ฝรั่ง'ขาย'รายย่อย รอ'ช้อน'สิ้นปีลุ้นรวย ณ SET 1,200 จุด
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 09, 2013 10:38 am
ฝรั่ง'ขาย'รายย่อย รอ'ช้อน'สิ้นปีลุ้นรวย ณ SET 1,200 จุด
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, September 09, 2013 07:21
ดาริน โชสูงเนิน
ตลาดหุ้น "แดงเดือด" แต่ "มนต์เสน่ห์" ไม่เคยจางหาย "แปดเซียนขั้นเทพ" พร้อมใจหาจังหวะไล่กวาด "หุ้นดีราคาแสนถูก" โปรดเตรียมตังค์ให้พร้อม สิ้นปี 2556 ดัชนีอาจลงลึกถึง 1,200 จุด "เซียนหุ้นรายใหญ่" ว่าอย่างนั้น
8 เดือนผ่านมา (ม.ค.-ส.ค.) นักลงทุนต่างชาติสลัดหุ้นไทยทิ้งแล้วกว่า 110,000 ล้านบาท บางวัน SET INDEX แกว่งตัวหนักลดลง "กว่าร้อยจุด" ตลาดหุ้นส่อแววอาการน่าเป็นห่วงหนักขึ้นในช่วงเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา ด้วยการสร้างสถิติ "ต่ำสุด" ระดับ 1,338 จุด ณ วันที่ 25 มิ.ย.2556 หลังขึ้นไปสัมผัส "ยอดดอย" 1,649 จุด เมื่อวันที่ 21 พ.ค. ก่อนจะ "ทุบสถิติต่ำสุด" อีกครั้งที่ระดับ 1,260 จุด ในวันที่ 28 ส.ค.ที่ผ่านมา
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เตรียมผ่อนคลายมาตรการ QE หลังเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกา และยุโรปเริ่มฟื้นตัวชัดเจน ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) เมืองไทยถูกหลายหน่วยงานหั่นเป้าหมายเฉลี่ยเหลือ 4.5% หลังการบริโภคภายในประเทศส่อแววลดลง และความกังวลต่อวิกฤติซีเรีย เหตุผลเหล่านี้น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนต่างประเทศตัดสินใจทยอยขนเงินกลับบ้านเกิด
ช่วงตลาดหุ้นลงแรงต่อเนื่อง ผู้เกี่ยวข้องเดินสายเรียก "ขวัญกำลังใจ" เม่าน้อย-ใหญ่ ต่อเนื่อง ไล่มาตั้งแต่ "นก-จรัมพร โชติกเสถียร" กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ที่ออกมาตอกย้ำว่า นี่คือช่วงเวลาที่เหมาะสมของนักลงทุนระยะยาวในการเลือกหุ้นที่มีคุณภาพ และพื้นฐานดี หลังราคาหุ้นปรับตัวลดลงอย่างมาก พื้นฐานหุ้นไทยยังดีเห็นได้จากผลประกอบการไตรมาส 2/56 ของบริษัทจดทะเบียนที่ยังคงเติบโต และมีอัตราการจ่ายปันผลสูงถึง 3.5% ถือว่ามีผลตอบแทนมากกว่าการลงทุนในลักษณะอื่นๆ
แนวโน้มตลาดหุ้น 6 เดือนหลังของปีนี้ อยากให้นักลงทุนติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเตรียมปรับพอร์ตให้เหมาะสมกับเหตุการณ์ต่างๆ หลังมีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่าง โดยเฉพาะเศรษฐกิจโลก
"ประสาร ไตรรัตน์วรกุล" ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) บอกว่า หุ้นไทยปรับตัวลดลง ถือเป็นเรื่องปกติ ที่ผ่านมาตลาดหุ้นปรับขึ้นมาค่อนข้างสูง โดยมีปัจจัยในประเทศเป็นตัวผลักดัน ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มเติบโตที่ดี แถมยังได้ประโยชน์จากการปรับลดอัตราภาษีนิติบุคคลของภาครัฐ
ตอนนี้ "เงินร้อน" จากต่างประเทศอยู่ในเมืองไทยไม่มากนัก เห็นได้จากเม็ดเงินที่เข้ามาในตลาดตราสารหนี้ระยะสั้นมีจำนวนไม่สูง ส่วนใหญ่จะเข้ามาลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวที่มีอายุเฉลี่ย 4-5 ปี มากกว่า ตามติดด้วย "โต้ง-กิตติรัตน์ ณ ระนอง" รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง "นักลงทุนมืออาชีพคงเข้าใจความ "ผันผวน" ของตลาดหุ้น และอาจใช้จังหวะหุ้นร่วงซื้อสะสม เพื่อรอทำกำไรในช่วงตลาดหุ้นดีขึ้น หุ้นลงรอบนี้เกิดจากนักลงทุนต่างชาติระยะสั้น หรือ HOT MONEY เทขายหุ้น หลังกังวลเรื่องที่เฟดจะลดมาตรการ QE เมื่อคนเล่นสั้นหมดไปจะเหลือเพียงนักลงทุนระยะยาว เมื่อนั้นต่างชาติจะกลับมาซื้อหุ้นไทยอีกครั้งเร็วๆนี้น่าจะเห็น"
หุ้นไทยสวิงเช่นนี้ "เม่าน้อย" วางแผนลงทุนอย่างไรดี "กรุงเทพธุรกิจ BizWeek" ถามเรื่องนี้กับ "ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร"ผู้เผยแพร่แนวคิดการลงทุนแบบเน้นคุณค่าคนแรกในประเทศไทย (วีไอ)
"ผมคิดว่า ตลาดหุ้นลงแรงๆ แบบนี้ ถือเป็น "โอกาสทอง" ในการแสวงหาหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง ที่ไม่ถูกกระทบจากปัจจัยภายนอก ไปไล่ดูสิราคาหุ้นลดลงมาเยอะแล้ว ฉะนั้นหากเข้าไปลงทุนรับรองได้รับผลตอบแทนที่แสน "คุ้มค่า" เมื่อเวลาตลาดหุ้นดีดตัวกลับมา
"ต่อให้หุ้นไทยลงแรงแค่ไหน ความน่าสนใจยังมีอยู่ โดยเฉพาะในแง่ของผลตอบแทนที่ดีกว่าลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ"
ปลายปี 2556 ดัชนีน่าจะ "รีเทิร์น" กลับมาอีกครั้ง คงยืนราวๆ 1,200 จุด ถือเป็นจุดที่น่าเข้าไปลงทุนมากๆ แต่ช่วงนี้อาจมีปัจจัยหลายอย่างเข้ามากระทบตลาดหุ้น โดยเฉพาะเรื่องรอความชัดเจนมาตรการ QE ที่จะประชุมในวันที่ 17-18 ก.ย.นี้ รวมถึงปัจจัยทางการเมืองในกรณีการแก้กฎหมายนิรโทษกรรม รวมถึงการนำเรื่องพ.ร.บ.กู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท เข้าพิจารณาในรัฐสภา
"ดอกเตอร์" แนะนำหุ้นน่าลงทุนว่า กลุ่มที่มีการใช้จ่ายภายในประเทศเป็นหลัก ประเภทนี้น่าสนใจมาก ถึงแม้ว่าการบริโภคภายในประเทศจะส่งสัญญาณชะลอตัว อาทิ หุ้นกลุ่มค้าปลีก ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น หุ้นที่จะได้รับผลกระทบจากการบริโภคลดลงจะเป็นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มยานยนต์ หุ้นประเภทนี้จะถูกผู้บริโภคเลื่อนการใช้เงินออกไป เมื่อเศรษฐกิจไม่ดีมักถูกละไว้เป็นอันดับแรกๆ
ฟาก "เสี่ยป๋อง-วัชระ แก้วสว่าง" เซียนเทคนิค เชื่อว่า ตลาดหุ้นแบบนี้เหมาะมากในการหาจังหวะช้อนหุ้น บางตัวราคาลดลงเยอะมาก เมื่อเทียบกับพื้นฐานที่ดี
"ผมเองไม่ค่อยเข้าใจว่า หุ้นดีทำไมถึงลงได้มากขนาดนี้" ทั้งๆที่พื้นฐานเศรษฐกิจเมืองไทยยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงชัดเจน คุณลองไปดูผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หลายแห่งยังมีอัตราการเติบโตที่ดี แม้บางบริษัทจะมีผลประกอบการชะลอตัวบางในช่วงไตรมาส 2/56
หุ้นไทยยังเป็นตลาดที่น่าลงทุน อัตราส่วนราคาต่อกำไร หรือ ค่า P/E ยังต่ำกว่าประเทศอื่นที่อยู่ในแถบเดียวกับเรา ไม่ว่าจะเป็นประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม ดังนั้นนักลงทุนที่ต้องการเข้ามาลงทุนช่วงนี้ จงเลือกหุ้นที่มี "พื้นฐานดี ราคาถูก ธุรกิจโตต่อเนื่อง จ่ายเงินปันผลตลอด"ไปเลือกจิ้มเลยเวลานี้ของดีของถูกมีเต็มตลาด
"เซียนหุ้นรายใหญ่" เตือนว่า เดือนก.ย.นี้ ถือเป็นเดือนที่ต้องรอดูความชัดเจนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ในประเทศซีเรีย และมาตรการ QE ส่วนปัจจัยภายในประเทศมีเรื่องเดียวที่ต้องติดตาม นั่นคือ การเมือง โดยเฉพาะกรณีการแก้กฎหมายนิรโทษกรรม รวมถึงการพิจารณาเรื่อง พ.ร.บ.กู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท หากตลาดหุ้นไทยรอดเดือนนี้ไปได้น่าจะ "ผ่านฉลุย"
"ซื้อหุ้นแพงผมไม่เคยกลัว แต่ขอให้ซื้อหุ้นแล้วขึ้นเป็นใช้ได้ ตลาดหุ้นไทยต้องอาศัยความเชื่อมั่น"
ถามว่าหุ้นกลุ่มไหนน่าสนใจ? เขาบอกว่า กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีกลุ่มนี้ราคาไม่ค่อยขึ้นเท่าไร หากย้อนดู 3 ปีก่อน กลุ่มพลังงานเป็นหุ้นที่ราคาไม่ไปไหน ทั้งๆที่ค่า P/E ต่ำ โดยเฉพาะหุ้นปตท. (PTT) ที่มีค่า P/E ประมาณ 8 เท่า ถือว่ายังต่ำกว่าค่า P/E ตลาด แต่ราคากลับไม่ขึ้น ใครอยากได้ช้อนเลย ตอนนี้กำลังมีข่าวที่กระทบต่อกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีพอดี
"ที่ผ่านมาส่วนตัวมีขายหุ้นออกไปแล้วค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในช่วงเดือนพ.ค.-มิ.ย.2566 ตอนนี้เหลือหุ้นอยู่ในพอร์ตประมาณ 20% เท่านั้น อยากรอดูความชัดเจนก่อน หากทุกอย่างโอเคจะกลับเข้ามาลงทุนใหม่"
"กว่าจะหาเงินสักบาทได้ในตลาดหุ้นมันช่างลำบากจริงๆ"
ด้าน "แพท-ภาววิทย์ กลิ่นประทุม" ในฐานะที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง เล่าว่า ตอนนี้หุ้นไทยอยู่ในช่วง "ปรับฐานครั้งใหญ่" หลังไม่ได้มีการปรับฐานรอบใหญ่ๆ มากกว่า 2 ปีแล้ว ฉะนั้นช่วงนี้ ถือเป็นโอกาสทอง ราคาหุ้นแต่ละตัวปรับลดลงมาต่ำกว่าพื้นฐานค่อนข้างมาก
"ทุกครั้งที่มีข่าวร้ายรุมล้อม หุ้นไทยมักตกแรงๆแบบนี้ละ"
หุ้นไทยน่าจะตกอยู่ในภาวะ "ผันผวน"อีกสักระยะ "ผมอยากให้นักลงทุนคิดบวกในช่วงที่ตลาดหุ้นแย่แบบนี้ หันมามองหาหุ้นที่มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นในอนาคต พื้นฐานดีๆ จ่ายเงินปันสม่ำเสมอน่าจะดีกว่า ส่วนนักลงทุนที่มีกำไรอยู่แล้วควรหาโอกาสขายทำกำไรอีกสักรอบ สิ้นปี 2556 ดัชนีน่าจะยืน 1,250 จุด จังหวะนี้ละดีมากหากจะเข้าไปลงทุน"
ถามถึงกลยุทธ์การลงทุนในช่วงตลาดหุ้นผันผวน "หนุ่มแพท" บอกว่า เลือกหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง อยากให้นักลงทุน "โฟกัส"เป็นรายธุรกิจ ดูบริษัทที่อนาคตน่าจะมีอัตรากำไรเติบโต และมีการจ่ายปันผลที่ดี
นักลงทุนควรแบ่งเงินมาลงหุ้น 80% มากขึ้นจากเดิมที่เคยแนะนำในสัดส่วน 70% แต่หากดัชนีลดลงไปยืน 1,200 จุด ให้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นเป็น 100% แต่ต้องอยู่ภายใต้การลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดี ผลประกอบการเติบโต "จงซื้อและถือยาว" เพื่อรอตลาดกลับมาอีกรอบ
"หุ้นที่มีความ "เปราะบาง" มากสุดในช่วงจังหวะนี้ น่าจะเป็น "กลุ่มอสังหาริมทรัพย์"เป็นหุ้นกลุ่มที่ควรจะเล่นรอบระยะสั้น ซื้อหุ้นราคาแพงก็ต้องซื้อและขายในราคาที่แพงกว่า"
"นิ้วโป้ง-อธิป กีรติพิชญ์" เซียนหุ้นวีไอหนึ่งในสมาชิก Stock2Morrow บอกว่า แม้ตลาดหุ้นจะมีแต่ข่าวร้าย "ห้อมล้อม" แต่หุ้นไทยยังมีความน่าสนใจเหมือนเดิม หากมีใจรักที่จะลงทุน ให้เลือกลงทุนที่มีพื้นฐานดีค่า P/E ต่ำๆ และอนาคตมีผลประกอบการขยายตัวต่อเนื่อง อยากให้นักลงทุนแบ่งเงินเก็บมาซื้อหุ้น คัดแต่หุ้นเกรด A ที่ราคาลงมา 30-40% เข้าพอร์ต
"ท่องไว้ในใจเสมอ หุ้นราคาแพงไม่ซื้อถูกแล้วค่อยซื้อ"
"ผมมองว่า ดัชนีจะยังคง "ผันผวน" ไปจนถึงไตรมาส 4/56 เพราะว่าทิศทางเงินทุนต่างชาติไหลออกชัดเจนมาก และยังไม่เห็นมีข่าวดีมาสนับสนุน ผมยังมองไม่ออกนะ สงสัยนักลงทุนต้องลองส่อง SET ช่วงหน้าหนาวดูบ้าง ฤดูกาลเก็บเกี่ยวหมดไปแล้ว และยังไม่รู้ว่าจะกลับมาอีกครั้งเมื่อไหร่"
เขาบอกว่า นักลงทุนหน้าใหม่ที่อยากจะเข้ามาลงทุน ตลาดหุ้นยังน่าสนใจ เขาย้ำ เลือกหุ้นที่ดี มีพื้นฐานแข็งแกร่งหากเข้ามาแล้วพอร์ตติดลบ ขอให้ติดหุ้นที่ "สมศักดิ์ศรี" ติดหุ้นที่มีพื้นฐานดี เวลาคนอื่นถามว่า ติดหุ้นตัวไหนอยู่จะได้ตอบได้ เมื่อเลือกหุ้นที่พื้นฐานดีแล้ว เขาจะมีเงินปันผลตอบแทนให้ทุกปี แม้ราคาหุ้นจะร่วงแต่ก็มีเงินปันผล
บรรยากาศการลงทุนแดงๆแบบนี้ ไม่อยากให้นักลงทุน "ตกใจ" ดัชนีลดลงเกิดจากปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก หลังนักลงทุนต่างชาติขนเงินกลับประเทศ แต่อัตราการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนหลายบริษัทยังดีอยู่ แถมยังสามารถจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลได้ต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่าบริษัทเหล่านี้มีการบริหารจัดการที่ดี
"อย่าไปลงทุนในหุ้นที่มีความอ่อนไหวตามปัจจัยในต่างประเทศ ราคาหล่นขนาดนี้เข้าไปเก็บนิดหน่อยพอ อาทิ กลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มค้าปลีก ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ และกลุ่มสื่อสาร กลุ่มเหล่านี้เน้นการพึ่งพาการบริโภคภายในประเทศทั้งหมด"
"หลิน" วีระพงษ์ ธัม เซียนหุ้นวีไอ ในฐานะหนึ่งในกรรมการสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) บอกว่า ตลาดหุ้น "ผันผวน"นี่แหละโอกาสดีในการเก็บหุ้น ที่ผ่านมาราคาหุ้นไทยลงมาแบบหน้ากระดาน หุ้นพื้นฐานดียังลง
ภาพรวมเศรษฐกิจภายในประเทศยังไม่มีอะไรเปลี่ยน ถือเป็นช่วงปรับสมดุลมากกว่า เชื่อว่าปี 2557 การบริโภคภายในประเทศจะกลับมา ปีหน้าทุกอย่างจะมีความชัดเจนมากขึ้น ส่งออกจะดีขึ้น ถ้าไม่มีอะไรเลวร้าย ยิ่งหากมีโครงการภาครัฐออกมาสนับสนุน อะไรๆน่าจะดีขึ้น
"หนุ่มหลิน" วิเคราะห์ว่า บรรยากาศการลงทุนช่วงนี้ เปรียบเหมือนตกอยู่ในภาวะตกใจ"หันซ้ายหันขวามีแต่คนขายหุ้น แทบไม่มีใครซื้อ" แต่ถ้ามองในทางกลับกันถือว่า เป็นโอกาสที่ดีของนักลงทุน ฉะนั้นควรแบ่งเงินมาซื้อหุ้น 60-70% สิ้นปีนี้ SET index น่าจะติดลบไม่เกิน 10% หรือยืนที่ระดับ 1,200 จุด
"หากหุ้นไทยลงมาอีกผมคงตาค้าง เพราะว่าหุ้นบางตัวพื้นฐานดีมาก แต่ราคากลับลงเกินปัจจัยพื้นฐาน"
ถามว่าหุ้นกลุ่มไหนยังมี "เสน่ห์" เขาบอกว่า กลุ่มที่มีการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ ถึงแม้จะมีการชะลอตัวการบริโภคลงบ้าง แต่เชื่อว่าทุกอย่างจะดีดกลับมา เพราะว่าทุกคนต้องมีการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน แต่หุ้นกลุ่มสินค้าราคาแพง เช่น บ้าน รถยนต์ หากเศรษฐกิจไม่เลวร้ายน่าจะกลับมาได้เช่นกัน
ฝั่ง "ป๋อง-สุกิจ อุดมศิริกุล" กรรมการผู้จัดการสายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) หรือ MBKET บอกว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในภาวะ "ผันผวน"ไปจนถึงปลายปีนี้หากไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุน ไม่มีโครงการของภาครัฐออกมา สิ้นปี 2556 ดัชนีน่ายืนระดับ 1,400 จุด แต่หากมีโครงการของภาครัฐออกมาตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับขึ้นไปมากกว่านี้
"เงินร้อนที่เข้ามาในตลาดหุ้นไทยเมื่อ 3-5 ปีก่อน ปัจจุบันไหลออกจากตลาดหุ้นไทยไปเยอะแล้ว เหลืออยู่ประมาณ 20,000 ล้านบาท ส่วนตัวเชื่อว่ายังมีโอกาสที่ต่างชาติจะขายออกอีก แต่คงไม่มากเหมือนที่ผ่านมา"
เขาแนะนำการลงทุนว่า ควรเลือกลงทุน "กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง" "กลุ่มธนาคาร" "กลุ่มสื่อสาร" นักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูงให้ลงทุนในตลาดหุ้นสัดส่วน 60-70% แต่ใครรับความเสี่ยงได้ต่ำลงแค่ 50% พอ
"ไตรมาส 3/56 น่าจะเป็นช่วงที่ราคาหุ้นต่ำสุด และไตรมาส 4/56 ดัชนีจะปรับตัวดีขึ้น ถือว่าปีนี้ราคาหุ้นผันผวนค่อนข้างเยอะ ปี 2557 น่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น และจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ" "สุกิจ" เชื่อเช่นนั้น
ด้าน "ต้น" เผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการเงินทุนบุคคล บริษัท หลักทรัพย์ กสิกรไทย บอกว่า ตลาดหุ้นไทยยังคง"น่าสนใจ" แต่อาจน้อยลงบ้าง เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและยุโรป เริ่มฟื้นตัวชัดเจน ทำให้เงินไหลกลับไปประเทศเหล่านั้นมากขึ้น
ถามว่า มองดัชนีปลายปี 56 เท่าไร บอกตามตรงทำนายไม่ถูก เพราะว่ามีปัจจัยหลายที่อาจส่งผลกระทบ แต่เท่าๆที่ดูอะไรหลายอย่างน่าจะฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 3 ตอนนี้เรามองข้ามไปถึงปี 2557 ตลาดหุ้นไทยน่าจะมีการฟื้นตัวจากปีนี้ เป้าหมายดัชนีปีหน้าจะอยู่ 1,550 จุด คิดจากค่า P/E 13 เท่า
"ทอม" ไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ ยังมองเป้าดัชนีสิ้นปี 2556 ที่ระดับ 1,550 จุด จากประสบการณ์ในช่วง 1-2 ปีก่อน พบว่า ดัชนีสามารถปรับขึ้นลงได้ 40-50 จุดในวันเดียว เหตุที่เชื่อเช่นนั้นเป็นเพราะพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนยังดีอยู่ แต่ติดที่ บรรยากาศการลงทุนเท่านั้น ขณะเดียวกันยังเชื่อว่า ช่วงครึ่งปีหลัง มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันน่าจะอ่อนตัวลงมาอยู่ที่ 45,000 ล้านบาท คาดว่าทั้งปีเฉลี่ยน่าจะอยู่ที่ 50,000 ล้านบาท
"กลยุทธ์ลงทุนช่วงนี้ จงทยอยซื้อสะสม โดยให้เลือกซื้อหุ้นพื้นฐานดีเท่านั้น"
"หากดัชนีลงมายืน 1,200 จุด ให้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นเป็น 100% แต่ต้องอยู่ภายใต้การลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดี" ภาววิทย์ กลินประทุม
"ต่อให้หุ้นไทยลงแรงแค่ไหน ความน่าสนใจยังมีอยู่ โดยเฉพาะในแง่ของผลตอบแทน" นิเวศน์ เหมวชิรวรากร--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, September 09, 2013 07:21
ดาริน โชสูงเนิน
ตลาดหุ้น "แดงเดือด" แต่ "มนต์เสน่ห์" ไม่เคยจางหาย "แปดเซียนขั้นเทพ" พร้อมใจหาจังหวะไล่กวาด "หุ้นดีราคาแสนถูก" โปรดเตรียมตังค์ให้พร้อม สิ้นปี 2556 ดัชนีอาจลงลึกถึง 1,200 จุด "เซียนหุ้นรายใหญ่" ว่าอย่างนั้น
8 เดือนผ่านมา (ม.ค.-ส.ค.) นักลงทุนต่างชาติสลัดหุ้นไทยทิ้งแล้วกว่า 110,000 ล้านบาท บางวัน SET INDEX แกว่งตัวหนักลดลง "กว่าร้อยจุด" ตลาดหุ้นส่อแววอาการน่าเป็นห่วงหนักขึ้นในช่วงเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา ด้วยการสร้างสถิติ "ต่ำสุด" ระดับ 1,338 จุด ณ วันที่ 25 มิ.ย.2556 หลังขึ้นไปสัมผัส "ยอดดอย" 1,649 จุด เมื่อวันที่ 21 พ.ค. ก่อนจะ "ทุบสถิติต่ำสุด" อีกครั้งที่ระดับ 1,260 จุด ในวันที่ 28 ส.ค.ที่ผ่านมา
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เตรียมผ่อนคลายมาตรการ QE หลังเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกา และยุโรปเริ่มฟื้นตัวชัดเจน ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) เมืองไทยถูกหลายหน่วยงานหั่นเป้าหมายเฉลี่ยเหลือ 4.5% หลังการบริโภคภายในประเทศส่อแววลดลง และความกังวลต่อวิกฤติซีเรีย เหตุผลเหล่านี้น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนต่างประเทศตัดสินใจทยอยขนเงินกลับบ้านเกิด
ช่วงตลาดหุ้นลงแรงต่อเนื่อง ผู้เกี่ยวข้องเดินสายเรียก "ขวัญกำลังใจ" เม่าน้อย-ใหญ่ ต่อเนื่อง ไล่มาตั้งแต่ "นก-จรัมพร โชติกเสถียร" กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ที่ออกมาตอกย้ำว่า นี่คือช่วงเวลาที่เหมาะสมของนักลงทุนระยะยาวในการเลือกหุ้นที่มีคุณภาพ และพื้นฐานดี หลังราคาหุ้นปรับตัวลดลงอย่างมาก พื้นฐานหุ้นไทยยังดีเห็นได้จากผลประกอบการไตรมาส 2/56 ของบริษัทจดทะเบียนที่ยังคงเติบโต และมีอัตราการจ่ายปันผลสูงถึง 3.5% ถือว่ามีผลตอบแทนมากกว่าการลงทุนในลักษณะอื่นๆ
แนวโน้มตลาดหุ้น 6 เดือนหลังของปีนี้ อยากให้นักลงทุนติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเตรียมปรับพอร์ตให้เหมาะสมกับเหตุการณ์ต่างๆ หลังมีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่าง โดยเฉพาะเศรษฐกิจโลก
"ประสาร ไตรรัตน์วรกุล" ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) บอกว่า หุ้นไทยปรับตัวลดลง ถือเป็นเรื่องปกติ ที่ผ่านมาตลาดหุ้นปรับขึ้นมาค่อนข้างสูง โดยมีปัจจัยในประเทศเป็นตัวผลักดัน ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มเติบโตที่ดี แถมยังได้ประโยชน์จากการปรับลดอัตราภาษีนิติบุคคลของภาครัฐ
ตอนนี้ "เงินร้อน" จากต่างประเทศอยู่ในเมืองไทยไม่มากนัก เห็นได้จากเม็ดเงินที่เข้ามาในตลาดตราสารหนี้ระยะสั้นมีจำนวนไม่สูง ส่วนใหญ่จะเข้ามาลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวที่มีอายุเฉลี่ย 4-5 ปี มากกว่า ตามติดด้วย "โต้ง-กิตติรัตน์ ณ ระนอง" รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง "นักลงทุนมืออาชีพคงเข้าใจความ "ผันผวน" ของตลาดหุ้น และอาจใช้จังหวะหุ้นร่วงซื้อสะสม เพื่อรอทำกำไรในช่วงตลาดหุ้นดีขึ้น หุ้นลงรอบนี้เกิดจากนักลงทุนต่างชาติระยะสั้น หรือ HOT MONEY เทขายหุ้น หลังกังวลเรื่องที่เฟดจะลดมาตรการ QE เมื่อคนเล่นสั้นหมดไปจะเหลือเพียงนักลงทุนระยะยาว เมื่อนั้นต่างชาติจะกลับมาซื้อหุ้นไทยอีกครั้งเร็วๆนี้น่าจะเห็น"
หุ้นไทยสวิงเช่นนี้ "เม่าน้อย" วางแผนลงทุนอย่างไรดี "กรุงเทพธุรกิจ BizWeek" ถามเรื่องนี้กับ "ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร"ผู้เผยแพร่แนวคิดการลงทุนแบบเน้นคุณค่าคนแรกในประเทศไทย (วีไอ)
"ผมคิดว่า ตลาดหุ้นลงแรงๆ แบบนี้ ถือเป็น "โอกาสทอง" ในการแสวงหาหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง ที่ไม่ถูกกระทบจากปัจจัยภายนอก ไปไล่ดูสิราคาหุ้นลดลงมาเยอะแล้ว ฉะนั้นหากเข้าไปลงทุนรับรองได้รับผลตอบแทนที่แสน "คุ้มค่า" เมื่อเวลาตลาดหุ้นดีดตัวกลับมา
"ต่อให้หุ้นไทยลงแรงแค่ไหน ความน่าสนใจยังมีอยู่ โดยเฉพาะในแง่ของผลตอบแทนที่ดีกว่าลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ"
ปลายปี 2556 ดัชนีน่าจะ "รีเทิร์น" กลับมาอีกครั้ง คงยืนราวๆ 1,200 จุด ถือเป็นจุดที่น่าเข้าไปลงทุนมากๆ แต่ช่วงนี้อาจมีปัจจัยหลายอย่างเข้ามากระทบตลาดหุ้น โดยเฉพาะเรื่องรอความชัดเจนมาตรการ QE ที่จะประชุมในวันที่ 17-18 ก.ย.นี้ รวมถึงปัจจัยทางการเมืองในกรณีการแก้กฎหมายนิรโทษกรรม รวมถึงการนำเรื่องพ.ร.บ.กู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท เข้าพิจารณาในรัฐสภา
"ดอกเตอร์" แนะนำหุ้นน่าลงทุนว่า กลุ่มที่มีการใช้จ่ายภายในประเทศเป็นหลัก ประเภทนี้น่าสนใจมาก ถึงแม้ว่าการบริโภคภายในประเทศจะส่งสัญญาณชะลอตัว อาทิ หุ้นกลุ่มค้าปลีก ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น หุ้นที่จะได้รับผลกระทบจากการบริโภคลดลงจะเป็นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มยานยนต์ หุ้นประเภทนี้จะถูกผู้บริโภคเลื่อนการใช้เงินออกไป เมื่อเศรษฐกิจไม่ดีมักถูกละไว้เป็นอันดับแรกๆ
ฟาก "เสี่ยป๋อง-วัชระ แก้วสว่าง" เซียนเทคนิค เชื่อว่า ตลาดหุ้นแบบนี้เหมาะมากในการหาจังหวะช้อนหุ้น บางตัวราคาลดลงเยอะมาก เมื่อเทียบกับพื้นฐานที่ดี
"ผมเองไม่ค่อยเข้าใจว่า หุ้นดีทำไมถึงลงได้มากขนาดนี้" ทั้งๆที่พื้นฐานเศรษฐกิจเมืองไทยยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงชัดเจน คุณลองไปดูผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หลายแห่งยังมีอัตราการเติบโตที่ดี แม้บางบริษัทจะมีผลประกอบการชะลอตัวบางในช่วงไตรมาส 2/56
หุ้นไทยยังเป็นตลาดที่น่าลงทุน อัตราส่วนราคาต่อกำไร หรือ ค่า P/E ยังต่ำกว่าประเทศอื่นที่อยู่ในแถบเดียวกับเรา ไม่ว่าจะเป็นประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม ดังนั้นนักลงทุนที่ต้องการเข้ามาลงทุนช่วงนี้ จงเลือกหุ้นที่มี "พื้นฐานดี ราคาถูก ธุรกิจโตต่อเนื่อง จ่ายเงินปันผลตลอด"ไปเลือกจิ้มเลยเวลานี้ของดีของถูกมีเต็มตลาด
"เซียนหุ้นรายใหญ่" เตือนว่า เดือนก.ย.นี้ ถือเป็นเดือนที่ต้องรอดูความชัดเจนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ในประเทศซีเรีย และมาตรการ QE ส่วนปัจจัยภายในประเทศมีเรื่องเดียวที่ต้องติดตาม นั่นคือ การเมือง โดยเฉพาะกรณีการแก้กฎหมายนิรโทษกรรม รวมถึงการพิจารณาเรื่อง พ.ร.บ.กู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท หากตลาดหุ้นไทยรอดเดือนนี้ไปได้น่าจะ "ผ่านฉลุย"
"ซื้อหุ้นแพงผมไม่เคยกลัว แต่ขอให้ซื้อหุ้นแล้วขึ้นเป็นใช้ได้ ตลาดหุ้นไทยต้องอาศัยความเชื่อมั่น"
ถามว่าหุ้นกลุ่มไหนน่าสนใจ? เขาบอกว่า กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีกลุ่มนี้ราคาไม่ค่อยขึ้นเท่าไร หากย้อนดู 3 ปีก่อน กลุ่มพลังงานเป็นหุ้นที่ราคาไม่ไปไหน ทั้งๆที่ค่า P/E ต่ำ โดยเฉพาะหุ้นปตท. (PTT) ที่มีค่า P/E ประมาณ 8 เท่า ถือว่ายังต่ำกว่าค่า P/E ตลาด แต่ราคากลับไม่ขึ้น ใครอยากได้ช้อนเลย ตอนนี้กำลังมีข่าวที่กระทบต่อกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีพอดี
"ที่ผ่านมาส่วนตัวมีขายหุ้นออกไปแล้วค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในช่วงเดือนพ.ค.-มิ.ย.2566 ตอนนี้เหลือหุ้นอยู่ในพอร์ตประมาณ 20% เท่านั้น อยากรอดูความชัดเจนก่อน หากทุกอย่างโอเคจะกลับเข้ามาลงทุนใหม่"
"กว่าจะหาเงินสักบาทได้ในตลาดหุ้นมันช่างลำบากจริงๆ"
ด้าน "แพท-ภาววิทย์ กลิ่นประทุม" ในฐานะที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง เล่าว่า ตอนนี้หุ้นไทยอยู่ในช่วง "ปรับฐานครั้งใหญ่" หลังไม่ได้มีการปรับฐานรอบใหญ่ๆ มากกว่า 2 ปีแล้ว ฉะนั้นช่วงนี้ ถือเป็นโอกาสทอง ราคาหุ้นแต่ละตัวปรับลดลงมาต่ำกว่าพื้นฐานค่อนข้างมาก
"ทุกครั้งที่มีข่าวร้ายรุมล้อม หุ้นไทยมักตกแรงๆแบบนี้ละ"
หุ้นไทยน่าจะตกอยู่ในภาวะ "ผันผวน"อีกสักระยะ "ผมอยากให้นักลงทุนคิดบวกในช่วงที่ตลาดหุ้นแย่แบบนี้ หันมามองหาหุ้นที่มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นในอนาคต พื้นฐานดีๆ จ่ายเงินปันสม่ำเสมอน่าจะดีกว่า ส่วนนักลงทุนที่มีกำไรอยู่แล้วควรหาโอกาสขายทำกำไรอีกสักรอบ สิ้นปี 2556 ดัชนีน่าจะยืน 1,250 จุด จังหวะนี้ละดีมากหากจะเข้าไปลงทุน"
ถามถึงกลยุทธ์การลงทุนในช่วงตลาดหุ้นผันผวน "หนุ่มแพท" บอกว่า เลือกหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง อยากให้นักลงทุน "โฟกัส"เป็นรายธุรกิจ ดูบริษัทที่อนาคตน่าจะมีอัตรากำไรเติบโต และมีการจ่ายปันผลที่ดี
นักลงทุนควรแบ่งเงินมาลงหุ้น 80% มากขึ้นจากเดิมที่เคยแนะนำในสัดส่วน 70% แต่หากดัชนีลดลงไปยืน 1,200 จุด ให้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นเป็น 100% แต่ต้องอยู่ภายใต้การลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดี ผลประกอบการเติบโต "จงซื้อและถือยาว" เพื่อรอตลาดกลับมาอีกรอบ
"หุ้นที่มีความ "เปราะบาง" มากสุดในช่วงจังหวะนี้ น่าจะเป็น "กลุ่มอสังหาริมทรัพย์"เป็นหุ้นกลุ่มที่ควรจะเล่นรอบระยะสั้น ซื้อหุ้นราคาแพงก็ต้องซื้อและขายในราคาที่แพงกว่า"
"นิ้วโป้ง-อธิป กีรติพิชญ์" เซียนหุ้นวีไอหนึ่งในสมาชิก Stock2Morrow บอกว่า แม้ตลาดหุ้นจะมีแต่ข่าวร้าย "ห้อมล้อม" แต่หุ้นไทยยังมีความน่าสนใจเหมือนเดิม หากมีใจรักที่จะลงทุน ให้เลือกลงทุนที่มีพื้นฐานดีค่า P/E ต่ำๆ และอนาคตมีผลประกอบการขยายตัวต่อเนื่อง อยากให้นักลงทุนแบ่งเงินเก็บมาซื้อหุ้น คัดแต่หุ้นเกรด A ที่ราคาลงมา 30-40% เข้าพอร์ต
"ท่องไว้ในใจเสมอ หุ้นราคาแพงไม่ซื้อถูกแล้วค่อยซื้อ"
"ผมมองว่า ดัชนีจะยังคง "ผันผวน" ไปจนถึงไตรมาส 4/56 เพราะว่าทิศทางเงินทุนต่างชาติไหลออกชัดเจนมาก และยังไม่เห็นมีข่าวดีมาสนับสนุน ผมยังมองไม่ออกนะ สงสัยนักลงทุนต้องลองส่อง SET ช่วงหน้าหนาวดูบ้าง ฤดูกาลเก็บเกี่ยวหมดไปแล้ว และยังไม่รู้ว่าจะกลับมาอีกครั้งเมื่อไหร่"
เขาบอกว่า นักลงทุนหน้าใหม่ที่อยากจะเข้ามาลงทุน ตลาดหุ้นยังน่าสนใจ เขาย้ำ เลือกหุ้นที่ดี มีพื้นฐานแข็งแกร่งหากเข้ามาแล้วพอร์ตติดลบ ขอให้ติดหุ้นที่ "สมศักดิ์ศรี" ติดหุ้นที่มีพื้นฐานดี เวลาคนอื่นถามว่า ติดหุ้นตัวไหนอยู่จะได้ตอบได้ เมื่อเลือกหุ้นที่พื้นฐานดีแล้ว เขาจะมีเงินปันผลตอบแทนให้ทุกปี แม้ราคาหุ้นจะร่วงแต่ก็มีเงินปันผล
บรรยากาศการลงทุนแดงๆแบบนี้ ไม่อยากให้นักลงทุน "ตกใจ" ดัชนีลดลงเกิดจากปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก หลังนักลงทุนต่างชาติขนเงินกลับประเทศ แต่อัตราการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนหลายบริษัทยังดีอยู่ แถมยังสามารถจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลได้ต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่าบริษัทเหล่านี้มีการบริหารจัดการที่ดี
"อย่าไปลงทุนในหุ้นที่มีความอ่อนไหวตามปัจจัยในต่างประเทศ ราคาหล่นขนาดนี้เข้าไปเก็บนิดหน่อยพอ อาทิ กลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มค้าปลีก ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ และกลุ่มสื่อสาร กลุ่มเหล่านี้เน้นการพึ่งพาการบริโภคภายในประเทศทั้งหมด"
"หลิน" วีระพงษ์ ธัม เซียนหุ้นวีไอ ในฐานะหนึ่งในกรรมการสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) บอกว่า ตลาดหุ้น "ผันผวน"นี่แหละโอกาสดีในการเก็บหุ้น ที่ผ่านมาราคาหุ้นไทยลงมาแบบหน้ากระดาน หุ้นพื้นฐานดียังลง
ภาพรวมเศรษฐกิจภายในประเทศยังไม่มีอะไรเปลี่ยน ถือเป็นช่วงปรับสมดุลมากกว่า เชื่อว่าปี 2557 การบริโภคภายในประเทศจะกลับมา ปีหน้าทุกอย่างจะมีความชัดเจนมากขึ้น ส่งออกจะดีขึ้น ถ้าไม่มีอะไรเลวร้าย ยิ่งหากมีโครงการภาครัฐออกมาสนับสนุน อะไรๆน่าจะดีขึ้น
"หนุ่มหลิน" วิเคราะห์ว่า บรรยากาศการลงทุนช่วงนี้ เปรียบเหมือนตกอยู่ในภาวะตกใจ"หันซ้ายหันขวามีแต่คนขายหุ้น แทบไม่มีใครซื้อ" แต่ถ้ามองในทางกลับกันถือว่า เป็นโอกาสที่ดีของนักลงทุน ฉะนั้นควรแบ่งเงินมาซื้อหุ้น 60-70% สิ้นปีนี้ SET index น่าจะติดลบไม่เกิน 10% หรือยืนที่ระดับ 1,200 จุด
"หากหุ้นไทยลงมาอีกผมคงตาค้าง เพราะว่าหุ้นบางตัวพื้นฐานดีมาก แต่ราคากลับลงเกินปัจจัยพื้นฐาน"
ถามว่าหุ้นกลุ่มไหนยังมี "เสน่ห์" เขาบอกว่า กลุ่มที่มีการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ ถึงแม้จะมีการชะลอตัวการบริโภคลงบ้าง แต่เชื่อว่าทุกอย่างจะดีดกลับมา เพราะว่าทุกคนต้องมีการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน แต่หุ้นกลุ่มสินค้าราคาแพง เช่น บ้าน รถยนต์ หากเศรษฐกิจไม่เลวร้ายน่าจะกลับมาได้เช่นกัน
ฝั่ง "ป๋อง-สุกิจ อุดมศิริกุล" กรรมการผู้จัดการสายงาน บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) หรือ MBKET บอกว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในภาวะ "ผันผวน"ไปจนถึงปลายปีนี้หากไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุน ไม่มีโครงการของภาครัฐออกมา สิ้นปี 2556 ดัชนีน่ายืนระดับ 1,400 จุด แต่หากมีโครงการของภาครัฐออกมาตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับขึ้นไปมากกว่านี้
"เงินร้อนที่เข้ามาในตลาดหุ้นไทยเมื่อ 3-5 ปีก่อน ปัจจุบันไหลออกจากตลาดหุ้นไทยไปเยอะแล้ว เหลืออยู่ประมาณ 20,000 ล้านบาท ส่วนตัวเชื่อว่ายังมีโอกาสที่ต่างชาติจะขายออกอีก แต่คงไม่มากเหมือนที่ผ่านมา"
เขาแนะนำการลงทุนว่า ควรเลือกลงทุน "กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง" "กลุ่มธนาคาร" "กลุ่มสื่อสาร" นักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูงให้ลงทุนในตลาดหุ้นสัดส่วน 60-70% แต่ใครรับความเสี่ยงได้ต่ำลงแค่ 50% พอ
"ไตรมาส 3/56 น่าจะเป็นช่วงที่ราคาหุ้นต่ำสุด และไตรมาส 4/56 ดัชนีจะปรับตัวดีขึ้น ถือว่าปีนี้ราคาหุ้นผันผวนค่อนข้างเยอะ ปี 2557 น่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น และจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ" "สุกิจ" เชื่อเช่นนั้น
ด้าน "ต้น" เผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการเงินทุนบุคคล บริษัท หลักทรัพย์ กสิกรไทย บอกว่า ตลาดหุ้นไทยยังคง"น่าสนใจ" แต่อาจน้อยลงบ้าง เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและยุโรป เริ่มฟื้นตัวชัดเจน ทำให้เงินไหลกลับไปประเทศเหล่านั้นมากขึ้น
ถามว่า มองดัชนีปลายปี 56 เท่าไร บอกตามตรงทำนายไม่ถูก เพราะว่ามีปัจจัยหลายที่อาจส่งผลกระทบ แต่เท่าๆที่ดูอะไรหลายอย่างน่าจะฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 3 ตอนนี้เรามองข้ามไปถึงปี 2557 ตลาดหุ้นไทยน่าจะมีการฟื้นตัวจากปีนี้ เป้าหมายดัชนีปีหน้าจะอยู่ 1,550 จุด คิดจากค่า P/E 13 เท่า
"ทอม" ไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ ยังมองเป้าดัชนีสิ้นปี 2556 ที่ระดับ 1,550 จุด จากประสบการณ์ในช่วง 1-2 ปีก่อน พบว่า ดัชนีสามารถปรับขึ้นลงได้ 40-50 จุดในวันเดียว เหตุที่เชื่อเช่นนั้นเป็นเพราะพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนยังดีอยู่ แต่ติดที่ บรรยากาศการลงทุนเท่านั้น ขณะเดียวกันยังเชื่อว่า ช่วงครึ่งปีหลัง มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันน่าจะอ่อนตัวลงมาอยู่ที่ 45,000 ล้านบาท คาดว่าทั้งปีเฉลี่ยน่าจะอยู่ที่ 50,000 ล้านบาท
"กลยุทธ์ลงทุนช่วงนี้ จงทยอยซื้อสะสม โดยให้เลือกซื้อหุ้นพื้นฐานดีเท่านั้น"
"หากดัชนีลงมายืน 1,200 จุด ให้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นเป็น 100% แต่ต้องอยู่ภายใต้การลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดี" ภาววิทย์ กลินประทุม
"ต่อให้หุ้นไทยลงแรงแค่ไหน ความน่าสนใจยังมีอยู่ โดยเฉพาะในแง่ของผลตอบแทน" นิเวศน์ เหมวชิรวรากร--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ