อาจารย์ vi ทุกท่านและดร.นิเวศน์ช่วยออกความเห็นกระทู้นี้ด้วย
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 26, 2004 7:18 pm
พอดีได้อ่านบทความของ อาจารย์ ท่านหนึ่งที่ web pantip และความเห็นท่านเฟยหง ที่กระทู้สินธร น่าสนใจดีครับ เลยเอามาให้นัก VI ช่วยวิเคราะห์เกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยครับ เพราะผมไม่รู้จะถามใครนอกจาก web VI [ เพราะชอบนักลงทุน แบบ VI วิเคราะห์) ขอขอบคุณล่วงหน้าครับสำหรับทุกๆๆ ความเห็นครับ
ผมคิดสวนทางกับคุณเลยครับ
ขอวิเคราะห์ดูบ้าง
ศก.โลกชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด ตั้งแต่เดือน มิ.ย. เป็นต้นมา ผลของราคาน้ำมันที่สูงขึ้นมาก และ นโยบาย
การชะลอเศรษฐกิจของจีน เริ่มส่งผลอย่างเห็นได้ชัด
ราคาหุ้นที่ตกลงอย่างหนักของ KTB เป็นตัวสะท้อนถึงปัญหาของในหุ้นกลุ่มแบงก์อย่างปฏิเสธได้ยาก
ปัญหาที่สะสมเรื้อรังอย่างยาวนาน ด้วยการขาดดุลงบประมาณและดุลบัญชีเดินสะพัดของอเมริกา รวมไปถึงฟองสบู่การลงทุนเกินขอบเขตของจีน และ ปัญหาฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ทั่วโลกที่เริ่มแตก จะเป็นตัวจุดชนวนให้ราคาสินทรัพย์ทั้งหลาย ต้องดิ่งลงอย่างรวดเร็ว
ช่วงนี้เป็นช่วงวัดใจ โดยดัชนียังยืนๆ อยู่ที่ PTT, KTB ค่อนข้างอ่อน ขณะที่ดึง ADVANC ขึ้นมาแทนที่ อย่างไรก็ดี ด้วยเหตุผลที่ หุ้นและอสังหาฯทั่วโลกจะต้องดิ่งลงอย่างหนัก ตลาดไทยย่อมไม่สามารถหลีกเลี่ยงชะตากรรมนี้ไปได้ SET คงจะยืนตรงนี้ไปไม่ได้นานนัก หลังจากนั้นคงอ่อนตัวต่อเนื่องไปจนถึงกลางปีหน้า โดยเป้าหมายของดัชนีอยู่ที่ 480 จุด....
ขณะที่ดัชนี NASDAQ ของอเมริกา คงลงได้จากจุดนี้ไปอีก 50%
เหตุที่ SET คงไม่ลงไปต่ำมากนัก ก็เพราะมีเงินลงทุนระยะยาวจำนวนมาก เช่น RMF, LTF เงินของกบข. และ เงินกองทุนประกันสังคม จะเข้ามาช่วยพยุงตลาดหุ้นเอาไว้ได้บ้าง
ศก.รอบนี้ไม่ใช่ฟองสบู่ เพราะท่านนายกฯ บอกไว้แล้วว่า 5 ปีนี้จะไม่มีฟองสบู่เกิดใหม่แน่ เพราะเกาะติดตัวเลขทางศก.ทุกตัว สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เราจะเรียกว่า "ฟองแชมพู" ครับ
ชนชั้นกลางที่เพิ่งซื้อบ้านไปเมื่อ 1-2 ปี มีแนวโน้มว่าหนี้บ้านจะสูง 7-8 เท่าของรายได้ทั้งปี เมื่อรวมกับหนี้ไฟแนนซ์รถยนต์ และ สินเชื่อเพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์เครื่องไฟฟ้า ก็มีแนวโน้มว่าตัวเลขหนี้สินนี้อาจสูงกว่า 10 เท่าของรายได้ทั้งปี
อัตราส่วนหนี้สินต่อรายได้สูง 1000% ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แม้ว่าตัวเลขทางการจะออกมาประมาณเพียง 50% ซึ่งต่ำกว่าเพื่อนบ้านอย่างเกาหลี ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อเมริกาก็ตาม
ตัวเลข 100% ก็ควรระวัง 200% นับว่าอันตราย
แล้วลองคิดดูว่าตัวเลข 1000% จะนอนหลับกันไหม
ยามอัตราดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น....
ต้นเหตุของศก.ฟองแชมพู กับวิกฤติต้มยำกุ้งนั้นแตกต่างกันมาก เพราะรอบนี้ปัญหาเกิดจากอเมริกา และ จีนร่วมๆ กันสร้างขึ้นมา แต่ยามที่ฟองแตกแล้ว รอบนี้ความเจ็บปวดจะตกไปที่ชนชั้นกลาง SME และ ระดับรากหญ้า โดยตรง ไม่ใช่อ้อมๆ เหมือนครั้งที่แล้ว
จากคุณ : เฟยหง
ผมคิดสวนทางกับคุณเลยครับ
ขอวิเคราะห์ดูบ้าง
ศก.โลกชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด ตั้งแต่เดือน มิ.ย. เป็นต้นมา ผลของราคาน้ำมันที่สูงขึ้นมาก และ นโยบาย
การชะลอเศรษฐกิจของจีน เริ่มส่งผลอย่างเห็นได้ชัด
ราคาหุ้นที่ตกลงอย่างหนักของ KTB เป็นตัวสะท้อนถึงปัญหาของในหุ้นกลุ่มแบงก์อย่างปฏิเสธได้ยาก
ปัญหาที่สะสมเรื้อรังอย่างยาวนาน ด้วยการขาดดุลงบประมาณและดุลบัญชีเดินสะพัดของอเมริกา รวมไปถึงฟองสบู่การลงทุนเกินขอบเขตของจีน และ ปัญหาฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ทั่วโลกที่เริ่มแตก จะเป็นตัวจุดชนวนให้ราคาสินทรัพย์ทั้งหลาย ต้องดิ่งลงอย่างรวดเร็ว
ช่วงนี้เป็นช่วงวัดใจ โดยดัชนียังยืนๆ อยู่ที่ PTT, KTB ค่อนข้างอ่อน ขณะที่ดึง ADVANC ขึ้นมาแทนที่ อย่างไรก็ดี ด้วยเหตุผลที่ หุ้นและอสังหาฯทั่วโลกจะต้องดิ่งลงอย่างหนัก ตลาดไทยย่อมไม่สามารถหลีกเลี่ยงชะตากรรมนี้ไปได้ SET คงจะยืนตรงนี้ไปไม่ได้นานนัก หลังจากนั้นคงอ่อนตัวต่อเนื่องไปจนถึงกลางปีหน้า โดยเป้าหมายของดัชนีอยู่ที่ 480 จุด....
ขณะที่ดัชนี NASDAQ ของอเมริกา คงลงได้จากจุดนี้ไปอีก 50%
เหตุที่ SET คงไม่ลงไปต่ำมากนัก ก็เพราะมีเงินลงทุนระยะยาวจำนวนมาก เช่น RMF, LTF เงินของกบข. และ เงินกองทุนประกันสังคม จะเข้ามาช่วยพยุงตลาดหุ้นเอาไว้ได้บ้าง
ศก.รอบนี้ไม่ใช่ฟองสบู่ เพราะท่านนายกฯ บอกไว้แล้วว่า 5 ปีนี้จะไม่มีฟองสบู่เกิดใหม่แน่ เพราะเกาะติดตัวเลขทางศก.ทุกตัว สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เราจะเรียกว่า "ฟองแชมพู" ครับ
ชนชั้นกลางที่เพิ่งซื้อบ้านไปเมื่อ 1-2 ปี มีแนวโน้มว่าหนี้บ้านจะสูง 7-8 เท่าของรายได้ทั้งปี เมื่อรวมกับหนี้ไฟแนนซ์รถยนต์ และ สินเชื่อเพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์เครื่องไฟฟ้า ก็มีแนวโน้มว่าตัวเลขหนี้สินนี้อาจสูงกว่า 10 เท่าของรายได้ทั้งปี
อัตราส่วนหนี้สินต่อรายได้สูง 1000% ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แม้ว่าตัวเลขทางการจะออกมาประมาณเพียง 50% ซึ่งต่ำกว่าเพื่อนบ้านอย่างเกาหลี ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อเมริกาก็ตาม
ตัวเลข 100% ก็ควรระวัง 200% นับว่าอันตราย
แล้วลองคิดดูว่าตัวเลข 1000% จะนอนหลับกันไหม
ยามอัตราดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น....
ต้นเหตุของศก.ฟองแชมพู กับวิกฤติต้มยำกุ้งนั้นแตกต่างกันมาก เพราะรอบนี้ปัญหาเกิดจากอเมริกา และ จีนร่วมๆ กันสร้างขึ้นมา แต่ยามที่ฟองแตกแล้ว รอบนี้ความเจ็บปวดจะตกไปที่ชนชั้นกลาง SME และ ระดับรากหญ้า โดยตรง ไม่ใช่อ้อมๆ เหมือนครั้งที่แล้ว
จากคุณ : เฟยหง