัดสินใจจะซื้อสินค้าใด เพื่อแค่ตกลงใจซื้อผ่านมือถือก็ตัดบัตร สามารถให้สินค้าไปส่งที่บ้าน หรือรับสินค้ากลับได้ทันที แถมราคาสินค้าในอนาคตจะ Consistent กันหมด ห้างสรรพสินค้า เป็นสถานที่ๆ เจ้าของแบรนด์ต้องทำการจ่ายเงินเป็นค่า Commission ให้ สำหรับค่า Windows Display โดยระบบจะรู้ทันทีว่า Conversion Rate ที่เกิดขึ้น เกิดจากการที่ผู้บริโภคไปเห็นสินค้าที่ร้านไหนจากการ Track Location ของผู้บริโภค
เมื่อไปทานอาหาร เราสามารถจองคิว สั่งอาหารล่วงหน้า ก่อนที่จะไปที่ร้าน หรือถ้าร้านคนเยอะ เราก็ไปเดินเล่นก่อนได้ เมื่อโต๊ะว่างระบบก็จะแจ้งโดยอัตโนมัติ... เมื่อเข้าร้านบัตรสมาชิกก็จะอยู่ในมือถือไม่ต้องพก เมื่อชำระเงิน ก็กดชำระที่มือถือ เดินออกจากร้านได้เลย
ผลกระทบที่ตามมา คือ เราจะมีเวลาเหลือมากขึ้น คุณภาพชีวิตดีขึ้น... ธุรกิจที่เกี่ยวข้องน่าจะเป็นธุรกิจที่ให้บริการระบบดังกล่าว OS บนมือถือ Digital Ads ระบบในการชำระเงินอย่าง VISA หรือ Master
สรุปในมุมมองผม
ธุรกิจที่จะมีปัญหา
- ธุรกิจ Platform ที่มีลักษณะ Broadcast หรือเป็นสื่อดั้งเดิม : ร้านหนังสือ, วิทยุ, ทีวี
- ธุรกิจที่ติดกับการทำโฆษณาแบบดั้งเดิม : ธุรกิจสิ่งพิมพ์, สายส่ง, Agency ที่ปรับตัวไม่ทัน, Magazine ที่ปรับตัวไม่ทัน
- บริษัทนำเที่ยว : Travel Agency, Tour
ธุรกิจที่เหนื่อย
- สายการบิน : จะยังคงมีปัญหาต่อไป เพราะ โครงสร้างการแข่งขันในตลาดไม่เอื้ออำนวยอยู่แล้ว แถมเทคโนโลยีจะทำให้การแข่งขันราคา เปิดเผย และรุนแรง
- โรงแรม : สภาวะ Over Supply จะยังคงดำเนินต่อไป ด้วยอคติของคนลงทุนในธุรกิจโรงแรม และการเฟื่องฟูของผู้รับบริหารโรงแรม พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่ไม่เที่ยวซ้ำที่ ไม่พักซ้ำที่ ทำให้ต้องไปพึ่งพิง และต้องจ่ายเงินให้การโปรโมตโรงแรมให้กับ Booking Agency ที่นับวันจะใหญ่ขึ้นๆ
ธุรกิจที่อาจจะมีปัญหา
- ธุรกิจโทรคมนาคม : การสื่อสารผ่านเน็ต ที่ Identity อยู่บน Line บน Facebook ทำให้ Switching Cost ในอดีต ที่คนไม่อยากเปลี่ยนค่ายเพราะไม่อยากเปลี่ยนเบอร์น้อยลง การแข่งขันที่สูงขึ้นอาจจะหมายถึง NPM ที่ลดลง อย่างไรก็ตาม Telco เหล่านี้อาจจะได้ประโยชน์จากการ Subsidise ของบริษัทที่ทำ Digital Ads จึงยังคงเป็นเครื่องหมายคำถามว่าจะได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์
ธุรกิจที่ไม่แน่ใจถึงผลกระทบ น่ากลางๆ หรืออาจจะได้ประโยชน์
- ธุรกิจโรงพยาบาล : เทคโนโลยีทางการแพทย์ในอนาคต อาจจะทำให้คนไข้บางส่วนลดลง แต่ในทำนองเดียวกัน ต้นทุนของโรงพยาบาลก็ลดลงด้วยเช่นกัน หากโรงพยาบาลวาง Positioning ดีๆ ก็จะได้ประโยชน์
- ธุรกิจ Contet : ขึ้นอยู่กับความสามารถ ถ้าทำดีๆ Position ได้ ควบคุมคุณภาพได้ดีจริงในระยะยาว การโปรโมตอะไรใหม่ๆ เดี๋ยวนี้ทำได้ง่าย... แต่ถ้ารักษาคุณภาพไม่ได้ ลูกค้าก็พร้อมจะหายวับได้ทันที เพราะ Word of Mouth เดี๋ยวนี้เร็วมาก
ธุรกิจที่ได้ประโยชน์
- Hub : สนามบิน, Booking Agency, Travel Advisor, Mobile OS, Content Hub (youTube, Netflix, Hulu, Flipboard, Spotify, Pandora etc.), Social Network Hub (Facebook, Twitter, Pinterest, IG, Tumblr, G+)
- Communication Apps : LINE, Snapchat, Whatsapp, Skype
- Search
- Payment
ปล. ผมเขียนเล่นๆ เขียนเอามันนะครับ อย่าคิดมาก... ขออภัยที่ตอบนอกเรื่อง ไม่ตรงประเด็น และทำให้เสียเวลาอ่าน...