ลงทุนหุ้นให้เหมือน 'ทำธุรกิจ'คัมภีร์ลงทุน 'หมอโต้ง'
โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 30, 2013 5:39 pm
ลงทุนหุ้นให้เหมือน 'ทำธุรกิจ'คัมภีร์ลงทุน 'หมอโต้ง'...นพ.ธนพล ทองประเสริฐ
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Sunday, October 27, 2013 06:33
นเรศ เหล่าพรรณราย
ถอดประสบการณ์ลงทุน นพ.ธนพล ทองประเสริฐ เจ้าของคลินิกความงามชื่อดัง
เคยขาดทุนหุ้นตัวเดียว 25 ล้านบาทภายในเดือนเดียว จนพบแนวคิด
"ใช่ที่สุด ถ้าลงทุนหุ้นเหมือนทำธุรกิจ"
"เข้ามาในตลาดหุ้นเพราะฝากแบงก์แล้วได้ดอกเบี้ยน้อยมาก จึงตัดสินใจนำเงินเหลือจากการทำคลินิกมาลงทุน ผมเริ่มเข้าตลาดหุ้นตอนเดือน มี.ค. ปีที่แล้ว ด้วยเงินเริ่มต้น 6 ล้านบาท" นพ.ธนพล ทองประเสริฐ เจ้าของคลินิกความงาม De.Secret by Dr.Thanapol บอกเล่าถึง ก้าวแรกในฐานะ "ผู้ลงทุน" ไว้เช่นนั้น
หมอธนพล เริ่มต้นจากการซื้อกองทุนอสังหาริมทรัพย์เทสโก้โลตัส ซึ่ง ณ ขณะนั้น ออกขายให้นักลงทุนทั่วไป จากนั้นก็เริ่มศึกษาการลงทุนหุ้นด้วยตัวเองอย่างจริงจัง ด้วยการย่ำร้านหนังสือ ซื้อตำราการลงทุน
"จำได้ว่าวันแรกซื้อไปร่วม 10,000 บาท เพราะชอบอ่านหนังสืออยู่แล้ว จากนั้นก็เริ่มจัดเวลาตอนเช้าอ่านหนังสือพิมพ์ธุรกิจ
แรกๆ ไม่รู้จะซื้อหุ้นอะไร ผมเลยเลือกหุ้นจากเปิดหน้ากลางหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ดูว่าใครจ่ายเงินปันผลดี ดูกลุ่มอุตสาหกรรมว่าอะไรกำลังจะมา ผมจิ้มเลือกหุ้นไดนาสตี้เซรามิก (DCC) ตอนแรกยังไม่รู้ว่ามันคือบริษัทอะไรเลยเข้าไปค้นในเวบไซต์ ตัดสินใจซื้อเพราะปันผลดีผมไปซื้อที่ราคาพีค 60 บาท ซื้อแล้วมีแต่ลงๆ แล้วก็ซื้อขาลงไปเรื่อยๆ เลยตัดสินใจทิ้งขาดทุนไปหลายแสน"
นั่นคือบทเรียนแรกในวิชาลงทุนของ "หมอโต้ง นพ.ธนพล ทองประเสริฐ
จากนั้นก็สั่งสม "บทเรียน" อีกมากมาย จาก "หุ้นเขาบอก"
ด้วยความที่มีเพื่อนหลากหลายวงการ บางคนเป็นทายาทตระกูลนักธุรกิจใหญ่ วันหนึ่งมีคนมาบอกว่าราคาหุ้นตัวหนึ่งในตลาดจะขึ้นไปกว่าเท่าตัวแน่นอน สุดท้ายหลงเชื่อ และเข้าไปลงทุน
"เขาบอกว่าหุ้นตัวนี้ซูเปอร์ทีเด็ด ผมเลยนำเงินไปลงทุนในหุ้นตัวนี้ตัวเดียว 50 ล้านบาท รู้ทีหลังว่าไปซื้อที่ราคาพีค เพียงแค่เดือนเดียวราคาหุ้นลงไปกว่าครึ่ง มาร์เกตติ้งบอกว่าหมอไม่ถอยเหรอ ผมบอกไปว่าเงินเย็นรอได้ แต่สุดท้ายผมขาย ที่ผิดพลาดคงเพราะเรามั่นใจมากเกินไป ทั้งตัวเอง และหุ้นอินไซด์ ตอนนี้ไม่ต้องมีใครมาบอก ผมเชื่อตัวเอง"
หมอโต้ง เล่าถึงเมื่อครั้งลงทุนในหุ้นไดนาสตี้เซรามิก ที่ซื้อไปแล้ว "มีแต่ลง"
" ตอนแรกไม่เข้าใจว่าทำไมหุ้นปันผลดีแต่ไม่มีใครสนใจซื้อ มารู้ทีหลังว่าเป็นเพราะเทรนด์ของธุรกิจมันเปลี่ยนไปแล้ว คนนิยมหาซื้อสินค้าวัสดุก่อสร้างจากห้างโมเดิร์นเทรดมากกว่า ทำให้รู้ว่าวงจรของธุรกิจมีทั้งขึ้นและลง ไม่มีหุ้นตัวไหนที่ทำผลงานดีไปเรื่อยๆไม่มีลง"
เมื่อตัดใจได้ จึง "ตัดขาดทุน" และกลับมาศึกษาตลาดหุ้นด้วยการอ่านหนังสืออย่างจริงจังทั้งการวิเคราะห์เชิงพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิค
เจ็บมาก็หลายหน แต่เจ้าตัวยังไม่ยอมตัดใจจากตลาดหุ้น เหตุผลสั้นๆ คือ "แล้วจะไปลงทุนอะไรล่ะ!!"
ส่วนตัวทำงานทั้งในโรงพยาบาล และเปิดคลินิก เขาคิดเสมอว่า ต้องลงทุนระยะยาว เพราะเมื่ออายุมากขึ้นเราจะทำงานมากไม่ได้ จำเป็นต้องมีรายได้จากการลงทุน เข้ามาต่อเนื่อง
เขาผ่านการวิเคราะห์การขาดทุนแบบซ้ำซากในช่วงเริ่มต้นของตัวเองไว้ว่า ที่จริง คอนเซปต์การลงทุนหลักถูกต้อง แต่ผิดพลาดในรายละเอียดปลีกย่อย
"ผมไม่เสียดายเงินที่เสียไป ถือว่าเราจ่ายค่าเรียนรู้ไป ถ้าคิดว่าลงทุนหุ้นแล้วไม่ต้องลงทุนความรู้มันไม่จริง ทำคลินิกผมต้องไปเทรนเหมือนกัน เสียเงินเป็นแสนแล้วเสียงานยังต้องทำเลย อีกอย่างพอเราทำธุรกิจเองเคยขาดทุนหลายล้าน มาขาดทุนหุ้นหลายแสนมันน้อยมาก คนทำธุรกิจจะรู้ว่าเสียแค่นี้น้อยมาก ผมเคยเปิดคลินิกขยายสาขา ต้องเช่าที่ จ้างพนักงาน พอธุรกิจไปไม่ได้จะเลิกกิจการยังถอยไม่ได้ แต่หุ้นขาดทุนสามารถขายได้เลย เจ็บแต่จบ ทำธุรกิจเองยากกว่ามาก"
หลังจากที่ได้กลับไปศึกษาหุ้นเป็นอย่างดี หมอโต้ง นำวิธีคิดในการทำธุรกิจมาใช้กับการลงทุน ข้อดีอย่างหนึ่งของคนเป็นหมอในการเป็นนักลงทุนคือมี "ระบบคิด" ในการทำงาน
"ผมมองธุรกิจความงามตั้งแต่สิบปีที่แล้วว่า ต้องบูมแน่นอน ดังนั้นเวลามองหุ้นจะต้องเลือกกิจการที่มีโอกาสจะเติบโตต่อไปได้"
ข้อสองคือจะต้องมีการจ่ายปันผลที่ดี สรุปคือมองจากภาพใหญ่ (MegaTrend) ก่อนจากนั้นมาเลือกหุ้นเป็นรายตัว
เขาเล่าว่าเริ่ม มองหุ้นกลุ่ม "พลังงานทางเลือก" เพราะไม่ว่าอย่างไรพลังงานเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตประจำวัน หุ้นกลุ่มนี้ตัวใหญ่ๆราคาสูงมากคงซื้อไม่ไหวแต่หุ้นพลังงานทางเลือกยังมีโอกาสอยู่
นอกจากนี้ยังลงทุนในหุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เนื่องจากธุรกิจที่อยู่อาศัยอาจจะโตได้ยากแล้ว แต่ความต้องการโรงงานอุตสาหกรรมยังคงมีอยู่ ราคาที่ดินก็เพิ่มขึ้นทุกปี รวมถึงพวกวัสดุตกแต่งบ้านในโมเดิร์นเทรดก็เติบโต
ที่ต้องระวังคือธุรกิจที่กำลังอยู่ในช่วง "ขาลง" เหมือนกับแนวคิดของวีไอคือจะขายหุ้นเมื่อพื้นฐานของธุรกิจเปลี่ยนไป อย่างดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ที่เป็นต้นแบบในการลงทุนยังขายหุ้นบัตรเครดิตและบริษัทซอฟต์แวร์ออกไปเพราะธุรกิจเริ่มจะไม่โตแล้วถ้าหากธุรกิจกลังแย่ต้องรีบขายออกไปก่อน
นอกจากนี้ยังศึกษาเรื่องกราฟเทคนิค เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มราคาหุ้นว่ากำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น หรือขาลง ส่วนมากจะดูแค่เครื่องมือพื้นฐานอย่างเช่น MACD RSI ถ้ายังแสดงว่าหุ้นเป็นขาขึ้นก็จะยังถือต่อไป เริ่มไม่ดีก็จะขาย
ส่วนการบริหารพอร์ต ปกติจะลงทุนหุ้นทั้งหมด 12ตัว ด้วยจำนวนเงินเท่าๆกัน จากนั้นจะติดตามหุ้นรายตัวว่าใครที่จะเติบโตได้อีกอาจจะซื้อเพิ่ม ตัวไหนที่เริ่มนิ่งๆแล้วก็จะขายออกไปและลงทุนตัวอื่นแทน จะไม่ถือหุ้นที่ไม่เติบโตนานๆเพราะ "เงินจม"
ประสบการณ์ในตลาดหุ้นทำให้หมอโต้งเข้าใจธรรมชาติของการลงทุนมากขึ้น
"คนในตลาดหุ้นจะรู้ดีว่าราคาหุ้นเป็นอีกเรื่อง พื้นฐานเป็นอีกเรื่อง หุ้นบางตัวจะมี "ผู้ดูแล" ช่วยผลักดันราคาได้ด้วยเม็ดเงินที่เยอะ
บอกได้เลยว่า ต้องระวังพวกเฟซบุ๊คเชียร์หุ้น ทั้งมาร์เกตติ้ง และบทวิเคราะห์ อย่าไปเชื่อมาก แต่อ่านเพื่อเข้าใจปัจจัยพื้นฐานเท่านั้น ผมสนใจหุ้นพลังงานทางเลือก แต่ไม่เชื่อว่าราคาจะเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์คาด เพราะไม่งั้นทุกคนที่ทำตามก็รวยกันหมดแล้ว"
หมอโต้ง ย้ำว่าการเล่นหุ้นคือการลงทุนธุรกิจอย่างหนึ่ง เพียงแต่หุ้นเราไม่ต้องทำธุรกิจเองมีคนทำให้และแบ่งผลประโยชน์กัน
"ผมเปิดคลินิกมันเหมือนกับลงทุนหุ้นอย่างหนึ่ง ถ้าหากคิดว่าหุ้นคือธุรกิจ มันจะไม่ใช่เรื่องที่ยาก"
เขาพูดถึงเป้าหมายในการเป็นนักลงทุนว่าต้องการเป็นเพียงแค่เป็นรายได้ที่ต่อเนื่อง หรือ Passive Income หลังจากที่หยุดทำงานไปแล้ว เพราะอาชีพ "หมอ" จะมีอายุการทำงานที่จำกัด เมื่ออายุมาก ประสิทธิภาพการทำงานจะลดลง จึงต้องเตรียมแหล่งรายได้เสริมสำหรับอนาคต และ การลงทุนในหุ้น ควรเป็นการลงทุนระยะยาว มากกว่า เก็งกำไรระยะสั้นที่ไม่ยั่งยืน
"ผมคิดว่าคนจะเป็นเซียน ต้องผ่านทั้งตลาดหุ้นขาขึ้นและลง ตอนผมเปิดคลินิกแรกๆ คนไข้ยังไม่เยอะมาก ยังต้องสู้ แค่อย่ายอมแพ้ ไม่มีธุรกิจไหนที่ไม่มีปัญหา ตลาดหุ้นก็คืออีกธุรกิจหนึ่ง ช่วงแรกต้องมีปัญหาอยู่แล้วแต่อยากให้อดทนแล้วรับรองได้ว่าจะประสบความสำเร็จ"
'ผมมองธุรกิจความงามตังแต่สิบปีทีแล้วว่า ต้องบูมแน่นอน ดังนันเวลามองหุ้นจะต้องเลือกกิจการทีมีโอกาสจะเติบโตต่อไปได้'--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Sunday, October 27, 2013 06:33
นเรศ เหล่าพรรณราย
ถอดประสบการณ์ลงทุน นพ.ธนพล ทองประเสริฐ เจ้าของคลินิกความงามชื่อดัง
เคยขาดทุนหุ้นตัวเดียว 25 ล้านบาทภายในเดือนเดียว จนพบแนวคิด
"ใช่ที่สุด ถ้าลงทุนหุ้นเหมือนทำธุรกิจ"
"เข้ามาในตลาดหุ้นเพราะฝากแบงก์แล้วได้ดอกเบี้ยน้อยมาก จึงตัดสินใจนำเงินเหลือจากการทำคลินิกมาลงทุน ผมเริ่มเข้าตลาดหุ้นตอนเดือน มี.ค. ปีที่แล้ว ด้วยเงินเริ่มต้น 6 ล้านบาท" นพ.ธนพล ทองประเสริฐ เจ้าของคลินิกความงาม De.Secret by Dr.Thanapol บอกเล่าถึง ก้าวแรกในฐานะ "ผู้ลงทุน" ไว้เช่นนั้น
หมอธนพล เริ่มต้นจากการซื้อกองทุนอสังหาริมทรัพย์เทสโก้โลตัส ซึ่ง ณ ขณะนั้น ออกขายให้นักลงทุนทั่วไป จากนั้นก็เริ่มศึกษาการลงทุนหุ้นด้วยตัวเองอย่างจริงจัง ด้วยการย่ำร้านหนังสือ ซื้อตำราการลงทุน
"จำได้ว่าวันแรกซื้อไปร่วม 10,000 บาท เพราะชอบอ่านหนังสืออยู่แล้ว จากนั้นก็เริ่มจัดเวลาตอนเช้าอ่านหนังสือพิมพ์ธุรกิจ
แรกๆ ไม่รู้จะซื้อหุ้นอะไร ผมเลยเลือกหุ้นจากเปิดหน้ากลางหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ดูว่าใครจ่ายเงินปันผลดี ดูกลุ่มอุตสาหกรรมว่าอะไรกำลังจะมา ผมจิ้มเลือกหุ้นไดนาสตี้เซรามิก (DCC) ตอนแรกยังไม่รู้ว่ามันคือบริษัทอะไรเลยเข้าไปค้นในเวบไซต์ ตัดสินใจซื้อเพราะปันผลดีผมไปซื้อที่ราคาพีค 60 บาท ซื้อแล้วมีแต่ลงๆ แล้วก็ซื้อขาลงไปเรื่อยๆ เลยตัดสินใจทิ้งขาดทุนไปหลายแสน"
นั่นคือบทเรียนแรกในวิชาลงทุนของ "หมอโต้ง นพ.ธนพล ทองประเสริฐ
จากนั้นก็สั่งสม "บทเรียน" อีกมากมาย จาก "หุ้นเขาบอก"
ด้วยความที่มีเพื่อนหลากหลายวงการ บางคนเป็นทายาทตระกูลนักธุรกิจใหญ่ วันหนึ่งมีคนมาบอกว่าราคาหุ้นตัวหนึ่งในตลาดจะขึ้นไปกว่าเท่าตัวแน่นอน สุดท้ายหลงเชื่อ และเข้าไปลงทุน
"เขาบอกว่าหุ้นตัวนี้ซูเปอร์ทีเด็ด ผมเลยนำเงินไปลงทุนในหุ้นตัวนี้ตัวเดียว 50 ล้านบาท รู้ทีหลังว่าไปซื้อที่ราคาพีค เพียงแค่เดือนเดียวราคาหุ้นลงไปกว่าครึ่ง มาร์เกตติ้งบอกว่าหมอไม่ถอยเหรอ ผมบอกไปว่าเงินเย็นรอได้ แต่สุดท้ายผมขาย ที่ผิดพลาดคงเพราะเรามั่นใจมากเกินไป ทั้งตัวเอง และหุ้นอินไซด์ ตอนนี้ไม่ต้องมีใครมาบอก ผมเชื่อตัวเอง"
หมอโต้ง เล่าถึงเมื่อครั้งลงทุนในหุ้นไดนาสตี้เซรามิก ที่ซื้อไปแล้ว "มีแต่ลง"
" ตอนแรกไม่เข้าใจว่าทำไมหุ้นปันผลดีแต่ไม่มีใครสนใจซื้อ มารู้ทีหลังว่าเป็นเพราะเทรนด์ของธุรกิจมันเปลี่ยนไปแล้ว คนนิยมหาซื้อสินค้าวัสดุก่อสร้างจากห้างโมเดิร์นเทรดมากกว่า ทำให้รู้ว่าวงจรของธุรกิจมีทั้งขึ้นและลง ไม่มีหุ้นตัวไหนที่ทำผลงานดีไปเรื่อยๆไม่มีลง"
เมื่อตัดใจได้ จึง "ตัดขาดทุน" และกลับมาศึกษาตลาดหุ้นด้วยการอ่านหนังสืออย่างจริงจังทั้งการวิเคราะห์เชิงพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิค
เจ็บมาก็หลายหน แต่เจ้าตัวยังไม่ยอมตัดใจจากตลาดหุ้น เหตุผลสั้นๆ คือ "แล้วจะไปลงทุนอะไรล่ะ!!"
ส่วนตัวทำงานทั้งในโรงพยาบาล และเปิดคลินิก เขาคิดเสมอว่า ต้องลงทุนระยะยาว เพราะเมื่ออายุมากขึ้นเราจะทำงานมากไม่ได้ จำเป็นต้องมีรายได้จากการลงทุน เข้ามาต่อเนื่อง
เขาผ่านการวิเคราะห์การขาดทุนแบบซ้ำซากในช่วงเริ่มต้นของตัวเองไว้ว่า ที่จริง คอนเซปต์การลงทุนหลักถูกต้อง แต่ผิดพลาดในรายละเอียดปลีกย่อย
"ผมไม่เสียดายเงินที่เสียไป ถือว่าเราจ่ายค่าเรียนรู้ไป ถ้าคิดว่าลงทุนหุ้นแล้วไม่ต้องลงทุนความรู้มันไม่จริง ทำคลินิกผมต้องไปเทรนเหมือนกัน เสียเงินเป็นแสนแล้วเสียงานยังต้องทำเลย อีกอย่างพอเราทำธุรกิจเองเคยขาดทุนหลายล้าน มาขาดทุนหุ้นหลายแสนมันน้อยมาก คนทำธุรกิจจะรู้ว่าเสียแค่นี้น้อยมาก ผมเคยเปิดคลินิกขยายสาขา ต้องเช่าที่ จ้างพนักงาน พอธุรกิจไปไม่ได้จะเลิกกิจการยังถอยไม่ได้ แต่หุ้นขาดทุนสามารถขายได้เลย เจ็บแต่จบ ทำธุรกิจเองยากกว่ามาก"
หลังจากที่ได้กลับไปศึกษาหุ้นเป็นอย่างดี หมอโต้ง นำวิธีคิดในการทำธุรกิจมาใช้กับการลงทุน ข้อดีอย่างหนึ่งของคนเป็นหมอในการเป็นนักลงทุนคือมี "ระบบคิด" ในการทำงาน
"ผมมองธุรกิจความงามตั้งแต่สิบปีที่แล้วว่า ต้องบูมแน่นอน ดังนั้นเวลามองหุ้นจะต้องเลือกกิจการที่มีโอกาสจะเติบโตต่อไปได้"
ข้อสองคือจะต้องมีการจ่ายปันผลที่ดี สรุปคือมองจากภาพใหญ่ (MegaTrend) ก่อนจากนั้นมาเลือกหุ้นเป็นรายตัว
เขาเล่าว่าเริ่ม มองหุ้นกลุ่ม "พลังงานทางเลือก" เพราะไม่ว่าอย่างไรพลังงานเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตประจำวัน หุ้นกลุ่มนี้ตัวใหญ่ๆราคาสูงมากคงซื้อไม่ไหวแต่หุ้นพลังงานทางเลือกยังมีโอกาสอยู่
นอกจากนี้ยังลงทุนในหุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เนื่องจากธุรกิจที่อยู่อาศัยอาจจะโตได้ยากแล้ว แต่ความต้องการโรงงานอุตสาหกรรมยังคงมีอยู่ ราคาที่ดินก็เพิ่มขึ้นทุกปี รวมถึงพวกวัสดุตกแต่งบ้านในโมเดิร์นเทรดก็เติบโต
ที่ต้องระวังคือธุรกิจที่กำลังอยู่ในช่วง "ขาลง" เหมือนกับแนวคิดของวีไอคือจะขายหุ้นเมื่อพื้นฐานของธุรกิจเปลี่ยนไป อย่างดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ที่เป็นต้นแบบในการลงทุนยังขายหุ้นบัตรเครดิตและบริษัทซอฟต์แวร์ออกไปเพราะธุรกิจเริ่มจะไม่โตแล้วถ้าหากธุรกิจกลังแย่ต้องรีบขายออกไปก่อน
นอกจากนี้ยังศึกษาเรื่องกราฟเทคนิค เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มราคาหุ้นว่ากำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น หรือขาลง ส่วนมากจะดูแค่เครื่องมือพื้นฐานอย่างเช่น MACD RSI ถ้ายังแสดงว่าหุ้นเป็นขาขึ้นก็จะยังถือต่อไป เริ่มไม่ดีก็จะขาย
ส่วนการบริหารพอร์ต ปกติจะลงทุนหุ้นทั้งหมด 12ตัว ด้วยจำนวนเงินเท่าๆกัน จากนั้นจะติดตามหุ้นรายตัวว่าใครที่จะเติบโตได้อีกอาจจะซื้อเพิ่ม ตัวไหนที่เริ่มนิ่งๆแล้วก็จะขายออกไปและลงทุนตัวอื่นแทน จะไม่ถือหุ้นที่ไม่เติบโตนานๆเพราะ "เงินจม"
ประสบการณ์ในตลาดหุ้นทำให้หมอโต้งเข้าใจธรรมชาติของการลงทุนมากขึ้น
"คนในตลาดหุ้นจะรู้ดีว่าราคาหุ้นเป็นอีกเรื่อง พื้นฐานเป็นอีกเรื่อง หุ้นบางตัวจะมี "ผู้ดูแล" ช่วยผลักดันราคาได้ด้วยเม็ดเงินที่เยอะ
บอกได้เลยว่า ต้องระวังพวกเฟซบุ๊คเชียร์หุ้น ทั้งมาร์เกตติ้ง และบทวิเคราะห์ อย่าไปเชื่อมาก แต่อ่านเพื่อเข้าใจปัจจัยพื้นฐานเท่านั้น ผมสนใจหุ้นพลังงานทางเลือก แต่ไม่เชื่อว่าราคาจะเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์คาด เพราะไม่งั้นทุกคนที่ทำตามก็รวยกันหมดแล้ว"
หมอโต้ง ย้ำว่าการเล่นหุ้นคือการลงทุนธุรกิจอย่างหนึ่ง เพียงแต่หุ้นเราไม่ต้องทำธุรกิจเองมีคนทำให้และแบ่งผลประโยชน์กัน
"ผมเปิดคลินิกมันเหมือนกับลงทุนหุ้นอย่างหนึ่ง ถ้าหากคิดว่าหุ้นคือธุรกิจ มันจะไม่ใช่เรื่องที่ยาก"
เขาพูดถึงเป้าหมายในการเป็นนักลงทุนว่าต้องการเป็นเพียงแค่เป็นรายได้ที่ต่อเนื่อง หรือ Passive Income หลังจากที่หยุดทำงานไปแล้ว เพราะอาชีพ "หมอ" จะมีอายุการทำงานที่จำกัด เมื่ออายุมาก ประสิทธิภาพการทำงานจะลดลง จึงต้องเตรียมแหล่งรายได้เสริมสำหรับอนาคต และ การลงทุนในหุ้น ควรเป็นการลงทุนระยะยาว มากกว่า เก็งกำไรระยะสั้นที่ไม่ยั่งยืน
"ผมคิดว่าคนจะเป็นเซียน ต้องผ่านทั้งตลาดหุ้นขาขึ้นและลง ตอนผมเปิดคลินิกแรกๆ คนไข้ยังไม่เยอะมาก ยังต้องสู้ แค่อย่ายอมแพ้ ไม่มีธุรกิจไหนที่ไม่มีปัญหา ตลาดหุ้นก็คืออีกธุรกิจหนึ่ง ช่วงแรกต้องมีปัญหาอยู่แล้วแต่อยากให้อดทนแล้วรับรองได้ว่าจะประสบความสำเร็จ"
'ผมมองธุรกิจความงามตังแต่สิบปีทีแล้วว่า ต้องบูมแน่นอน ดังนันเวลามองหุ้นจะต้องเลือกกิจการทีมีโอกาสจะเติบโตต่อไปได้'--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ