Thai VI

เนื่องจากช่วงปี 55 ผมทำกำไรได้ค่อนข้างเยอะ เยอะจนตัวเองเหลิงคิดเอาเองว่าตัวเองเก่งแล้ว ความรู้แน่นแล้ว บางครั้งถึงขนาดคิดว่าตอนนี้ฝืมือเราคงเป็นวีไอระดับแนวหน้าแล้วแน่ๆ ความเก่งน่าจะอยู่อันดับ 70-100 ของไทยมั้งงงง ผมเคยคิดแบบนี้จริงๆครับ ถึงขั้นยืมชีทสัมมนาไทยวีไอมาซีรอกไว้แล้วแต่ ง่ายไป ไม่อ่าน เปิดๆแล้วก็วางทิ้งไว้เฉยๆ

ต่อมาช่วงปลายปี 55 จนถึงปัจจุบัน ผมแทบทำกำไรไม่ได้เลย ไม่ใช่ว่าผมไม่ทำการบ้านนะครับ ผมทำการบ้านอย่างหนักเหมือนเดิมแต่ผมแทบไม่สนใจศึกษาความรู้เพิ่มเติมเลย เอาแต่หาหุ้นอัพไซด์สูงมาแทนที่หุ้นเดิมในพอร์ทอย่างเดียว ผลคือการที่ความรู้ผมยังไม่แน่นพอ บวกกับความมั่นใจเกินไป ผมก็วิเคราะห์พลาดเกือบทุกจังหวะในการปรับพอร์ท

พึ่งจะมาสำนึกตัวได้ว่าจริงๆแล้วผมแทบไม่ได้พัฒนาตัวเองขึ้นเลย ถ้าผมอ่านชีท thaivi ทันทีที่ได้มาก็คงไม่เป็นแบบนี้

ผมอยากโดนตบกะโหลกจริงๆครับ

ขอเรียนเชิญนะครับ ดุด่าว่ากล่าวผมได้ตามสบาย แล้วถ้ามีคำชี้แนะให้ผมก็ขอบพระคุณมากครับ

mood เขียน:ขอเรียนเชิญนะครับ ดุด่าว่ากล่าวผมได้ตามสบาย แล้วถ้ามีคำชี้แนะให้ผมก็ขอบพระคุณมากครับ

กด +1 ให้นะครับ

คงมิบังอาจว่ากล่าวได้หรอกครับ เพราะผมเองก็ยังเป็นแค่ นักศึกษา อยู่

แต่ผมว่า การที่ คุณ mood สามารถหาข้อบกพร่องได้เจอ และลงมือแก้ไขข้อบกพร่องดังกล่าว

ก็นับว่า ดี แล้วครับ

คนเราทุกคน ใครบ้างไม่เคยทำผิด

แต่ผิดแล้ว ต้องศึกษาข้อผิดพลาดเป็นครูสอนใจในภายหน้าครับ

หุ้นไม่ได้ขึ้นทุกวัน อะไรเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า พรุ่งนี้ มะรืน มะเรื่อง

หุ้นในมือคุณจะไม่วิ่ง

ถ้าคิดว่าหุ้นในมือมันดี ก้ถือมันไปเรื่อยๆ การที่ออกมาบอกว่า ไม่ได้ผลตอบแทนอะไรเลย

มันคงเป็นอารมณ์นึง ของคนที่ถือหุ้น

ุหุ้นนะครับไม่ใช่เฟอรารี่ จะได้ซื้อปุ๊ปอีกวันวิ่งปั๊ป

อาชีพนักลงทุนก้แบบนี้แหล่ะครับ ความอดทนและความแข็งแกร่งในใจต้องมากกว่าอาชีพอื่น

ต้องทนถืออย่างอดทน ในเวลาหุ้นไม่ไปไหน

ต้องทนถืออย่างอดทน เมื่อเวลาหุ้นขึ้นไป

ต้องทนถืออย่างอดทน เมื่อเวลาเจอพายุเข้า

ทุกคน มีอารมณ์ทั้งนั้น แต่จะ ควบคุม กลัว โลภ และ เบื่อ ยังไง

3 อารมณ์คอยเป่าอยู่ทั้ง 2 รูหู กลัวก้ให้ขายๆ โลภก้ให้ซื้อๆสิ เบื่อก้ให้ขายๆๆไป


ต้องยืนให้เหนืออารมณ์และอย่าปล่อยตัวไปตามอารมณ์ ไม่งั้น สิบชีวิตก้ไม่พอ

ผมมีคติข้อนึงเวลาเลือกหุ้นแล้ว บางทีก้ไม่ไปไหน บางทีก้วิ่งน้อยว่า

1.ถ้าเลือกหุ้นดีแล้ว ระยะสั้นแม้เจ้ามือตัวปลอมจะทำให้เรา โลภ กลัว หรือ เบื่อ

แต่ระยะยาวแล้ว เจ้ามือตัวจริง คือ ผลประกอบการ จะกำหนดราคาเอง

2.จะซื้อด้วยเหตุผลอะไร ก้ต้องขายด้วยเหตุผลนั้น

3.ผมไม่เคยแข่งขันกับคนอื่น ผมแข่งกับตัวเองให้ เก่งขึ้น รวยขึ้นและ ไม่ได้หวังชื่อเสียง

ลาภยศ ไม่ว่าใครจะบอกว่า ตัวเองได้5เด้งสิบเด้ง ก้ไม่เกี่ยวกับผม

ผมแข่งกับจิตใจผมเอง ดังนั้น ศัตรูตัวฉกาจก้คือ อารมณ์ของผมเอง

4.ช้าแต่ชัวว์ ย่อมจะดีกว่าเร็วแต่ไร้ประสิทธิภาพ หุ้นไม่ใช่เฟอรารี่ ที่จะหวังเอากำไรกับมัน

ได้ในระยะ ไม่กี่วัน ไม่กี่เดือน

5.บางครั้งที่สงสัย ก้มักพลิก ตีแตก กลับมาอ่านอีกรอบ

จุดนึงเราอาจจะไม่เคยผ่าน พอผ่านมาแล้ว พลิกหนังสือกลับมาอ่าน ก้เหมือนเข้าใจมากขึ้น

6.สิ่งที่ยากที่สุด คือ การเข้าไปลงทุนโดยปราศจาก ความรู้ในกิจการนั้น

ดังนั้นถ้ามันผิดตั้งแต่ต้น ก้จงเรียนรู้ที่จะเดินผิด และจะได้เดินถูก

ขอบคุณครับ

ขอบคุณ คุณ chukieat30 ครับ

สำหรับข้อคิดดี ๆ ผมขออนุญาตนำไปลงในเฟสบุ้คนะครับ และจะให้เครดิตกับ คุณ Chukieat30 และเวป Thai Vi ด้วยครับ

ไม่มีคำด่าครับ

มีแต่จะขอบคุณที่แชร์ข้อผิดพลาด เป็นประโยชน์มากครับ

ผมจะบอกตัวเองเสมอว่า เราไม่ใช่คนเก่ง และเราไม่ได้เก่งกว่าคนอื่น
ผมจะมองหาหุ้นที่ลงทุนแล้วโอกาสขาดทุนน้อยมากที่สุดก่อนเสมอ
ผมไม่ได้มองหาหุ้นที่เงินปันผล เพราะ เงินปันผล แปรผันกับ ผลประกอบการ อยู่ดี
ผมจะมองหาหุ้นที่อนาคต โดยราคาในปัจจุบันต้องมี Discount
การดู discount ผมก็อาศัยข้อมูลง่ายๆ เช่น pe pb marketcap เปรียบเทียบ
ผลตอบแทนไม่ได้บอกว่าเราเก่ง เพียงแต่บอกว่าเรา คิดถูก เท่านั้น
บางครั้ง เราอาจจะคิดผิดก็ได้ แต่เราควรจะถูกมากกว่าผิด
เราไม่จำเป็นต้องตีลูกที่ขว้างมาทุกครั้ง เพียงแต่ตีเมื่อเราเห็นมันชัดเจนก็พอ

และ เราก็เป็น แค่นักลงทุน คนหนึ่ง เท่านั้น

mood เขียน:ต่อมาช่วงปลายปี 55 จนถึงปัจจุบัน ผมแทบทำกำไรไม่ได้เลย ไม่ใช่ว่าผมไม่ทำการบ้านนะครับ ผมทำการบ้านอย่างหนักเหมือนเดิมแต่ผมแทบไม่สนใจศึกษาความรู้เพิ่มเติมเลย เอาแต่หาหุ้นอัพไซด์สูงมาแทนที่หุ้นเดิมในพอร์ทอย่างเดียว ผลคือการที่ความรู้ผมยังไม่แน่นพอ บวกกับความมั่นใจเกินไป ผมก็วิเคราะห์พลาดเกือบทุกจังหวะในการปรับพอร์ท

คุณอยากหาความรู้เพิ่มขึ้นก็ดีแล้วครับ แต่ผมคิดว่าคุณไม่ควรเอาระยะเวลาแค่สั้น ๆ มาตัดสินว่าคุณดีหรือแย่นะครับ ไม่อย่างนั้นวอร์เรน บัฟเฟตต์หรือจอร์น เนฟฟ์ คงต้องตำหนิตัวเองเหมือนกันในตอนที่เค้าเหล่านั้นไม่ยอมซื้อหุ้นดอทคอมแล้วมันวิ่งเอา ๆ

การซื้อหุ้นทุกครั้งมีความเสี่ยง
ซื้อหุ้น 1 ครั้ง ก็เสี่ยง 1 ครั้ง
ซื้อหุ้น 10 ครั้งก็เสี่ยง 10 ครั้ง
เราควรใช้ชีวิตให้อยู่กับความเสี่ยงน้อยครั้งที่สุด
โอกาสที่จะเจ็บตัวก็น้อยครั้งกว่า

สำคัญที่กำไรของกิจการที่ซื้อมาเป็นไปตามที่คาดหรือเปล่า ถ้าใช่แสดงว่าคุณคิดถูก แต่ราคามันดันไม่ขึ้นก็อย่าได้โทษตัวเอง

ผมว่าน้า mood คิดผิดนะครับ ผมเองอ่านชีท อ่านหนังสือ vi ทุกเล่ม
อ่านทุกอย่างเกี่ยวกับ vi ไปสัมมนาทุกสัมมนา company visit opp day ไปหมด
ยังลงทุนปลายปี 55 ถึงปัจจุบัน ไม่ได้กำไรเลย 55
พี่วิบูลย์ 007 แกยังเคยให้สัมภาษณ์ถือหุ้นอยู่ตัวนึงราคาไม่ไปไหน 6-7 ปี
อยู่ๆปีที่ 7 มั้งวิ่งตูมเดียว 10 เด้ง ก็มีมาแล้ว น้า mood ใจเย็นๆ เด้อ
หลักการ vi เอาเข้าจริงๆ ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนมากมายเลย ผมว่าเป็นอะไรที่เบสิคมากๆๆๆๆๆๆๆ
จับต้องได้เป็นเหตุเป็นผล และให้เวลาเป็นเพื่อน แค่นั้นเอง
เอาเข้าจริงๆนะ สำหรับผม เป็นการลงทุนที่น่าเบื่อที่สุดในโลก ไม่ตื่นเต้น มีแต่รอๆ แล้วก็รอ
แต่ไอ้ที่น่าเบื่อนี่ กลับทำเงินได้มากที่สุด และชนะการลงทุนทุกแนวทาง 55

เหมือนอาจารย์นิเวศน์แกย้ำเสมอครับ ซื้อหุ้นที่ดี สุดยอด และถือให้นานที่สุด ตราบเท่าที่พื้นฐานยังไม่เปลี่ยน

แม้ราคาจะเกินพื้นฐาน แต่ถ้าบริษัทยังดีมาก ราคามันก็จะไม่ลง เช่น เจ้า cpall ถามหน่อยใครว่าไม่แพง

แต่จะรอซื้อถูกๆ ถามว่าชาตินี้จะมีโอกาสมั้ย อิอิ

ผมมองตรงกันข้ามครับ

ผมว่านี่คือข้อดี เพราะประสบการณ์จะสอนให้เรารู้ว่า สิ่งที่เราคิดนั้นถูกต้องหรือไม่
เมื่อเกิดปัญญา วิชาคือความรู้แจ้งย่อมตามมา

สุดท้ายเราก็จะบรรลุเป้าหมายได้ตามที่มุ่งหวังไว้ครับ

ฉลาดแต่หยุดอ่านจะสู้โง่แต่อ่านไม่หยุดไม่ได้

ขอบังอาจแนะนำหนึ่งข้อ

คือ....
ให้เลิกการตั้งเป้าหมายว่าจะทำกำไรจากหุ้นให้สูงที่สุด

แล้วเปลี่ยนแผนที่ความคิดใหม่ เป็น...
ให้ค้นหาหุ้นของกิจการที่ดีเลิศมาไว้ในครอบครองและเป็นเจ้าของหุ้นนั้นให้นานที่สุด

แล้ว...
ความมั่งคั่งจะทะยอยมาหาคุณเอง

ตั้งแต่ปลายปีถึงปัจจุบัน งบอะไรก็ยังไม่ออกเลย รู้ได้ยังไงว่าวิเคราะห์ถูกหรือผิดครับ

ขอบคุณครับ

ส่วนใหญ่ที่เชื่อว่าวิเคราะห์ผิดคือตัวที่ขายไปแล้ว และจังหวะปรับพอร์ทครับ

พอดีเข้ามาอ่านน่ะค่ะ เห็นคุณ mood พูดถึงชีทสัมมนาไทยวีไอ ไม่ทราบพอจะขอได้จากที่ไหนคะ ที่สมาคมหรือเปล่าคะ มือใหม่อยากขอความรู้บ้างน่ะค่ะ ขอบคุณค่ะ

ชีทที่ผมพูดถึงคือ ชีท powerpoint หลักสูตรอบรมการลงทุนแบบเน้นคุณค่า รุ่นที่ 1 หนาประมาณ 200 กว่าหน้าอะครับ ผมไม่แน่ใจว่าซีรอกชีทแจกกันนี่จะเหมาะสมหรือเปล่า (แต่ผมก็ก็อปเค้ามาเหมือนกัน อยากแจกคนอื่นด้วยเพราะเนื้อหาดีมากๆ) แต่ถ้าบอกว่าเป็นมือใหม่มีอะไรให้อ่านอีกเยอะเลยนะครับ อย่างหลักสูตรอบรมฯเนี่ย สมาคมก็แนะว่าต้องอ่านหนังสือมาก่อน 3 เล่ม 1 ตีแตก 2 อ่านงบการเงินให้เป็น 3 วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวเอง

จริงๆวัดผลตอบแทนแค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆไม่กี่เดือน แล้วประเมินความสามารถตัวเอง
ผมว่าไม่ถูกต้อง โดยหลักการ VI แล้วต้องใช้ระยะนานหลายสิบปีเพื่อพิสูจน์ ความสามารถตนเอง ถ้าคุณทำได้มันจะติดตัวคุณ ไปตลอดนะครับ

ปีที่แล้ววีไอเล่นพวกค้าปลีกผมก็ไม่ได้ตัง แต่พอปีนี้ก่อสร้างมาผมได้ตังคุ้มค่าการรอคอยเลย
สรุป หาทางของตัวเองให้เจออย่าไปสนใจความรวยของคนอื่น (หาเมคกาเทรน)

mood เขียน:ชีทที่ผมพูดถึงคือ ชีท powerpoint หลักสูตรอบรมการลงทุนแบบเน้นคุณค่า รุ่นที่ 1 หนาประมาณ 200 กว่าหน้าอะครับ ผมไม่แน่ใจว่าซีรอกชีทแจกกันนี่จะเหมาะสมหรือเปล่า (แต่ผมก็ก็อปเค้ามาเหมือนกัน อยากแจกคนอื่นด้วยเพราะเนื้อหาดีมากๆ) แต่ถ้าบอกว่าเป็นมือใหม่มีอะไรให้อ่านอีกเยอะเลยนะครับ อย่างหลักสูตรอบรมฯเนี่ย สมาคมก็แนะว่าต้องอ่านหนังสือมาก่อน 3 เล่ม 1 ตีแตก 2 อ่านงบการเงินให้เป็น 3 วัดมูลค่าหุ้นด้วยตัวเอง

ต้องขออนุญาติสมาคมก่อนหรือเปล่า ถ้าสามารถแจกได้รบกวนช่วยแชร์ให้ด้วยละกันครับ

ขอบคุณมากค่ะ พอจะเข้าใจค่ะเรื่องความเหมาะสม แต่ที่ถามเพราะเกรงว่าไม่ทราบสามารถจะสมัครอบรมได้เมื่อไร เพราะสมาชิกล้นหลามมาก และตัวเองความไวต่ำค่ะ 555 ส่วนหนังสือเนี่ยมีแล้วทั้ง 3 เล่มค่ะ ตีแตกอ่านเรียบร้อย เล่มอ่านงบการเงินให้เป็นนี่อ่านแล้วแอบงง เรื่องการบันทึกบัญชีอยู่ค่ะ แบบว่าเด็กศิลป์น่ะค่ะ (ไม่ทราบว่าจะมีเล่มอื่นที่ช่วยความเข้าใจได้อีกหรือไม่) ส่วนเล่มวัดมูลค่าหุ้นยังไม่ได้เริ่มอ่านค่ะ อย่างไรจะลองอ่านและทำความเข้าใจให้ได้มากที่สุด หากติดขัดจะแวะมาขอความรู้พี่ๆเพื่อนๆค่ะ ขอบคุณมากค่ะ

ไม่ทราบว่าจะรบกวนเกินไปหรือเปล่าถ้าจะขอให้ post ชีท VI สักสองสามแผ่นที่ถ้าได้อ่านแล้วจะทำให้ผลตอบแทนตั้งแต่ปลายปี 55 ดีขึ้น

ท่าจะหลายแผ่นอยู่ครับ ประเด็นที่คิดว่าตัวเองผิดจังๆ ก็
- ซื้อหุ้นเร็วเกินไม่ได้ศึกษามาอย่างดีพอ
- ให้ความสำคัญกับความสามารถ/แรงจูงใจ/ธรรมาภิบาล ของผบห.และเจ้าของบ.น้อยไป
- ประเมินมูลค่า กำไร/ขาดทุน ที่ไม่ได้มาจากการดำเนินงานปกติมากไป
- ประเมินหุ้นวัฏจักรด้วย p/e สูง
- มองข้ามตัวเร่งที่น่าจะทำให้ราคาหุ้นไปถึงเป้าหมายเร็วขึ้น ทั้งที่เป็นหุ้นที่วิเคราะห์เชิงปริมาณ/คุณภาพมาละเอียดแล้ว

ประมาณนี้ครับ ทำให้ผมปรับพอร์ทจากหุ้นที่คิดว่า upside 20-30% ความเสี่ยงต่ำ ไปเข้าหุ้นที่คิดว่า upside มากกว่านี้ แต่วิเคราะห์ผิด คือผิดแบบว่าพอไปศึกษาเพิ่มก็พอจะรู้อะครับว่าตัวเองคิดผิดแน่

อยู่ในช่วงสำนึกผิดครับ

silverfin เขียน:ขอบคุณมากค่ะ พอจะเข้าใจค่ะเรื่องความเหมาะสม แต่ที่ถามเพราะเกรงว่าไม่ทราบสามารถจะสมัครอบรมได้เมื่อไร เพราะสมาชิกล้นหลามมาก และตัวเองความไวต่ำค่ะ 555 ส่วนหนังสือเนี่ยมีแล้วทั้ง 3 เล่มค่ะ ตีแตกอ่านเรียบร้อย เล่มอ่านงบการเงินให้เป็นนี่อ่านแล้วแอบงง เรื่องการบันทึกบัญชีอยู่ค่ะ แบบว่าเด็กศิลป์น่ะค่ะ (ไม่ทราบว่าจะมีเล่มอื่นที่ช่วยความเข้าใจได้อีกหรือไม่) ส่วนเล่มวัดมูลค่าหุ้นยังไม่ได้เริ่มอ่านค่ะ อย่างไรจะลองอ่านและทำความเข้าใจให้ได้มากที่สุด หากติดขัดจะแวะมาขอความรู้พี่ๆเพื่อนๆค่ะ ขอบคุณมากค่ะ

การบันทึกบัญชีจะมีรายการมากน้อยเพียงไร ก็หนีไม่พ้น กลุ่มใหญ่ ๆ 5 ตัวหลัก

กล่าวคือ รายการต่าง ๆ ล้วนแต่ต้องอยู่ในหมวดหมู่ใหญ่ 5 หมวดหมู่ครับ คือ

1. สินทรัพย์ 2. หนี้สิน 3. ส่วนของผู้ถือหุ้น (หรือ ทุน) 4. รายได้ 5. ค่าใช้จ่าย

ว่าจะเข้ามาเบิ้ด แต่ก็ขอบคุณในความเอื้อเฟื้อที่แบ่งปันความผิดพลาดให้ผองเพื่อนสมาชิกรับทราบโดยทั่วกัน

mood เขียน:ท่าจะหลายแผ่นอยู่ครับ ประเด็นที่คิดว่าตัวเองผิดจังๆ ก็
- ซื้อหุ้นเร็วเกินไม่ได้ศึกษามาอย่างดีพอ
- ให้ความสำคัญกับความสามารถ/แรงจูงใจ/ธรรมาภิบาล ของผบห.และเจ้าของบ.น้อยไป
- ประเมินมูลค่า กำไร/ขาดทุน ที่ไม่ได้มาจากการดำเนินงานปกติมากไป
- ประเมินหุ้นวัฏจักรด้วย p/e สูง
- มองข้ามตัวเร่งที่น่าจะทำให้ราคาหุ้นไปถึงเป้าหมายเร็วขึ้น ทั้งที่เป็นหุ้นที่วิเคราะห์เชิงปริมาณ/คุณภาพมาละเอียดแล้ว

ประมาณนี้ครับ ทำให้ผมปรับพอร์ทจากหุ้นที่คิดว่า upside 20-30% ความเสี่ยงต่ำ ไปเข้าหุ้นที่คิดว่า upside มากกว่านี้ แต่วิเคราะห์ผิด คือผิดแบบว่าพอไปศึกษาเพิ่มก็พอจะรู้อะครับว่าตัวเองคิดผิดแน่

อยู่ในช่วงสำนึกผิดครับ

ขอบคุณครับ
แล้วที่ทำการบ้านอย่างหนัก ไปทำการบ้านเรื่องอะไรมาครับ
แล้วหุ้นประเภทใหนที่ upside สูง แล้วเลือกแล้วไม่ได้ดังหวังเพราะอะไรหรือครับ

ช่วงนั้นก็ลุยหาหุ้นไปเรื่อยๆครับ ยังไม่มีหุ้นกลุ่มไหนที่ถนัดเป็นพิเศษ

ส่วนที่เลือกแล้วไม่ได้ดังหวัง จริงๆผมผิดหวังการขายหมูของตัวเองมากกว่าการเลือกหุ้นใหม่ครับ จิงอยู่ว่างบยังไม่ออกอาจเร็วไปที่จะตัดสินว่าตัวเองคิดถูกหรือผิด แต่ในงบส่วนใหญ่เป็นข้อมูลเชิงปริมาณนะครับ ข้อมูลเชิงคุณภาพ รวมถึง catalyst ต่างๆสามารถหาข้อมูลได้ตลอดเวลา