Thai VI

ผมว่าดูแล้ว QE เหมือนจะเป็นมอร์ฟีนที่ใช้ในการรักษาโรคเศรษฐกิจของโลก เราใช้มันเป็นตัวช่วยในการรักษา เป้าหมาย
ก็เพื่อให้หายจากการเจ็บป่วย ก่อนที่เราจะใช้ตอนนั้นผมคุ้นๆว่าเรากังวลกันประมาณว่า เงินจะกลายเป็นแบงค์กงเต็กไหม?
ระยะยาวจะเกิดอะไรขึ้น? แล้วเราก็ถูกฉีด QE เข็มแรกไม่พอ เอาต่ออีกหลายเข็ม แถมญี่ปุ่นขอฉีดด้วยอีกคน
ถึงตอนนี้ผ่านมาไม่นาน ดูเหมือนโลกเริ่มจะติดใจฤทธิ์ QE จนลืมเป้าหมายที่ต้องการรักษาโรคเศรษฐกิจที่เป็นอยู่
พออาการโรคเริ่มจะดีขึ้น หมอเก้ทำท่าบอกจะหยุดฉีดยา QE ละนะ กลายเป็นว่าคนทั้งโลกเสพติดยาตัวนี้ไปซะแล้ว
ทั้งที่มันหมายถึงว่าเศรษฐกิจของอเมริกาและของโลกจะเริ่มดีขึ้นจริงๆ เราไม่สนใจ เรากลับกลัวจะไม่ได้ยา QE อีก
คิดดูแล้วมันขัดกับสามัญสำนึกพอสมควร สิ่งที่น่าเป็นห่วงคืออาการเสพติดยา QE นี้จะเลิกได้อย่างไรเมื่อโรคหาย
เพราะคนที่ติดยาก็เสี่ยงต่ออาการ "ลงแดง" เมื่อเขาต้องการจะเลิก แต่ถ้าผ่านไปได้เขาจะพบชีวิตใหม่ที่มีความสุขจริงๆ

นั่นจึงเปนเหตุผลให้เขาต้อง tapering ครับ
ลดยาลง ใช้ยาตัวแทน ออกฤทธิ์คล้ายกัน ให้ยาห่างไปเรื่อย

ฝึกการเข้าสังคม ทําจิตบําบัด ควบคู่
ใช้เวลาสักพัก
จากคนติดยา ที่ reluctant จะเลิกดี ไม่เลิกดี ลงแดง บ้าง ก็จะรู้ว่า
เศรษฐกิจดี ไม่ต้องมี QE

ตอนนี้ก็ ต้องทนกับ ภาวะตลาดกลัวขาดยา กันไปก่อน หงุดหงิดงุ่นง่าน

บางทีก็รู้สึกเบื่อกับข่าวเรื่อง QE เพราะว่ามันก็วนเวียนๆ ตีขึ้น ตีลงอยู่อย่างนี้ จะจบเมือไหร่ก็ไม่รุ

คล้ายๆกับตอนผันผวนเรื่อง

Greece Crisis
Cyprus mini crisis
Obama election+Debt Ceiling crisis
North Korean Nuclear Warhead crisis
Crisis Baht strength or weakness crisis
Flooding crisis
Sport day crisis

ซะปะ......ใจเย็นชาววีไอเราชาวเต่าก็ว่ายน้ำในคลื่นทะเลอย่างสงบสติแค่ตอนนี้มันอาจจะเป็นcyclone+hurricane...just keep swimming just keep swimming

จงว่ายน้ำในทางที่เราจัดไว้เพราะสักวันจะถึงชายหาดและไปออกไข่และผลตอบแทนของวีไอคือ
ความมั่งคั่งตลอดชาติ stay calm stay invest

netirut เขียน:ผมว่าดูแล้ว QE เหมือนจะเป็นมอร์ฟีนที่ใช้ในการรักษาโรคเศรษฐกิจของโลก เราใช้มันเป็นตัวช่วยในการรักษา เป้าหมาย
ก็เพื่อให้หายจากการเจ็บป่วย ก่อนที่เราจะใช้ตอนนั้นผมคุ้นๆว่าเรากังวลกันประมาณว่า เงินจะกลายเป็นแบงค์กงเต็กไหม?
ระยะยาวจะเกิดอะไรขึ้น? แล้วเราก็ถูกฉีด QE เข็มแรกไม่พอ เอาต่ออีกหลายเข็ม แถมญี่ปุ่นขอฉีดด้วยอีกคน
ถึงตอนนี้ผ่านมาไม่นาน ดูเหมือนโลกเริ่มจะติดใจฤทธิ์ QE จนลืมเป้าหมายที่ต้องการรักษาโรคเศรษฐกิจที่เป็นอยู่
พออาการโรคเริ่มจะดีขึ้น หมอเก้ทำท่าบอกจะหยุดฉีดยา QE ละนะ กลายเป็นว่าคนทั้งโลกเสพติดยาตัวนี้ไปซะแล้ว
ทั้งที่มันหมายถึงว่าเศรษฐกิจของอเมริกาและของโลกจะเริ่มดีขึ้นจริงๆ เราไม่สนใจ เรากลับกลัวจะไม่ได้ยา QE อีก
คิดดูแล้วมันขัดกับสามัญสำนึกพอสมควร สิ่งที่น่าเป็นห่วงคืออาการเสพติดยา QE นี้จะเลิกได้อย่างไรเมื่อโรคหาย
เพราะคนที่ติดยาก็เสี่ยงต่ออาการ "ลงแดง" เมื่อเขาต้องการจะเลิก แต่ถ้าผ่านไปได้เขาจะพบชีวิตใหม่ที่มีความสุขจริงๆ

เห็นด้วยเรื่อง เสพติดครับ จะ ขอเสริม กลไกลตลาด หน่อยครับ

ว่า Econ USAดี ขึ้น ทำให้ค่าเงิน Dollar US แข็งครับ กองต่างๆจึงต้องขาย Lock กำไรไว้ เพราะมีความเสี่ยงค่าเงิน กรอปกับ การ ชะลอ QE แปลว่า Money Supply ที่จะอัดฉีด จะน้อยลง จึงทำให้ค่าเงินแข็ง อีกเช่นกัน และ มีนัย ว่า ดอกจะขึ้นอีก 1-2ปี จากนี้ ตลาด Bondจึงถูกเทขาย ทำให้ Bond Yield สูงขึ้น และ Bond Yield เป็น ต้นทุนค่าเสียโอกาส นลท แต่ ปลอดภัยกว่า เมื่อสูงขึ้น ถึง จุด 1 กรอปกับเรื่องค่าเงิน จึง มี มหกรรม ขายหุ้นทั่วโลก เพื่อ พัก เงินไว้ก่อน ยังไม่ได้เข้า Assetsใดๆ หาก เข้า Assetsต้องขึ้น ครับ
สรุป เดี๋ยว เวลาผ่านไป ตลาดปรับตัว กับ QEน้อยลงได้ เดี๋ยว Fund Flowก็ไหล เข้า Equity Market ใหม่
...

"พอล ครุกแมน" ชี้ "เบอร์นันเก้" แถลงยุติ QE เป็นการส่งสัญญาณที่ผิดพลาด เหตุเศรษฐกิจสหรัฐยังอ่อนแอ

นายพอล ครุกแมน นักเศรษฐศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบลชาวสหรัฐ กล่าวว่า การที่นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ออกมาส่งสัญญาณว่าจะลดขนาดโครงการซื้อพันธบัตร หรือมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ รอบที่ 3 (QE3)นั้น ถือเป็น "การส่งสัญญาณที่ผิด" เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐยังคงอ่อนแอ

นายครุกแมนระบุในบทความของหนังสือพิมพ์นิวยอร์ก ไทม์สว่า การที่เฟดใช้มาตรการกระตุ้นทางการเงินเพื่อหนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจนั้น ยังไม่เพียงพอ และเฟดควรดำเนินการมากขึ้นด้วย

"เรายังคงอยู่ในช่วงเวลาของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในระดับต่ำ และการส่งสัญญาณที่ย่ำแย่ของเฟดได้ลดโอกาสที่จะทำให้เราหลุดพ้นจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำดังกล่าวในเร็วๆนี้" เขากล่าว

นอกจากนี้ นายครุกแมนกล่าวว่า สหรัฐยังคงมีการจ้างงานที่แข็งแกร่งตลอดระยะเวลา 4 ปีหลังจากที่เศรษฐกิจสิ้นสุดภาวะถดถอยอย่างเป็นทางการ และจริงอยู่ที่ว่าอัตราว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำ แต่ข้อมูลเหล่านั้นสะท้อนให้เห็นว่าจำนวนคนที่หางานทำปรับตัวลดลง แทนที่ตำแหน่งงานจะเพิ่มขึ้น

"การที่ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของเรายังคงย่ำแย่หลังจากช่วยหลายปีดังกล่าวก็เพราะเจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายส่วนใหญ่ขาดความเข้าใจและลืมไปว่า การสร้างงานเป็นภารกิจเร่งด่วนที่สุดของพวกเขา" นายครุกแมนกล่าว

http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... ุติQE.html

ถ้า usa ยังไม่แข็งแรงจริง มันไม่กลายเป็นว่า พอดอกเบี้ยขึ้นจะไปกระทบ real sector ทำให้ไม่ฟื้นหรือสะดุดไปหรือครับ

และ fed ก็น่าจะรู้ว่าถ้าออกมาส่งสัญญาณแบบนี้จะกระทบกับตลาดอย่างไร

ถึง QE จะเหมือนยาเสพติด แต่ถ้ายังไม่บรรลุวัตถุประสงค์ ที่ทำ ๆ มาก็กลายเป็นเสียเปล่าหรือเปล่า