เทคโนทำลายล้าง/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม

โพสต์ โพสต์
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1593
ผู้ติดตาม: 2

เทคโนทำลายล้าง/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 1

โพสต์

โค้ด: เลือกทั้งหมด

โลกในมุมมองของ Value Investor      10 สิงหาคม 56
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เทคโนทำลายล้าง

	กิจการบางแห่งที่เคยแข็งแกร่งมากจนดูเหมือนว่ามันจะ “ไม่มีวันแพ้” และก็ไม่มีใครเคยคิดว่าจะถดถอยได้ในเร็ววันนั้น  ณ. ขณะนี้ดูเหมือนว่าชะตากรรมจะเปลี่ยนไป  ความรุ่งเรืองในอดีตตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว  หลาย ๆ  บริษัทอาจจะต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดในระยะยาว  ไม่ต้องพูดถึงว่าจะเจริญเติบโตต่อเนื่องอย่างที่เคยเป็น  “ความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างยั่งยืน”  หรือ DCA ที่บริษัทเคยมีเหนือคู่แข่งในอุตสาหกรรมนั้น  บริษัทก็ยังมีอยู่  แต่ว่า  “คู่แข่งใหม่” ที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ที่เกิดขึ้น  หรือสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วในปัจจุบันทำให้ DCA ของบริษัทหมดความหมายลง  “เกมการแข่งขัน” หรือ “การต่อสู้”  ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วนี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากการเกิดขึ้นใหม่หรือการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับข้อมูลและการสื่อสารที่กำลัง  “ปฏิวัติโลก”  อย่างที่เราอาจจะ  “ไม่รู้ตัว”  และผมก็เริ่มที่จะตระหนักถึงเรื่องนี้เมื่อได้ดู  “เทป” เดี่ยว 10 ของ โน้ต อุดม แต้พานิช ที่พูดถึงว่าเรา – คนที่มีอายุมาก-  จะสอนลูกหลานอย่างไร  ในเมื่อสิ่งต่าง ๆ  ที่เรารู้  กลายเป็นสิ่งที่ล้าสมัย  สิ่งต่าง ๆ  ที่เด็กรุ่นใหม่ที่เกิดในยุคดิจิตอล 1000% จะต้องเรียนรู้นั้น  ทั้งหมดอยู่ใน “กูเกิ้ล”
	ลองนึกถึงร้านขายหนังสือที่ใหญ่และเข้มแข็งที่สุดอย่างร้านบาร์นแอนด์โนเบิลที่เราอาจจะเคยคิดว่าน่าจะเป็นธุรกิจที่ดีเพราะในโลกยุคใหม่นั้นคนต้องค้นคว้าหาความรู้มากขึ้นเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน  การที่บริษัทมีร้านค้าเครือข่ายมากมายย่อมได้เปรียบในเรื่องของต้นทุนรวมถึงทำเลที่เหมาะสมกว่าคู่แข่งประกอบกับชื่อเสียงและผลการดำเนินงานที่มีมาช้านานใครจะคิดว่ามันจะตกต่ำลงได้อย่างรวดเร็วและพ่ายแพ้ต่อคู่แข่งรายใหม่ที่เพิ่งเข้าสู่ธุรกิจมาไม่กี่ปี  แต่แล้วอเมซอนซึ่งขายหนังสือผ่านทางอินเตอร์เน็ตและขายหนังสือที่เป็น E-Book ซึ่งเป็นข้อมูลอิเลคโทรนิคก็เข้ายึดกุมธุรกิจหนังสือได้อย่างรวดเร็วในอเมริกาและอาจจะค่อย ๆ ลามไปในประเทศอื่น   ในเมืองไทยเองนั้น  แม้ว่าการขายหนังสือผ่านทางอินเตอร์เน็ตและหนังสือ E-Book อาจจะยังใช้เวลาอีกหลาย ๆ  ปี ที่จะเข้ามาแทนที่หนังสือเล่ม  แต่ผลกระทบจากการที่คนรุ่นใหม่เริ่มใช้เวลาอ่านข้อมูลอย่างอื่นในอินเตอร์เน็ตมากขึ้นแทนที่จะอ่านหนังสือเล่มก็ทำให้ธุรกิจหนังสือดูเหมือนว่าจะโตช้าลงมากหรืออาจจะไม่โตเลย  นี่ทำให้ธุรกิจขายหนังสือที่เมื่อเร็ว ๆ นี้ก็ยังเป็นธุรกิจที่โตเร็วและมีบริษัทที่เข้มแข็งเป็น  “ผู้ชนะ”  กลายเป็นบริษัทที่อาจจะต้องปรับตัวอย่างมากเพื่อที่จะรักษาผลการดำเนินงานของบริษัทในอนาคต   นี่เป็นผลจาก  “การทำลายล้างของเทคโนโลยี” เรื่องแรก
	ธุรกิจที่ผลิตและ/หรือขายสินค้าที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีนั้น  น่าจะเป็นผู้ที่รับผลจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีรุนแรงที่สุด  เราเห็นความรุ่งเรืองและการดับสลายของสินค้าต่าง ๆ  เร็วมากจนไม่น่าเชื่อ  เช่นเดียวกับบริษัทที่เป็นผู้ผลิตคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ ๆ   ไล่ตั้งแต่เรื่องของโทรศัพท์มือถือของโมโตโรล่า  ถึงโนเกีย  และถึงโทรศัพท์มือถือ “สมาร์ทโฟน” ของแบล็กเบอร์รี่จนถึงแอปเปิลและซัมซุง  เราเห็นเครื่องเล่นดนตรีติดตัววอล์คแมนของโซนี่ที่ล้าสมัยไปเพราะเครื่อง  ไอพอด ของแอปเปิล ที่ก็ล้าสมัยไปเช่นเดียวกัน  แต่ที่หนักที่สุดน่าจะเป็นการตกต่ำลงของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เริ่มจากเครื่องตั้งโต๊ะ  เครื่องโน้ตบุ้ค  มาจนถึงเครื่องแบบแท็บเล็ตที่ต้องพึ่งพิงระบบของโทรศัพท์เคลื่อนที่หรืออินเตอร์เน็ตไร้สายเป็นหลัก  ในด้านของเวบไซ้ต์ค้นหาเองนั้น  ในอดีตเรามียะฮูซึ่งก็ถูกทำลายโดยกูเกิลซึ่งดูเหมือนว่ากำลังจะ “สยายปีก”  ครอบงำธุรกิจอย่างที่ยากที่ใครจะท้าทายได้ง่าย   อย่างไรก็ตาม  เรื่องของเทคโนโลยีนั้น  ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต  ในเมืองไทยเองนั้น  กิจการที่อาจจะเป็น “เหยื่อ” รายแรก ๆ  ของการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีกลุ่มนี้ก็คือผู้ขายเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อาจจะต้องปรับตัวอย่างมากที่จะรักษาผลประกอบการของตนเองไว้ให้ได้
	ธุรกิจบันเทิงและทีวีเป็นธุรกิจอีกกลุ่มหนึ่งที่ถูกกระทบมาระดับหนึ่งแล้วและน่าจะกำลังถูกกระทบอย่างแรงในเร็ว ๆ  นี้  ก่อนหน้านี้ธุรกิจขายเทปล่มสลายไปเช่นเดียวกับแผ่นซีดีที่มียอดขายลดลงเรื่อย ๆ เนื่องจากการเกิดขึ้นของการโหลดเพลงผ่านระบบอินเตอร์เน็ตอันทรงประสิทธิภาพ  การเกิดขึ้นของทีวีดิจิตอลและทีวีผ่านระบบสายและไร้สายต่าง ๆ  ทั้งที่มีอยู่แล้วและอาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคตทำให้ธุรกิจทีวีที่ใช้คลื่นแบบอานาล็อกอยู่ในสภาพที่ไม่แน่นอนและมีอันตรายเป็นอย่างยิ่งที่จะ  “ถูกทำลาย”  โดยเทคโนโลยีใหม่ที่มีอานุภาพในการทำลายล้างสูง
	อุตสาหกรรมบางอย่างเช่นพลังงานนั้น  ในอดีตเราไม่ใคร่จะนึกว่ามันอาจจะถูกกระทบโดยเทคโนโลยีใหม่ได้  ถ้าจะมีผลก็บ้างก็เป็นเรื่องของผลกระทบด้านบวกที่ว่าเทคโนโลยีใหม่ทำให้การขุดค้นหาพลังงานนั้นมีประสิทธิภาพสูงขึ้นและสามารถช่วยลดต้นทุนของกิจการได้  อย่างไรก็ตาม  การเกิดขึ้นของเทคโนโลยีการขุดเจาะและนำเชลแก๊สขึ้นมาใช้ในอเมริกานั้น   ว่ากันว่าทำให้ธุรกิจถ่านหินประสบปัญหาเนื่องจากเชลแก๊สมีราคาถูกกว่าถ่านหินและสะอาดกว่า  ทำให้ความต้องการถ่านหินลดลงส่งผลให้ราคาถ่านหินลดลงและอาจจะต่อเนื่องไปนาน  ผลก็คือ  หุ้นของบริษัทผลิตถ่านหินตกลงมาอย่างหนักราวกับว่ามันเป็นธุรกิจตะวันตกดินทั้ง ๆ  ที่ครั้งหนึ่งมันเป็นธุรกิจดาวรุ่งเนื่องจากความกลัวที่ว่าน้ำมันจะ “หมดโลก”  และมีราคาแพงขึ้นเรื่อย ๆ  ในช่วงก่อนหน้านี้
	ผู้ผลิตเทคโนโลยีใหม่ที่สามารถทำลายล้างเทคโนโลยีเก่าสำเร็จนั้น  มักจะเจริญรุ่งเรืองกิจการมีกำไรก้าวกระโดด  หลาย ๆ  บริษัทกลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่มหึมาในช่วงเวลาหนึ่ง  แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็มักจะมีผู้ผลิตรายอื่นพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ขึ้นมาเพื่อที่จะทำลายเทคโนโลยีที่เคยเป็นผู้ชนะ   ผลที่ตามมาก็คือ  บริษัทที่รุ่งเรืองตกต่ำลงมากมาย  บางทีแทบจะล้มละลาย  ดังนั้น  ชัยชนะของผู้ผลิตเทคโนโลยีจึงไม่แน่นอนมีขึ้นมีลง  บางทีก็เร็วมาก   อย่างไรก็ตาม  คนที่มักจะได้ประโยชน์อยู่เสมอจากการพัฒนาของเทคโนโลยีก็คือ  “ผู้ใช้” ที่จะสามารถนำเทคโนโลยีมาปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำงาน  ไม่ว่าจะเป็นการลดต้นทุนหรือพัฒนาคุณภาพของสินค้าหรือบริการของตนเอง
	ผู้ใช้เทคโนโลยีที่น่าจะได้ประโยชน์มากที่สุดกลุ่มหนึ่งก็คือ  ผู้ให้บริการที่ต้องใช้คนจำนวนมาก  นี่อาจจะรวมถึงกิจการบริการทางการเงินทั้งหลาย  เช่น  ธนาคาร  บริษัทการเงินที่ให้บริการแก่ผู้บริโภคจำนวนเป็นล้าน ๆ  ราย   หรือกิจการค้าปลีกขนาดใหญ่อย่างเช่นร้านซุปเปอร์สโตร์อย่างวอลมาร์ท ที่ต้องให้บริการคนทั้งประเทศและใช้พนักงานนับล้านคน เป็นต้น    ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี  ทำให้กิจการเหล่านี้สามารถลดต้นทุนการดำเนินงานลงได้มหาศาลและสามารถให้บริการที่มีคุณภาพมากขึ้น    ทำให้ผลประกอบการดีขึ้นโดยไม่ต้องเสี่ยงอะไรเลย  ตัวอย่างของธุรกิจการเงินที่เห็นก็คือระบบเครื่อง ATM และอินเตอร์เน็ตหรือโฟนแบ้งกิ้งที่ลดภาระงานของพนักงานธนาคารไปจำนวนมาก  ในด้านของพวกร้านค้าปลีกสมัยใหม่ก็คือ  ระบบบาร์โค้ดที่ลดภาระงานและเพิ่มความรวดเร็วให้แก่การคิดเงินค่าสินค้าของพนักงานแคชเชียร์  นอกจากนั้น  ระบบการ  “ให้ลูกค้าคิดเงินเอง”  ที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นในประเทศพัฒนาแล้วก็น่าจะเป็น “คลื่น” ลูกต่อไปที่จะช่วยลดต้นทุนของผู้ค้าปลีกขนาดใหญ่
	ประเด็นของเทคโนโลยีนั้น  เป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาเหมือนกันว่ามันจะไปทางไหน   อย่างไรก็ตาม  โดยการวิเคราะห์อุตสาหกรรม  เราก็พอจะบอกได้เหมือนกันว่าบริษัทหรือหุ้นที่เราดูอยู่นั้นมีโอกาสที่จะถูกทำลาย  หรือมีโอกาสที่จะได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี  เราเองคงต้องการแบบหลัง  และถึงแม้ว่ามันจะเป็นอย่างนั้นเราก็คงไม่ให้คุณค่ากับมัน    แต่ถ้าจะดีที่สุดก็คือ  ผมอยากได้ธุรกิจที่จะไม่ถูกกระทบโดยเทคโนโลยีมากกว่า    มันก็คงเหมือนกับที่ วอเร็น บัฟเฟตต์ พูดว่า  อินเตอร์เน็ตคงไม่ทำให้การซื้อหรือการเคี้ยวหมากฝรั่งเปลี่ยนไป  ดังนั้น  เขาสบายใจมากกับการถือหุ้นหมากฝรั่งริกรี่  เช่นเดียวกับหุ้นโค๊กที่ยังไงคนก็ดื่มเหมือนเดิมไม่ว่าเทคโนโลยีอะไรจะเปลี่ยนไป
[/size]
ลูกหิน
Verified User
โพสต์: 1217
ผู้ติดตาม: 0

Re: เทคโนทำลายล้าง/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ขอบคุณมากครับ
Seattle
Verified User
โพสต์: 1119
ผู้ติดตาม: 0

Re: เทคโนทำลายล้าง/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 3

โพสต์

โอ้โห อาจารย์บรรยายซะเห็นภาพอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งเลยครับ

นับถือมากๆในมุมมองที่ทะลุทะลวงของอาจารย์ครับ

บริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม

ต้องมองและพิจารณาให้ดี ถ้าจะลงทุนอย่างมากๆเลย

ขอบคุณในบทความนี้ของอาจารย์มากๆเลยครับ
โพสต์โพสต์