“โนเกีย”มีวันนี้เพราะ“สตีฟ จอบส์ “
โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ย. 07, 2013 8:47 am
“โนเกีย”มีวันนี้เพราะ“สตีฟ จอบส์ “
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 6 กันยายน 2556
อีกเดือนเดียวจะครบสองปีที่สตีฟ จอบส์ ผู้ก่อตั้งบริษัทแอปเปิลคอมพิวเตอร์ เสียชีวิต ผลงานอันยิ่งใหญ่ที่เป็นรูปธรรม
จากความคิดสร้างสรรค์ที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์โลกยุคปัจจุบันคือ ไอโฟน โทรศัพท์อัจฉริยะ หรือ สมาร์ทโฟน
ที่เปลี่ยนโฉมหน้าการติดต่อสื่อสาร การปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ไปโดยสิ้นเชิง
ความคิดสร้างสรรค์ของสตีฟ จอบส์ ทำลายความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรมที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
โนเกียเป็นเหยื่อรายล่าสุดที่ถูกทำลายด้วยความคิดสร้างสรรค์ของจอบส์ เมื่อประกาศอย่างเป็นทางการว่า
จะขายกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ให้ ไมโครซอฟต์ ในราคา 7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งในจำนวนนี้
เป็นค่าสิทธิบัตร เทคโนโลยีที่โนเกียจดทะเบียนไว้ 2 พันล้านเหรียญ
ในปี ค.ศ. 2000 ซึ่งเป็นปีที่โนเกียรุ่งเรืองที่สุด เป็นผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือใหญ่ที่สุดในโลก
ครองส่วนแบ่งตลาดโลกมากกว่า 1 ใน 4 มีมูลค่ากิจการถึง 300 พันล้านเหรียญ ในปีเดียวกันนั้น
แอปเปิลมีมูลค่าเพียง 6.5 พันล้านเหรียญ ต่างกันเกือบ 300 เท่า
วันนี้ แอปเปิลมีมูลค่า ประมาณ 445 พันล้านเหรียญ ขณะที่โนเกียถูกขายไปในราคาที่ต้องนับว่าถูกมาก
เพียง 7 พันล้านเหรียญ ภายในระยะเวลาเพียง 13 ปี ยักษ์ใหญ่ที่เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ทรงคุณค่ามากที่สุดของโลกแบรนด์หนึ่ง
และเป็นหนึ่งในความเป็นฟินแลนด์ ที่ใครๆ ต้องนึกถึงเมื่อเอ่ยชื่อประเทศนี้ ต้องปิดฉากอันยิ่งใหญ่ลง
หลังขายกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้กับไมโครซอฟต์ พร้อมกับโอนพนักงาน 32,000 คน
รวมทั้งซีอีโอ สตีเฟน อีล็อป ไปด้วย โนเกียก็จะเหลือแต่กิจการผลิตอุปกรณ์และเครือข่ายการสื่อสารไร้สายเท่านั้น
โนเกียมีอายุเก่าแก่นานถึง 148 ปี โดยก่อตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1865 เป็นโรงงานผลิตเยื่อกระดาษ ทางตอนใต้ของฟินแลนด์
และเปลี่ยนไปผลิตรองเท้าบู๊ตที่ทำจากยาง ในตอนต้นศตวรรษที่ 20
อีก 63 ปีต่อมา โนเกียถึงจะก้าวเข้าสู่ธุรกิจโทรคมนาคม โดยเป็นผู้ผลิตวิทยุโทรศัพท์ที่ใช้ในกองทัพ
ด้วยการควบกิจการกับ บริษัทฟินนิช เคเบิล เวิร์ก ที่ทำธุรกิจนี้อยู่แล้ว
โนเกียผลิตโทรศัพท์เคลื่อนที่ติดตั้งในรถยนต์เครื่องแรก Mobira Senator เมื่อปี 1982
หนึ่งปีหลังจากสร้างเครือข่าย Nordic Mobile Telephone หรือ NMT ซึ่งเป็นเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่
ระหว่างประเทศเครือข่ายแรกของโลก และเปิดตัวโทรศัพท์มือถือเครื่องแรก Mobira City Man ในปี 1987
โนเกียเริ่มหันมาเน้นธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่อย่างจริงจังในปี 1992 หลังจากที่ก่อนหน้านั้น
ไปเทคโอเวอร์โรงงานผลิตเครื่องรับโทรทัศน์ในยุโรปมาแต่ไม่ประสบความสำเร็จ โนเกียประสบความสำเร็จอย่างสูง
ในตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ สามารถก้าวขึ้นเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดในโลก
และโทรศัพท์โนเกียเป็นโทรศัพท์ขายดีอันดับหนึ่งของโลกติดต่อกัน 13 ปี
จนกระทั่งแอปเปิลนำไอโฟนออกสู่ตลาดเป็นครั้งแรก ในปี 2007 นั่นแหละ
ที่การปฏิวัติเทคโนโลยี่การสื่อสารในระดับบุคคลได้เริ่มขึ้น และขยายตัว สร้างผลสะเทือนอย่างรุนแรงมากขึ้นเป็นลำดับ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อซัมซุง นำสมาร์ทโฟนในระบบแอนดรอยด์ ออกมาแข่งกับไอโฟน ซึ่งใช้ระบบโอแอส
ที่แอปเปิลผลิตเอง ทำให้โทรศัพท์เคลื่อนที่โนเกีย ซึ่งเพียงไม่กี่ปีก่อนหน้านี้เอง
คืออุปกรณ์สื่อสารที่แสดงถึงสถานะทางสังคมของผู้ใช้ กลายเป็นวัตถุล้าสมัยไปในพริบตา
ความจริงแล้ว โนเกียผลิตสมาร์ทโฟนออกมาก่อนเพื่อน เพราะ ผู้บริหารโนเกียคาดการณ์ว่า
รายได้จากโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบพื้นฐานจะลดลงไปเรื่อย ๆ และเมื่อถึงปี 2000 จะไม่มีกำไรเลย
ดังน้น จึงได้ลงทุนวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีอีเมล์ที่ใช้กับโทรศัพท์เคลื่อนที่จอสัมผัส หรือ ทัชสกรีน และ
เครือข่ายไร้สายที่เร็วขึ้นในตอนต้นทศวรรษ 1990 และนำสมาร์ทโฟนเครื่องแรกคือ
โนเกีย 9000 ออกสู่ตลาดในปี 1996 สิบปีก่อนที่ไอโฟนจะเกิด
แต่ผู้ถือหุ้นในขณะนั้นพอใจกับผลกำไรจากการขายโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบธรรมดา
และเห็นว่าโนเกียไม่ควรลงทุนกับสมาร์ทโฟน เพราะเป็นโทรศัพท์ที่มีราคาแพงสำหรับตลาดบนซึ่งมีผู้ใช้น้อยมาก
ประกอบกับในขณะนั้นโมโตโรล่าซึ่งเป็นคู่แข่งจากอเมริกา นำโทรศัพท์รุ่น Razr ซึ่งบางและมีฝาเปิดปิดออกสู่ตลาด
ได้รับความนิยมอย่างมาก ทำให้ผู้บิรหารโนเกียถูกผู้ถือหุ้นตำหนิ ซีอีโอคนเก่าลาออกไป
ซีอีโอคนใหม่ที่มาจากฝ่ายการเงินของโนเกีย เปลี่ยนยุทธศาสตร์ใหม่
โดยนำเอาฟังก์ชั่นบางอย่างของสมาร์ทโนฟมาใส่ไว้ในโทรศัพท์แบบธรรมดา
และหยุดการพัฒนาสมาร์ทโฟน ซึ่งยุทธศาสตร์ใหม่นี้ประสบความสำเร็จ ทำให้โนเกียเป็นโทรศัพท์ขายดีที่สุดในโลก
จนกระทั่งสตีฟ จอบส์ แนะนำไอโฟนให้โลกรู้จักเป็นครั้งแรก เมื่อ 6 ปีก่อน โนเกียก็เริ่มนับถอยหลัง
ถึงแม้ว่าจะพยายามพัฒนาสมาร์ทโฟนของตนขึ้นมาแข่งขันแต่ก็ไล่ไม่ทันแล้ว
สองปีที่แล้ว โนเกียเลิกใช้ระบบปฏิบัติการซิมเบียนที่พัฒนาเอง หันไปจับมือกับไมโครซอฟต์ ใช้ระบบวินโดวส์
เป็นระบบปฏิบัติการของสมาร์ทโฟนแทน“ลูเมีย” ซึ่งเป็นสมาร์ทโฟนของโนเกีย แม้จะมีคุณสมบัติในการใข้งานที่ดี
แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับความนิยมและยอดขายของซัมซุงและไอโฟนได้เลย
ไมโครซอฟต์เองก็เป็นเหยื่อของความคิดสร้างสรรค์ของสตีฟ จอบส์ แบบเดียวกับโนเกีย
เพราะเมื่อสตีฟ จอบส์ ทำให้ไอโฟน เป็นคอมพิวเตอร์เคลื่อนที่และพัฒนาไอแพดขึ้นมาอีกตัวหนึ่ง
ก็รุกคืบเข้าไปกินส่วนแบ่งตลาดของคอมพิวเตอร์พีซี และโน้ตบุ๊กที่ไมโครซอฟต์ผูกขาดซอฟต์แวร์มานานหลายสิบปี
ไมโครซอฟต์ต้องหารายได้ใหม่มาแทนรายได้จากซอฟต์แวร์ที่แม้จะยังมากอยู่ แต่อนาคตนั้นไม่แน่ การซื้อโนเกีย
ทำให้ไมโครซอฟต์ซึ่งเดิมอยู่ในธุรกิจซอฟต์แวร์อย่างเดียว ก้าวไปสู่ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ด้วยเหมือนกับแอปเปิ้ล
เพื่อจะผลิตสมาร์ทโฟน แทบเล็ต และเครื่องมือสื่อสารแบบเคลื่อนที่อื่นๆ อยู่ที่ว่า
จะแข่งขันได้และไล่ทันแอปเปิลหรือซัมซุงซึ่งล่วงหน้าไปไกลแล้วหรือไม่
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 6 กันยายน 2556
อีกเดือนเดียวจะครบสองปีที่สตีฟ จอบส์ ผู้ก่อตั้งบริษัทแอปเปิลคอมพิวเตอร์ เสียชีวิต ผลงานอันยิ่งใหญ่ที่เป็นรูปธรรม
จากความคิดสร้างสรรค์ที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์โลกยุคปัจจุบันคือ ไอโฟน โทรศัพท์อัจฉริยะ หรือ สมาร์ทโฟน
ที่เปลี่ยนโฉมหน้าการติดต่อสื่อสาร การปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ไปโดยสิ้นเชิง
ความคิดสร้างสรรค์ของสตีฟ จอบส์ ทำลายความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรมที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
โนเกียเป็นเหยื่อรายล่าสุดที่ถูกทำลายด้วยความคิดสร้างสรรค์ของจอบส์ เมื่อประกาศอย่างเป็นทางการว่า
จะขายกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ให้ ไมโครซอฟต์ ในราคา 7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งในจำนวนนี้
เป็นค่าสิทธิบัตร เทคโนโลยีที่โนเกียจดทะเบียนไว้ 2 พันล้านเหรียญ
ในปี ค.ศ. 2000 ซึ่งเป็นปีที่โนเกียรุ่งเรืองที่สุด เป็นผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือใหญ่ที่สุดในโลก
ครองส่วนแบ่งตลาดโลกมากกว่า 1 ใน 4 มีมูลค่ากิจการถึง 300 พันล้านเหรียญ ในปีเดียวกันนั้น
แอปเปิลมีมูลค่าเพียง 6.5 พันล้านเหรียญ ต่างกันเกือบ 300 เท่า
วันนี้ แอปเปิลมีมูลค่า ประมาณ 445 พันล้านเหรียญ ขณะที่โนเกียถูกขายไปในราคาที่ต้องนับว่าถูกมาก
เพียง 7 พันล้านเหรียญ ภายในระยะเวลาเพียง 13 ปี ยักษ์ใหญ่ที่เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ทรงคุณค่ามากที่สุดของโลกแบรนด์หนึ่ง
และเป็นหนึ่งในความเป็นฟินแลนด์ ที่ใครๆ ต้องนึกถึงเมื่อเอ่ยชื่อประเทศนี้ ต้องปิดฉากอันยิ่งใหญ่ลง
หลังขายกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้กับไมโครซอฟต์ พร้อมกับโอนพนักงาน 32,000 คน
รวมทั้งซีอีโอ สตีเฟน อีล็อป ไปด้วย โนเกียก็จะเหลือแต่กิจการผลิตอุปกรณ์และเครือข่ายการสื่อสารไร้สายเท่านั้น
โนเกียมีอายุเก่าแก่นานถึง 148 ปี โดยก่อตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1865 เป็นโรงงานผลิตเยื่อกระดาษ ทางตอนใต้ของฟินแลนด์
และเปลี่ยนไปผลิตรองเท้าบู๊ตที่ทำจากยาง ในตอนต้นศตวรรษที่ 20
อีก 63 ปีต่อมา โนเกียถึงจะก้าวเข้าสู่ธุรกิจโทรคมนาคม โดยเป็นผู้ผลิตวิทยุโทรศัพท์ที่ใช้ในกองทัพ
ด้วยการควบกิจการกับ บริษัทฟินนิช เคเบิล เวิร์ก ที่ทำธุรกิจนี้อยู่แล้ว
โนเกียผลิตโทรศัพท์เคลื่อนที่ติดตั้งในรถยนต์เครื่องแรก Mobira Senator เมื่อปี 1982
หนึ่งปีหลังจากสร้างเครือข่าย Nordic Mobile Telephone หรือ NMT ซึ่งเป็นเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่
ระหว่างประเทศเครือข่ายแรกของโลก และเปิดตัวโทรศัพท์มือถือเครื่องแรก Mobira City Man ในปี 1987
โนเกียเริ่มหันมาเน้นธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่อย่างจริงจังในปี 1992 หลังจากที่ก่อนหน้านั้น
ไปเทคโอเวอร์โรงงานผลิตเครื่องรับโทรทัศน์ในยุโรปมาแต่ไม่ประสบความสำเร็จ โนเกียประสบความสำเร็จอย่างสูง
ในตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ สามารถก้าวขึ้นเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดในโลก
และโทรศัพท์โนเกียเป็นโทรศัพท์ขายดีอันดับหนึ่งของโลกติดต่อกัน 13 ปี
จนกระทั่งแอปเปิลนำไอโฟนออกสู่ตลาดเป็นครั้งแรก ในปี 2007 นั่นแหละ
ที่การปฏิวัติเทคโนโลยี่การสื่อสารในระดับบุคคลได้เริ่มขึ้น และขยายตัว สร้างผลสะเทือนอย่างรุนแรงมากขึ้นเป็นลำดับ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อซัมซุง นำสมาร์ทโฟนในระบบแอนดรอยด์ ออกมาแข่งกับไอโฟน ซึ่งใช้ระบบโอแอส
ที่แอปเปิลผลิตเอง ทำให้โทรศัพท์เคลื่อนที่โนเกีย ซึ่งเพียงไม่กี่ปีก่อนหน้านี้เอง
คืออุปกรณ์สื่อสารที่แสดงถึงสถานะทางสังคมของผู้ใช้ กลายเป็นวัตถุล้าสมัยไปในพริบตา
ความจริงแล้ว โนเกียผลิตสมาร์ทโฟนออกมาก่อนเพื่อน เพราะ ผู้บริหารโนเกียคาดการณ์ว่า
รายได้จากโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบพื้นฐานจะลดลงไปเรื่อย ๆ และเมื่อถึงปี 2000 จะไม่มีกำไรเลย
ดังน้น จึงได้ลงทุนวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีอีเมล์ที่ใช้กับโทรศัพท์เคลื่อนที่จอสัมผัส หรือ ทัชสกรีน และ
เครือข่ายไร้สายที่เร็วขึ้นในตอนต้นทศวรรษ 1990 และนำสมาร์ทโฟนเครื่องแรกคือ
โนเกีย 9000 ออกสู่ตลาดในปี 1996 สิบปีก่อนที่ไอโฟนจะเกิด
แต่ผู้ถือหุ้นในขณะนั้นพอใจกับผลกำไรจากการขายโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบธรรมดา
และเห็นว่าโนเกียไม่ควรลงทุนกับสมาร์ทโฟน เพราะเป็นโทรศัพท์ที่มีราคาแพงสำหรับตลาดบนซึ่งมีผู้ใช้น้อยมาก
ประกอบกับในขณะนั้นโมโตโรล่าซึ่งเป็นคู่แข่งจากอเมริกา นำโทรศัพท์รุ่น Razr ซึ่งบางและมีฝาเปิดปิดออกสู่ตลาด
ได้รับความนิยมอย่างมาก ทำให้ผู้บิรหารโนเกียถูกผู้ถือหุ้นตำหนิ ซีอีโอคนเก่าลาออกไป
ซีอีโอคนใหม่ที่มาจากฝ่ายการเงินของโนเกีย เปลี่ยนยุทธศาสตร์ใหม่
โดยนำเอาฟังก์ชั่นบางอย่างของสมาร์ทโนฟมาใส่ไว้ในโทรศัพท์แบบธรรมดา
และหยุดการพัฒนาสมาร์ทโฟน ซึ่งยุทธศาสตร์ใหม่นี้ประสบความสำเร็จ ทำให้โนเกียเป็นโทรศัพท์ขายดีที่สุดในโลก
จนกระทั่งสตีฟ จอบส์ แนะนำไอโฟนให้โลกรู้จักเป็นครั้งแรก เมื่อ 6 ปีก่อน โนเกียก็เริ่มนับถอยหลัง
ถึงแม้ว่าจะพยายามพัฒนาสมาร์ทโฟนของตนขึ้นมาแข่งขันแต่ก็ไล่ไม่ทันแล้ว
สองปีที่แล้ว โนเกียเลิกใช้ระบบปฏิบัติการซิมเบียนที่พัฒนาเอง หันไปจับมือกับไมโครซอฟต์ ใช้ระบบวินโดวส์
เป็นระบบปฏิบัติการของสมาร์ทโฟนแทน“ลูเมีย” ซึ่งเป็นสมาร์ทโฟนของโนเกีย แม้จะมีคุณสมบัติในการใข้งานที่ดี
แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับความนิยมและยอดขายของซัมซุงและไอโฟนได้เลย
ไมโครซอฟต์เองก็เป็นเหยื่อของความคิดสร้างสรรค์ของสตีฟ จอบส์ แบบเดียวกับโนเกีย
เพราะเมื่อสตีฟ จอบส์ ทำให้ไอโฟน เป็นคอมพิวเตอร์เคลื่อนที่และพัฒนาไอแพดขึ้นมาอีกตัวหนึ่ง
ก็รุกคืบเข้าไปกินส่วนแบ่งตลาดของคอมพิวเตอร์พีซี และโน้ตบุ๊กที่ไมโครซอฟต์ผูกขาดซอฟต์แวร์มานานหลายสิบปี
ไมโครซอฟต์ต้องหารายได้ใหม่มาแทนรายได้จากซอฟต์แวร์ที่แม้จะยังมากอยู่ แต่อนาคตนั้นไม่แน่ การซื้อโนเกีย
ทำให้ไมโครซอฟต์ซึ่งเดิมอยู่ในธุรกิจซอฟต์แวร์อย่างเดียว ก้าวไปสู่ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ด้วยเหมือนกับแอปเปิ้ล
เพื่อจะผลิตสมาร์ทโฟน แทบเล็ต และเครื่องมือสื่อสารแบบเคลื่อนที่อื่นๆ อยู่ที่ว่า
จะแข่งขันได้และไล่ทันแอปเปิลหรือซัมซุงซึ่งล่วงหน้าไปไกลแล้วหรือไม่