เปลี่ยนชีวิตด้วย 'ศาสตร์แห่งหุ้น''วีระพงษ์ ธัม' 10 ปี พอร์ตร
โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ค. 20, 2013 11:19 am
เปลี่ยนชีวิตด้วย 'ศาสตร์แห่งหุ้น''วีระพงษ์ ธัม' 10 ปี พอร์ตร้อยล้าน
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, May 20, 2013 07:28
"วิถีแห่งเม่า" ขัดใจพ่อ-แม่ "อย่ายุ่งหุ้นคือการพนัน" แต่เมื่อ "หลิน" วีระพงษ์ ธัม นักลงทุน VI พิสูจน์แล้ว นี่คือ หนทางนำไปสู่ "พอร์ต 9 หลัก" อดีตพนักงานปูนซิเมนต์ไทย ตัดใจต่อรองผู้ให้กำเนิด "อิสระทางการเงินอยู่แค่เอื้อม"
"ไม่เคยคิดจะรวยด้วยศาสตร์แห่งหุ้น"ก่อนสมองจะผุดความคิดนี้ในช่วงปี 2546 "หลิน" วีระพงษ์ ธัม เซียนหุ้น VI ในฐานะหนึ่งในกรรมการสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) เป็นเพียง "มนุษย์เงินเดือน"ธรรมดาๆ คนหนึ่งผู้หลงรักการท่องเที่ยว เป็นชีวิตจิตใจ
ช่วงชีวิตหนึ่ง เขาเคยเป็น Backpack นั่งรถไฟฟ้าไปตามเส้นทางสายไหมจากเมืองปักกิ่งประเทศจีน ไปจนถึงสุดขอบเมืองจีน เพื่อไปดู "คาราโครัมไฮเวย์" ถนนไฮเวย์ที่มีความสูง 3,000-4,000 เมตร จากระดับน้ำทะเล และ ไปเที่ยวชมวัดโบราณอายุ 1,000-2,000 ปีวันนี้ "หนุ่มหลิน" เป็นเจ้าของพอร์ตลงทุนหลักร้อยล้านและยังเป็นผู้ก่อตั้งเว็บไซต์10,000 li.net มีแฟนคลับกดถูกใจกว่า 3,711 คน เว็บไซต์นี้เปิดมา 3-4 ปี หวังบอกเล่าเรื่องราวการลงทุนต่างๆ เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ "เม่าน้อยมือใหม่""วีระพงษ์ ธัม" อุ้ม "น้องคิน" ลูกชายวัย 1 ปี 4 เดือน พร้อมพี่เลี้ยงคู่ใจมาเล่าเส้นทางการลงทุนแนว VI ให้ "กรุงเทพธุรกิจ BizWeek"ฟัง "ผมเป็นคนเชื้อสายไทย-มาเลเซียคุณพ่อเป็นคนมาเลเซีย ท่านเป็นนักร้องชื่อดังออกแผ่นเสียงมาแล้ว หลายร้อยแผ่น ไปถามคนรุ่นเก่าๆ ย่านเยาวราช แทบจะไม่มีใครไม่รู้จัก "ถัน ซุ่น เฉิง"
ก่อนครอบ- ครัวจะย้ายมาทำธุรกิจโบรกเกอร์ประกันภัย ภายใต้ชื่อ "แคปปิตอลพลัส คอนซัลติ้ง กรุ๊ป" ย่านสุวินทวงศ์ พวกเราเคยใช้ชีวิตอยู่ แถวเยาวราช ธุรกิจเล็กๆ แห่งนี้ คุณแม่ใช้หาเงินเพื่อเลี้ยงดูผมและน้องชายวัย 31 ปี ปัจจุบันน้องชายเป็นคนดูแลธุรกิจของครอบครัว
ชายหนุ่มอายุ 33 ปี ดีกรีปริญญาตรี เกียรตินิยมอันดับ 2 คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขายานยนต์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จิบกาแฟ ก่อนเล่าต่อว่า หลังเรียนจบเขาเลือกที่จะตรงดิ่งไปทำงานที่บริษัท "ปูนซิเมนต์ไทย"(SCC) ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่การตลาดระหว่างประเทศ สายธุรกิจกระดาษ ตอนโน่นปูน ซิเมนต์ไทยกำลังบุกเบิกธุรกิจกระดาษในเมืองจีน
"งานท้าทาย ไม่อยากนั่งเหงาในโรงงาน"ทันทีที่ความคิดนี้เกิดขึ้นในหัว ผมไม่ลังเลที่จะไปยื่นใบสมัคร (ยิ้ม)
ทำงานแรกๆ รู้สึก "สนุก ตื่นเต้น"ครั้งหนึ่งเคยโดนคนจีนหลอก (หัวเราะ) เรา สั่งของไปแบบหนึ่ง แต่ดันส่งมาอีกแบบ ต้องไปนั่งแคลมมูลค่าหลายล้านบาท ทำงานได้ 4-5 ปี ก็ลาออก ถามว่าภูมิใจมั้ย (ยิ้ม) อย่างน้อยก็เคยทำตั้งแต่บริษัทเพิ่งตั้งไข่ จนสามารถนำเข้า กระดาษได้ปีละ1,000 ล้านบาท
อยากเป็นเจ้าของธุรกิจ ความคิดนี้ ผุดปุดๆ ในหัว มาตั้งแต่เด็กๆ!
ตอนทำงานบินไปกลับเมืองจีนบ่อยมากๆ รู้สึกเริ่มอินกับประเทศนี้ (หัวเราะ) ผนวกกับอยากเติมความรู้ด้านธุรกิจ กลับมาทำกิจการของ ตัวเอง จึงตัดสินใจลาออกจากปูนใหญ่ เพื่อบินไป เรียนต่อปริญญาโท ณ มหาวิทยาลัยชิงหัว ประเทศ จีน ที่เด่นเรื่องบริหารจัดการ และวิศวกรรม ใช้ชีวิตเรียนหนังสืออย่างเดียวแบบไม่ทำงาน อะไรเลยในเมืองจีน 2 ปี "หนุ่มหลิน" เล่า
เจ้าของนามแฝง Lingzhi ใน THAIVI.COM ยังบอกถึง "จุดเริ่มต้นการลงทุน" ว่า ทำงานปูนใหญ่ได้เกือบ 1 ปี ก็ควักเงินซื้อหุ้น ในช่วง SET INDEX ดีดขึ้นจาก 300-400 จุด เป็น 800 จุด น่าจะกลางๆปี 2546 ช่วงนั้นตลาดหุ้นไทยตกอยู่ในภาวะ "กระทิง" เพื่อนๆ พี่ๆที่ปูนใหญ่พูดกรอกหูทุกวัน
"เล่นหุ้นได้กำไรดีกว่านำเงินไปทำอย่างอื่น อีกนะ" สุดท้ายก็อดใจไม่ไหว เล่นมันซะเลย! ก่อนจะลงทุนในตลาดหุ้นจริงจัง เคยเห็น "อากู๋" เล่นหุ้นในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 (ต้มยำกุ้ง) ผลปรากฏว่า "น้ำตาตก" จน พ่อกับแม่บอกว่า
อย่าไปยุ่งหุ้นคือการพนัน! ต้องใช้เวลาอธิบายให้ท่านเข้าใจอยู่นาน ตอนนั้นก็ยกตัวอย่างเรื่องหนึ่งที่เขียนไว้ในหนังสือ "ตีแตก" ของ "ดร.นิเวศน์ เหมวชิร- วรากร" ผู้เผยแพร่แนวคิดการลงทุนแบบเน้นคุณค่าคนแรกในประเทศไทย
"ถ้าเรามีเงินก้อนหนึ่งแล้วนำไปลงทุนทำ ธุรกิจร้านโชห่วย วันหนึ่งเกิดขาดทุนเราจะ ไม่เหลืออะไรเลย เพราะมีอยู่ร้านเดียว แต่ถ้านำเงินก้อนเดียวกันไปซื้อหุ้นที่มีกิจการดีๆ ต่อให้เจ๊งไปหนึ่งสาขา ธุรกิจก็ยังอยู่ได้ เพราะเขา
มีหลายสาขา"
หนุ่มหลิน เล่าว่า ใช้เวลาอ่านหนังสือ "ตีแตก"และหนังสือ Rich Dad Poor Dad (พ่อรวย สอนลูก) ของ "โรเบิร์ต คิโยซากิ" รวมถึง หาข้อมูลต่างๆ ตามเว็บไซต์ไม่นาน ก็ตัดสินใจเปิดพอร์ตลงทุนกับบล.กรุงศรีอยุธยา (AYS)
"เงินตั้งต้น" น่าจะเหยียบ 5-6 หลัก จำตัวเลขแน่นอนไม่ได้ แบ่งเป็นเงินเก็บ 70% และเงินของครอบครัว 30% อย่างที่บอกพ่อกับแม่ไม่ปลื้มตลาดหุ้น แต่เห็นความตั้งใจและรู้ว่าเราไม่ซื้อๆ ขายๆ ก็ยอมให้เงินแต่โดยดี (หัวเราะ)
"หุ้นปันผล" เป็นหุ้นตัวแรกๆ ที่ใส่เงินลงทุน จำไม่ได้ว่าซื้อตัวไหนไปบ้าง แต่น่าจะเป็นกลุ่มโรงไฟฟ้า และหุ้น โมเดอร์นฟอร์มกรุ๊ป (MODERN) หุ้น ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) หุ้น ไดนาสตี้เซรามิค (DCC) เป็นต้น รวมๆ แล้วก็น่าจะมีหุ้นในพอร์ตราว 5-6 ตัว
ผลการลงทุนแรกเริ่ม ไม่ค่อยดีเท่าไร! เพราะเข้าไปลงทุนช่วงตลาดหุ้นบูม ทำให้ราคาหุ้นปรับลงมานิดหน่อย โดยเฉพาะหุ้น ไดนาสตี้ เซรามิค โทรไปถามมาร์เก็ตติ้ง "ทำไมหุ้น DCC ดิ่งแบบนี้ ไหนพี่บอกราคามีโอกาสไปต่อไง"เขาตอบกลับมาว่า "อ๋อ เข้าสู่ช่วงฤดูฝนขายของไม่ค่อยได้" เราก็รีบสวน "ทำไมพี่ไม่บอกผมก่อนจะได้ไปซื้อหน้าหนาว" มันเจ็บใจจริงๆ แม้ราคาหุ้นจะย่อตัวลงมา แต่ก็ยังมีความ "โชคดี" แอบแฝงอยู่บ้าง บังเอิญช่วงนั้น ไปจองซื้อหุ้นไอพีโอ "ไทยออยล์" (TOP) ประมาณ 1,000 หุ้น วันแรกของการซื้อขายราคาหุ้น TOP พุ่งเหนือจอง ทำให้ภาพรวมพอร์ต ลงทุนเป็น "สีเขียวนิดๆ" ขณะที่ตลาดหุ้น ช่วงนั้นติดลบประมาณ 10%
เชื่อมั้ย! ทุกวันนี้ยังไม่เคยขายหุ้น TOP เลย บอกตรงๆ หุ้นตัวนี้มีคุณค่าทางจิตใจ ทำให้รู้สึกดีต่อการลงทุนในตลาดหุ้น "วอร์เรน บัฟเฟ็ตต์"มหาเศรษฐีด้านการลงทุน เคยบอกว่า...
"ปีแรกของการลงทุนต้องห้ามขาดทุน ว่า เพราะนั่นคือ กำลังใจดีๆ ให้คุณเดินต่อ และอยู่รอดในตลาดหุ้น"
เขา ระบายว่า แรกเริ่มของการลงทุน ถือเป็นเรื่องปกติที่เวลาใครแนะนำหุ้นอะไร "เม่ามือใหม่" อย่างเราๆ เป็นช้อนหมด ถามว่ารู้เรื่องข้อมูลชนิดแน่นปึกมั้ย "ไม่เลย" ตอนนั้นดูเพียงอัตราผลตอบแทนจากการเงินปันผล ขอแค่ 5% ก็พอใจแล้ว ค่า P/E ไม่พลาด ขอต่ำๆ ยิ่งต่ำกว่า10 เท่ายิ่งดี
หากเจอหุ้นตัวไหนเข้าทางซื้อเลย วันไหนเกิดขาดทุนก็จะซื้อถัวเฉลี่ย หวังว่าจะขาดทุนน้อยลงจากเดิม เช่น เดิมต้องขาดทุน 5% เมื่อซื้อมาถัวเฉลี่ยอาจทำให้เราขาดทุนเพียง 3% ทำไปเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น (หัวเราะ)
ส่วนตัวไหนแดงจัดๆ ไม่ขาย แต่ถ้าอึดอัดมาก ก็รอเท่าทุนแล้วค่อยขาย เล่าแล้วตลกตัวเอง
ช่วงเติมความรู้ในหัวสมอง ยอมรับพอร์ต โตช้า แต่ความรู้ทบต้นเกิดขึ้นเร็วมาก
"คุณพ่อมือใหม่" เดินไปเล่นกับลูกชายที่กำลังงอแง ก่อนกลับมาต่อว่า เพิ่งเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนจริงจังเมื่อปี 2551 โดยเริ่มหันมาใส่ใจ 3 ข้อหลัก คือ ข้อ 1.ดูภาพรวมของกิจการ ยิ่งลงลึกไปถึงระบบการแข่งขันของธุรกิจได้จะดีมาก เมื่อก่อนนักลงทุนจะชอบดูข้อมูล ในแง่ "ทุติยภูมิ" อธิบายง่ายๆ คือ ฟังข้อมูลจากนักวิเคราะห์ และจากผู้บริหาร โดยที่เราไม่ได้มีโอกาสไปสัมผัสธุรกิจอย่างใกล้ชิด
แต่ปัจจุบัน "นักลงทุนเก่งๆ" จะเน้นดู ข้อมูล "ปฐมภูมิ" มากขึ้น นั่นคือ การไปสัมผัสธุรกิจนั้นๆ ด้วยตนเอง เช่น ไปเดินห้าง ไปคุย กับคนงาน เป็นต้น การดูข้อมูลลักษณะนี้จะทำให้ เห็นของจริง ส่งผลให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่า
"ผมให้ความสำคัญกับข้อมูล "ปฐมภูมิ" มากถึง 60%"
ข้อ 2.ดูข้อมูลอุตสาหกรรม ประเด็นนี้สำคัญไม่แพ้ข้อแรก เพราะบางบริษัทอะไรๆ ก็ดี แต่ธุรกิจดันมาอยู่ในอุตสาหกรรม "ตะวันตกดิน"เปรียบเทียบเหมือน "มีเรือดี แต่มีแรงต้าน ทำให้ต้องพายเรือทวนน้ำ เหนื่อย!" ถ้าเป็นลักษณะนี้ไม่ค่อยปลื้มเท่าไร
ปัจจุบันนักลงทุนคงต้องจับตา "ภาคการลงทุน" อนาคตอาจเห็นภูมิภาคนี้มีการเชื่อมโยงกันเหนียวแน่น บริษัทไหนได้ประโยชน์จากตรงนี้ ต้องกลับไปดู ถามว่าหุ้นเหล่านี้ราคาแพงมั้ย! (ยิ้ม) จริงๆ เกือบทั้งตลาดแพง หมดแล้ว แต่ถ้าคุณมองว่าอนาคตเขามีสิทธิ์ไปต่อ ก็จงซื้อไว้ ความเป็นจริงนักลงทุนต้องมีใจเป็น "อัศวิน" ในช่วงตอนตลาดเล็กๆ จะมากล้าในช่วงตลาดแพงไม่ค่อยดีเท่าไร
"มีหุ้นดีๆ เหมือนมีเพื่อนดีๆ แม้มีไม่มาก แต่ก็ทำให้ชีวิตการลงทุนมาไกลกว่าที่คิด"
ถามว่าหลังปรับกลยุทธ์ ผลการลงทุนเป็นอย่างไร? บอร์ดสมาคมนักลงทุนฯ ตอบว่า "เริ่มมีกำไรและความสุขมากขึ้น" ก่อนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจเคยมีกำไรราว 40-50% ช่วงนั้น ตลาดหุ้นอยู่ในอาการ "ไซด์เวย์" (แกว่งตัว ออกด้านข้าง) หลังจากวิกฤติเศรษฐกิจผ่านพ้นไป "ตลาดหุ้นบูม" ทำให้ผลกำไรบวกปีละ 80-100%
"ทุกวันนี้ผมจะถือหุ้นไม่เกิน 10 ตัว แต่ละตัวจะถืออย่างต่ำ 10% ของพอร์ต แต่หุ้นหลักๆ จะมีแค่ 5 ตัว เน้นกลุ่มค้าปลีก และกลุ่มโรงพยาบาล อย่างหุ้นกลุ่มค้าปลีกผมถือลงทุนมาประมาณ 8-9 ปี กลุ่มโรงพยาบาลเพิ่งซื้อหนักๆ ในช่วงวิกฤติปี 2551 ผมจะถือหุ้น 5 ตัว ไปจนกว่าจะรู้สึกว่า "ราคาแพงเว่อร์" ส่วนหุ้นที่ไม่ใช่ตัวหลักจะถือแค่ 2-3 ปี เพราะคุณสมบัติไม่ครบ 3 ประการ แต่ราคายังต่ำกว่าพื้นฐาน ถ้ามั่นใจออกแนวข้อมูลแม่น ผมจะช้อนก่อน 5% จากนั้นไม่นานจะสอยเพิ่มอีก 5% ตรงข้ามหากไม่แน่ใจจะซื้อหุ้นหนึ่งตัว 3-5 ไม้ ไม้ละ 3% จนครบ 10%"
เมื่อ 5 ปีก่อน เคยขาดทุนหุ้นหนักถึง 50% นาน 3-4 เดือน แต่หลังจากนั้นกำไรก็เติบโตตลอด
"เซียนหุ้น VI" ยืนยันเป้าหมายการลงทุนว่า ไม่มีอะไรพิเศษ ขอแค่สนุกกับการลงทุน พอร์ตเติบโตเรื่อยๆ ทุกปี
ทำไมตั้งชื่อนามแฝงว่า Lingzhi? ไม่มีเป็นนัยสำคัญ เขาเงียบคิด ก่อนตอบว่า คงเป็นเพราะ "เห็ดหลินจือ" เป็นยาจีนใช้เวลาเก็บนาน เรียกว่ายิ่งนานยิ่งมีคุณค่า บ่งบอกถึงสไตล์การลงทุนของผม ซึ่งจะแตกต่างจาก "เห็ดฟาง" ที่ใช้ เวลาเติบโตไม่นาน เมื่อถึงเวลาก็เก็บไปขาย--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, May 20, 2013 07:28
"วิถีแห่งเม่า" ขัดใจพ่อ-แม่ "อย่ายุ่งหุ้นคือการพนัน" แต่เมื่อ "หลิน" วีระพงษ์ ธัม นักลงทุน VI พิสูจน์แล้ว นี่คือ หนทางนำไปสู่ "พอร์ต 9 หลัก" อดีตพนักงานปูนซิเมนต์ไทย ตัดใจต่อรองผู้ให้กำเนิด "อิสระทางการเงินอยู่แค่เอื้อม"
"ไม่เคยคิดจะรวยด้วยศาสตร์แห่งหุ้น"ก่อนสมองจะผุดความคิดนี้ในช่วงปี 2546 "หลิน" วีระพงษ์ ธัม เซียนหุ้น VI ในฐานะหนึ่งในกรรมการสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) เป็นเพียง "มนุษย์เงินเดือน"ธรรมดาๆ คนหนึ่งผู้หลงรักการท่องเที่ยว เป็นชีวิตจิตใจ
ช่วงชีวิตหนึ่ง เขาเคยเป็น Backpack นั่งรถไฟฟ้าไปตามเส้นทางสายไหมจากเมืองปักกิ่งประเทศจีน ไปจนถึงสุดขอบเมืองจีน เพื่อไปดู "คาราโครัมไฮเวย์" ถนนไฮเวย์ที่มีความสูง 3,000-4,000 เมตร จากระดับน้ำทะเล และ ไปเที่ยวชมวัดโบราณอายุ 1,000-2,000 ปีวันนี้ "หนุ่มหลิน" เป็นเจ้าของพอร์ตลงทุนหลักร้อยล้านและยังเป็นผู้ก่อตั้งเว็บไซต์10,000 li.net มีแฟนคลับกดถูกใจกว่า 3,711 คน เว็บไซต์นี้เปิดมา 3-4 ปี หวังบอกเล่าเรื่องราวการลงทุนต่างๆ เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ "เม่าน้อยมือใหม่""วีระพงษ์ ธัม" อุ้ม "น้องคิน" ลูกชายวัย 1 ปี 4 เดือน พร้อมพี่เลี้ยงคู่ใจมาเล่าเส้นทางการลงทุนแนว VI ให้ "กรุงเทพธุรกิจ BizWeek"ฟัง "ผมเป็นคนเชื้อสายไทย-มาเลเซียคุณพ่อเป็นคนมาเลเซีย ท่านเป็นนักร้องชื่อดังออกแผ่นเสียงมาแล้ว หลายร้อยแผ่น ไปถามคนรุ่นเก่าๆ ย่านเยาวราช แทบจะไม่มีใครไม่รู้จัก "ถัน ซุ่น เฉิง"
ก่อนครอบ- ครัวจะย้ายมาทำธุรกิจโบรกเกอร์ประกันภัย ภายใต้ชื่อ "แคปปิตอลพลัส คอนซัลติ้ง กรุ๊ป" ย่านสุวินทวงศ์ พวกเราเคยใช้ชีวิตอยู่ แถวเยาวราช ธุรกิจเล็กๆ แห่งนี้ คุณแม่ใช้หาเงินเพื่อเลี้ยงดูผมและน้องชายวัย 31 ปี ปัจจุบันน้องชายเป็นคนดูแลธุรกิจของครอบครัว
ชายหนุ่มอายุ 33 ปี ดีกรีปริญญาตรี เกียรตินิยมอันดับ 2 คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขายานยนต์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จิบกาแฟ ก่อนเล่าต่อว่า หลังเรียนจบเขาเลือกที่จะตรงดิ่งไปทำงานที่บริษัท "ปูนซิเมนต์ไทย"(SCC) ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่การตลาดระหว่างประเทศ สายธุรกิจกระดาษ ตอนโน่นปูน ซิเมนต์ไทยกำลังบุกเบิกธุรกิจกระดาษในเมืองจีน
"งานท้าทาย ไม่อยากนั่งเหงาในโรงงาน"ทันทีที่ความคิดนี้เกิดขึ้นในหัว ผมไม่ลังเลที่จะไปยื่นใบสมัคร (ยิ้ม)
ทำงานแรกๆ รู้สึก "สนุก ตื่นเต้น"ครั้งหนึ่งเคยโดนคนจีนหลอก (หัวเราะ) เรา สั่งของไปแบบหนึ่ง แต่ดันส่งมาอีกแบบ ต้องไปนั่งแคลมมูลค่าหลายล้านบาท ทำงานได้ 4-5 ปี ก็ลาออก ถามว่าภูมิใจมั้ย (ยิ้ม) อย่างน้อยก็เคยทำตั้งแต่บริษัทเพิ่งตั้งไข่ จนสามารถนำเข้า กระดาษได้ปีละ1,000 ล้านบาท
อยากเป็นเจ้าของธุรกิจ ความคิดนี้ ผุดปุดๆ ในหัว มาตั้งแต่เด็กๆ!
ตอนทำงานบินไปกลับเมืองจีนบ่อยมากๆ รู้สึกเริ่มอินกับประเทศนี้ (หัวเราะ) ผนวกกับอยากเติมความรู้ด้านธุรกิจ กลับมาทำกิจการของ ตัวเอง จึงตัดสินใจลาออกจากปูนใหญ่ เพื่อบินไป เรียนต่อปริญญาโท ณ มหาวิทยาลัยชิงหัว ประเทศ จีน ที่เด่นเรื่องบริหารจัดการ และวิศวกรรม ใช้ชีวิตเรียนหนังสืออย่างเดียวแบบไม่ทำงาน อะไรเลยในเมืองจีน 2 ปี "หนุ่มหลิน" เล่า
เจ้าของนามแฝง Lingzhi ใน THAIVI.COM ยังบอกถึง "จุดเริ่มต้นการลงทุน" ว่า ทำงานปูนใหญ่ได้เกือบ 1 ปี ก็ควักเงินซื้อหุ้น ในช่วง SET INDEX ดีดขึ้นจาก 300-400 จุด เป็น 800 จุด น่าจะกลางๆปี 2546 ช่วงนั้นตลาดหุ้นไทยตกอยู่ในภาวะ "กระทิง" เพื่อนๆ พี่ๆที่ปูนใหญ่พูดกรอกหูทุกวัน
"เล่นหุ้นได้กำไรดีกว่านำเงินไปทำอย่างอื่น อีกนะ" สุดท้ายก็อดใจไม่ไหว เล่นมันซะเลย! ก่อนจะลงทุนในตลาดหุ้นจริงจัง เคยเห็น "อากู๋" เล่นหุ้นในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 (ต้มยำกุ้ง) ผลปรากฏว่า "น้ำตาตก" จน พ่อกับแม่บอกว่า
อย่าไปยุ่งหุ้นคือการพนัน! ต้องใช้เวลาอธิบายให้ท่านเข้าใจอยู่นาน ตอนนั้นก็ยกตัวอย่างเรื่องหนึ่งที่เขียนไว้ในหนังสือ "ตีแตก" ของ "ดร.นิเวศน์ เหมวชิร- วรากร" ผู้เผยแพร่แนวคิดการลงทุนแบบเน้นคุณค่าคนแรกในประเทศไทย
"ถ้าเรามีเงินก้อนหนึ่งแล้วนำไปลงทุนทำ ธุรกิจร้านโชห่วย วันหนึ่งเกิดขาดทุนเราจะ ไม่เหลืออะไรเลย เพราะมีอยู่ร้านเดียว แต่ถ้านำเงินก้อนเดียวกันไปซื้อหุ้นที่มีกิจการดีๆ ต่อให้เจ๊งไปหนึ่งสาขา ธุรกิจก็ยังอยู่ได้ เพราะเขา
มีหลายสาขา"
หนุ่มหลิน เล่าว่า ใช้เวลาอ่านหนังสือ "ตีแตก"และหนังสือ Rich Dad Poor Dad (พ่อรวย สอนลูก) ของ "โรเบิร์ต คิโยซากิ" รวมถึง หาข้อมูลต่างๆ ตามเว็บไซต์ไม่นาน ก็ตัดสินใจเปิดพอร์ตลงทุนกับบล.กรุงศรีอยุธยา (AYS)
"เงินตั้งต้น" น่าจะเหยียบ 5-6 หลัก จำตัวเลขแน่นอนไม่ได้ แบ่งเป็นเงินเก็บ 70% และเงินของครอบครัว 30% อย่างที่บอกพ่อกับแม่ไม่ปลื้มตลาดหุ้น แต่เห็นความตั้งใจและรู้ว่าเราไม่ซื้อๆ ขายๆ ก็ยอมให้เงินแต่โดยดี (หัวเราะ)
"หุ้นปันผล" เป็นหุ้นตัวแรกๆ ที่ใส่เงินลงทุน จำไม่ได้ว่าซื้อตัวไหนไปบ้าง แต่น่าจะเป็นกลุ่มโรงไฟฟ้า และหุ้น โมเดอร์นฟอร์มกรุ๊ป (MODERN) หุ้น ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) หุ้น ไดนาสตี้เซรามิค (DCC) เป็นต้น รวมๆ แล้วก็น่าจะมีหุ้นในพอร์ตราว 5-6 ตัว
ผลการลงทุนแรกเริ่ม ไม่ค่อยดีเท่าไร! เพราะเข้าไปลงทุนช่วงตลาดหุ้นบูม ทำให้ราคาหุ้นปรับลงมานิดหน่อย โดยเฉพาะหุ้น ไดนาสตี้ เซรามิค โทรไปถามมาร์เก็ตติ้ง "ทำไมหุ้น DCC ดิ่งแบบนี้ ไหนพี่บอกราคามีโอกาสไปต่อไง"เขาตอบกลับมาว่า "อ๋อ เข้าสู่ช่วงฤดูฝนขายของไม่ค่อยได้" เราก็รีบสวน "ทำไมพี่ไม่บอกผมก่อนจะได้ไปซื้อหน้าหนาว" มันเจ็บใจจริงๆ แม้ราคาหุ้นจะย่อตัวลงมา แต่ก็ยังมีความ "โชคดี" แอบแฝงอยู่บ้าง บังเอิญช่วงนั้น ไปจองซื้อหุ้นไอพีโอ "ไทยออยล์" (TOP) ประมาณ 1,000 หุ้น วันแรกของการซื้อขายราคาหุ้น TOP พุ่งเหนือจอง ทำให้ภาพรวมพอร์ต ลงทุนเป็น "สีเขียวนิดๆ" ขณะที่ตลาดหุ้น ช่วงนั้นติดลบประมาณ 10%
เชื่อมั้ย! ทุกวันนี้ยังไม่เคยขายหุ้น TOP เลย บอกตรงๆ หุ้นตัวนี้มีคุณค่าทางจิตใจ ทำให้รู้สึกดีต่อการลงทุนในตลาดหุ้น "วอร์เรน บัฟเฟ็ตต์"มหาเศรษฐีด้านการลงทุน เคยบอกว่า...
"ปีแรกของการลงทุนต้องห้ามขาดทุน ว่า เพราะนั่นคือ กำลังใจดีๆ ให้คุณเดินต่อ และอยู่รอดในตลาดหุ้น"
เขา ระบายว่า แรกเริ่มของการลงทุน ถือเป็นเรื่องปกติที่เวลาใครแนะนำหุ้นอะไร "เม่ามือใหม่" อย่างเราๆ เป็นช้อนหมด ถามว่ารู้เรื่องข้อมูลชนิดแน่นปึกมั้ย "ไม่เลย" ตอนนั้นดูเพียงอัตราผลตอบแทนจากการเงินปันผล ขอแค่ 5% ก็พอใจแล้ว ค่า P/E ไม่พลาด ขอต่ำๆ ยิ่งต่ำกว่า10 เท่ายิ่งดี
หากเจอหุ้นตัวไหนเข้าทางซื้อเลย วันไหนเกิดขาดทุนก็จะซื้อถัวเฉลี่ย หวังว่าจะขาดทุนน้อยลงจากเดิม เช่น เดิมต้องขาดทุน 5% เมื่อซื้อมาถัวเฉลี่ยอาจทำให้เราขาดทุนเพียง 3% ทำไปเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น (หัวเราะ)
ส่วนตัวไหนแดงจัดๆ ไม่ขาย แต่ถ้าอึดอัดมาก ก็รอเท่าทุนแล้วค่อยขาย เล่าแล้วตลกตัวเอง
ช่วงเติมความรู้ในหัวสมอง ยอมรับพอร์ต โตช้า แต่ความรู้ทบต้นเกิดขึ้นเร็วมาก
"คุณพ่อมือใหม่" เดินไปเล่นกับลูกชายที่กำลังงอแง ก่อนกลับมาต่อว่า เพิ่งเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนจริงจังเมื่อปี 2551 โดยเริ่มหันมาใส่ใจ 3 ข้อหลัก คือ ข้อ 1.ดูภาพรวมของกิจการ ยิ่งลงลึกไปถึงระบบการแข่งขันของธุรกิจได้จะดีมาก เมื่อก่อนนักลงทุนจะชอบดูข้อมูล ในแง่ "ทุติยภูมิ" อธิบายง่ายๆ คือ ฟังข้อมูลจากนักวิเคราะห์ และจากผู้บริหาร โดยที่เราไม่ได้มีโอกาสไปสัมผัสธุรกิจอย่างใกล้ชิด
แต่ปัจจุบัน "นักลงทุนเก่งๆ" จะเน้นดู ข้อมูล "ปฐมภูมิ" มากขึ้น นั่นคือ การไปสัมผัสธุรกิจนั้นๆ ด้วยตนเอง เช่น ไปเดินห้าง ไปคุย กับคนงาน เป็นต้น การดูข้อมูลลักษณะนี้จะทำให้ เห็นของจริง ส่งผลให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่า
"ผมให้ความสำคัญกับข้อมูล "ปฐมภูมิ" มากถึง 60%"
ข้อ 2.ดูข้อมูลอุตสาหกรรม ประเด็นนี้สำคัญไม่แพ้ข้อแรก เพราะบางบริษัทอะไรๆ ก็ดี แต่ธุรกิจดันมาอยู่ในอุตสาหกรรม "ตะวันตกดิน"เปรียบเทียบเหมือน "มีเรือดี แต่มีแรงต้าน ทำให้ต้องพายเรือทวนน้ำ เหนื่อย!" ถ้าเป็นลักษณะนี้ไม่ค่อยปลื้มเท่าไร
ปัจจุบันนักลงทุนคงต้องจับตา "ภาคการลงทุน" อนาคตอาจเห็นภูมิภาคนี้มีการเชื่อมโยงกันเหนียวแน่น บริษัทไหนได้ประโยชน์จากตรงนี้ ต้องกลับไปดู ถามว่าหุ้นเหล่านี้ราคาแพงมั้ย! (ยิ้ม) จริงๆ เกือบทั้งตลาดแพง หมดแล้ว แต่ถ้าคุณมองว่าอนาคตเขามีสิทธิ์ไปต่อ ก็จงซื้อไว้ ความเป็นจริงนักลงทุนต้องมีใจเป็น "อัศวิน" ในช่วงตอนตลาดเล็กๆ จะมากล้าในช่วงตลาดแพงไม่ค่อยดีเท่าไร
"มีหุ้นดีๆ เหมือนมีเพื่อนดีๆ แม้มีไม่มาก แต่ก็ทำให้ชีวิตการลงทุนมาไกลกว่าที่คิด"
ถามว่าหลังปรับกลยุทธ์ ผลการลงทุนเป็นอย่างไร? บอร์ดสมาคมนักลงทุนฯ ตอบว่า "เริ่มมีกำไรและความสุขมากขึ้น" ก่อนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจเคยมีกำไรราว 40-50% ช่วงนั้น ตลาดหุ้นอยู่ในอาการ "ไซด์เวย์" (แกว่งตัว ออกด้านข้าง) หลังจากวิกฤติเศรษฐกิจผ่านพ้นไป "ตลาดหุ้นบูม" ทำให้ผลกำไรบวกปีละ 80-100%
"ทุกวันนี้ผมจะถือหุ้นไม่เกิน 10 ตัว แต่ละตัวจะถืออย่างต่ำ 10% ของพอร์ต แต่หุ้นหลักๆ จะมีแค่ 5 ตัว เน้นกลุ่มค้าปลีก และกลุ่มโรงพยาบาล อย่างหุ้นกลุ่มค้าปลีกผมถือลงทุนมาประมาณ 8-9 ปี กลุ่มโรงพยาบาลเพิ่งซื้อหนักๆ ในช่วงวิกฤติปี 2551 ผมจะถือหุ้น 5 ตัว ไปจนกว่าจะรู้สึกว่า "ราคาแพงเว่อร์" ส่วนหุ้นที่ไม่ใช่ตัวหลักจะถือแค่ 2-3 ปี เพราะคุณสมบัติไม่ครบ 3 ประการ แต่ราคายังต่ำกว่าพื้นฐาน ถ้ามั่นใจออกแนวข้อมูลแม่น ผมจะช้อนก่อน 5% จากนั้นไม่นานจะสอยเพิ่มอีก 5% ตรงข้ามหากไม่แน่ใจจะซื้อหุ้นหนึ่งตัว 3-5 ไม้ ไม้ละ 3% จนครบ 10%"
เมื่อ 5 ปีก่อน เคยขาดทุนหุ้นหนักถึง 50% นาน 3-4 เดือน แต่หลังจากนั้นกำไรก็เติบโตตลอด
"เซียนหุ้น VI" ยืนยันเป้าหมายการลงทุนว่า ไม่มีอะไรพิเศษ ขอแค่สนุกกับการลงทุน พอร์ตเติบโตเรื่อยๆ ทุกปี
ทำไมตั้งชื่อนามแฝงว่า Lingzhi? ไม่มีเป็นนัยสำคัญ เขาเงียบคิด ก่อนตอบว่า คงเป็นเพราะ "เห็ดหลินจือ" เป็นยาจีนใช้เวลาเก็บนาน เรียกว่ายิ่งนานยิ่งมีคุณค่า บ่งบอกถึงสไตล์การลงทุนของผม ซึ่งจะแตกต่างจาก "เห็ดฟาง" ที่ใช้ เวลาเติบโตไม่นาน เมื่อถึงเวลาก็เก็บไปขาย--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ