Thai VI

N-PARK
IEC
LIVE
AIM
SLC
KMC
TSF
PAE
RML

หุ้นเหล่านี้ช่วงเวลาที่ผ่านมา บางตัวใช้เวลาไม่ถึงเดือนขึ้นมา 4-10 เด้ง เกินกว่าหุ้นพื้นฐานทั่วๆไปจะทำได้ ทั้งๆที่ผลประกอบการยังขาดทุน เลยอยากทราบว่ามีใครคิดบ้างมั้ยครับว่ามันจะเป็นหุ้น turn around ในอนาคต หรือขึ้นเพราะแรงปั่นล้วนๆ ผมมองไม่ออกจริงๆครับ เพราะบางครั้ง บางเหตุการณ์ คำว่าturn around กับคำว่าปั่น มันแยกกันไม่ออกจริงๆ
เหมือน kamart, spcg ที่กว่าคนจะเปลี่ยนความคิด ว่าไม่ใช่หุ้นปั่นนะ มันก็ขึ้นไป 3-4 บาท หรือ เป็น 10 เด้งแล้ว เราพลาดอะไรกันไปรึปล่าวครับ

และหุ้นที่ว่ามา ตัวไหนบ้างที่ในอดีตเคยเป็นหุ้นดีบ้างครับ

หุ้นไม่ปั่นก็อาจเป็นหุ้น turnaround ได้
หุ้นปั่นก็เป็นหุ้น turnaround ได้
หุ้น turnaround ก็เป็นหุ้นปั่นได้
หุ้น turnaround ก็อาจไม่เป็นหุ้นปั่นได้


ปั่น เป็นพฤติกรรมของการเล่น กดราคาต่ำให้ทิ้ง กระตุกขึ้นปล่อยข่าวให้บินตาม เทขายเอากำไร ตกลงมาใหม่ กดไปซื้อของถูกอีก "รอบ"

turnaround เป็นความสามารถพลิกฟื้นกิจการของผู้บริหารและทีมขับเคลื่อนบริษัท


การไม่ตกเป็นเหยื่อหุ้นปั่น ก็เหมือนคาถาเด็ด "ยิงไม่ออก ฟันไม่เข้า"
ท่องไว้ ก็คำนั้นแหละ "ยิงไม่ออก ฟันไม่เข้า"
เขายิงกันอยู่ ได้ยินเสียงปังๆ ไม่ออกมาเพ่นพ่านให้เป็นเหยื่อกระสุน
เขาฟาดฟันกันอยู่ ไม่เข้าไปชุลมุนสถานที่เขารบราฆ่าฟันกัน

เลิกเข้าไปยุ่ง ไปสนใจร่วมวงพฤติกรรมการเล่น (สังเกต ดูเอามันได้ อย่าเคลิ้มตาม)
แต่มาดูแนวโน้มผลประกอบการแทน

ส่วนตัวอย่างข้างต้น

ถ้าเราไม่ถนัดจริง ไม่รู้จักกิจการ สินค้า บริการ อะไรของมันเลย ก็อย่าเข้าไปยุ่ง
(ยอมเสียโอกาส ที่จะไม่ได้กำไร ดีกว่ามีโอกาส ที่จะขาดทุนหนัก)

แต่ถ้าเราติดตาม "กิจการไหน" ใกล้ชิดจริง เราจะรู้ "แนวโน้ม" ได้ มีโอกาสถูกมากกว่าผิด


ให้มองการลงทุนเป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ความเชื่อ
ถ้าศรัทธา ก็ให้มาจากความรู้จัก ติดตาม จนเชื่อมั่น

แต่ถ้าดูเผินๆ ราคาพุ่งดีเว๊ย! น่าลงทุน
นั่นแหละ ยิ่งกว่าไสยศาสตร์อีกนะ

ผมชอบของชัวร์ครับ
ถ้าไม่ชัวร์ เพราะไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่อง
ก็อยู่เฉยๆ ปล่อยให้โอกาสผ่านไปดีกว่า
ไว้รอโอกาส และจังหวะของตัวเองครับ
เผลอแพล็บๆ ประเดี๋ยวก็มา
ทีนี้ก็จะเดือดร้อน
ว่าจะเอาเงินที่ไหนมาซื้อ
เพราะถือหุ้นอยู่เต็มพอร์ต
ต้องมาเลือกตัดแบ่งขายอีก

ไม่ได้ว่า list ข้างบนปั่นนะครับ
เพราะมีคนรู้จักที่ได้กำไรเป็นเด้งๆ
กับ AIM และ PAE
แต่ทำได้แต่แสดงความยินดีครับ
ส่วนเราก็บริหารพอร์ตของเราต่อไป

คิดซะว่าเป็นวิ่งมาราธอนแล้วกันครับ
ไม่ใช่วิ่งร้อยเมตร

http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... &start=120

ลองอ่านของพี่ Pak นะครับ ดีมากๆเลย

ผมก็ถือ pae นะครับ
ถือมานานมากไม่รู้เรียกวิ่งร้อยเมตรหรือมาราธอนเหมือนกัน
มีทั้งช่วงเจอเพิ่มทุน
เจองบขาดทุน
เจอทั้งเวลาได้งานเยอะๆแต่ไม่ออกข่าว
เจอทั้งเพื่อนๆพี่ๆที่ตามดูไซด์งานจึงรู้ว่างบขาดทุนจากอะไร
เจอทั้งประธานบริษัท ที่ยังให้ความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน
เจอทั้งคนซื้อหุ้นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะ
เจอทั้งแรงต่อว่าตอนช่วงราคาหุ้นตกเอาๆ. (ทั้งที่ได้งานใหญ่)
พอหุ้นขึ้นมาก็บอกอีกว่ามันเป็นหุ้นปั่น


สุดท้ายผมก็ถือต่อไปในหุ้นที่เราเข้าใจและศึกษามา
อย่างที่ว่าพี่ pak ว่า

เม่าเสาะกราว เขียน:ผมก็ถือ pae นะครับ
ถือมานานมากไม่รู้เรียกวิ่งร้อยเมตรหรือมาราธอนเหมือนกัน...

ผมไม่มีเจตนาจะเสียดสีใครนะครับ
คนที่ผมรู้จัก เขาก็มีเหตุผลในการเลือกของเขา
ตัวผมเองก็มีเหตุผลในการเลือกเหมือนกัน
เราต่างคนต่างเลือก

หุ้นจะปั่นไม่ปั่น ไม่ใช่เรื่องสำคัญ
เพราะเราไม่ได้วิ่งแข่ง ไม่ได้วิ่งร้อยเมตร
ใครจะแซงก็ปล่อยเขาแซงไป
เราก็วิ่งตามกำลัง และรักษาจังหวะของเรา
ต่างคนต่างวิ่งครับ

คล้ายๆ วิ่งมาราธอน

ปีใหม่ทั้งที ขอ post แบบเสี่ยง ๆ หน่อย 555 ข้างล่างนี้เป็นความเห็นและความรู้ที่ผมมีต่อหุ้นเหล่านี้ ซึ่งไม่ลึกนะครับ แค่ติดตามผ่าน ๆ
IEC เท่าที่ตามดู มีการเปลี่ยนแปลงกรรมการ และผู้บริหารใหม่ น่าจะมีการเปลี่ยนเจ้าของ ต่อไปคงเอาธุรกิจใหม่มาใส่ เห็นว่าเป็นพวกพลังงานทดแทน solar farm - เคยคิดจะเข้าจองสิทธิเพิ่มทุนที่ 0.01 บาท แต่เปลี่ยนใจไม่เอา กลัวโดน SP หากขาดทุนต่อเนื่องไปอีก ความคิดผมเป็นแบบ Upside สูง Downside สูง ถ้าจะเข้าเสี่ยง แถว ๆ 0.01 บาทน่าจะ ok แต่ถ้าเห็นราคาขึ้นมาเป็นเด้งแล้ว เสี่ยงนะถ้าไม่รู้จริง

LIVE งบไตรมาสล่าสุดเปลี่ยนเป็นกำไรแล้ว แถว ๆ 0.15 ก็เล็ง ๆ แต่ดูแล้วผู้บริหารยังเป็นกลุ่มเดิมอยู่ เลยยังไม่รู้ว่าจะมีอะไรเปลี่ยนไปมั้ย มีธุรกิจใหม่มั้ย ได้แต่ดู ตอนนี้ขึ้นมาหลายเด้งแล้ว ราคานี้ผมว่าเสี่ยง เป็นแบบ Upside ไม่รู้ Downside สูง

AIM มีการทำ biglot ADAM ขาย AIM ออก น่าจะมีกลุ่มผู้ถือหุ้นใหม่เข้ามาแทน อีกหน่อยคงเอาธุรกิจใหม่เข้ามาซึ่งยังไม่รู้เหมือนกันว่าคืออะไร ตัวนี้เคยเข้าซื้อแถว ๆ 0.11 นิดหน่อย ลองเชิง แต่รู้สึกว่าเจ้าของเค้าเช็คชื่อ กดราคาไว้ไม่ให้ไปไหน เลยออกก็ได้ ขาดทุนนิดหน่อย ท่าทางเจ้าที่ไม่ต้อนรับ 555 ถ้าจะเข้าเสี่ยงน่าจะเข้าแถว ๆ ราคา biglot 0.10-0.11 ตอนนี้ขึ้นมาหลายเด้งแล้ว เสี่ยงมาก ผมว่าเป็นแบบ Upside ไม่รู้ Downside สูง

SLC ไม่ได้ตาม แปลงร่างเป็นหุ้นอื่นไปแล้ว

KMC เห็นเพิ่มทุนมาเยอะ ได้ข่าวว่านักลงทุนไฟฉายเข้า เลยไม่ได้ตามต่อ

TSF อันนี้มารู้ทีหลังว่า เค้าได้สัญญาโฆษณารถเมล์ทั่ว กทม เพื่อนผมรู้จักกลุ่มเจ้าของด้วย เสียดายเจอเพื่อนเก่าคนนี้ช้าไปหน่อย ขึ้นมามากแล้ว ผมว่าเป็นแบบ Upside ไม่รู้ (น่าจะเหลือไม่มาก) Downside สูง

PAE หุ้นรับเหมา ผมไม่ถนัด ผมคิดว่าเสี่ยง เป็นแบบ Upside ไม่รู้ Downside สูง

RML อันนี้ค่อนข้างชัดว่า turn around เป็นกำไร ตัวนี้มีพี่นักลงทุนสะกิดตั้งแต่ 0.40-0.50 แต่ไม่ได้ซื้อ ตอนนี้ขึ้นมาหลายเด้งแล้ว ผมได้แต่ดู ราคานี้เดาว่าน่าจะเป็นแบบ Upside ไม่รู้ (น่าจะเหลือไม่มาก) Downside สูง

สรุป ตามมาหมด แต่รู้สึกว่าเสี่ยง เลยไม่ได้เข้าแบบมีนัยยะสักตัว (สำหรับผม > 5% ของ port ถือว่านัยยะ)

ได้แต่มองหาหุ้นแบบ Upside สูง Downside ต่ำ ส่วนตัวมองที่พื้นฐานเป็นหลัก ปั่นไม่ปั่น ไม่สน แต่ว่าถ้ามีคนมาปั่น สร้าง volume มาก ๆ ก็มีส่วนดีนะ สภาพคล่องสูงดี แต่อย่าไปเป็นเหยื่อเค้าแล้วกัน

ผมว่าเราเปลี่ยนมุมมองเป็นหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่า หรือ สูงกว่ามูลค่า ของบริษัท

และส่วนสำคัญคือตัวผู้บริหารครับ

ประเด็นสำคัญอยู่ที่เราประเมินมูลค่าบริษัทเหล่านั้นได้หรือเปล่า

ถ้าผมสามารถซื้อได้ต่ำกว่ามูลค่ามาก ๆ (mos )ผมก็ซ้ือครับ

ยกตัวอย่างถ้าทุกตัว discount สัก 50% ผมก็จะเลือกซื้อบางตัวที่ผมสามารถประเมินมูลค่าได้ครับ

หุ้นปั่นก้เหมือนคนไม่ดีครับ คนไม่ดีหากแม้ไม่กลับตัวก้ยังเป็น

คนไม่ดี แม้ในระยะสั้น

อาจจะแสร้งทำตัวเป็นคนดี แต่สุดท้าย หางจิ้งจอกก้จะโผล่ออกมา

แม้ในระยะสั้นๆ ราคาจะวิ่งไปไกล แต่ระยะยาวแล้วถ้ากิจการไม่ดี สู้เค้าไม่ไหว

ก้จะกลับมาสู่สามัญ


หุ้น turn around ก้เปรียบได้กับ คนไม่ดีที่กลับตัว หรือ คนดีที่เคยทำเลวแล้วคิดได้

หุ้นแบบนี้ สังคมควรให้โอกาศเค้า

ระยะสั้นราคาอาจจะวิ่งแรง แต่ระยะยาว เมื่อเค้าเป็นคนดี ผลกำไร จะตามหลังมาเองครับ

ระยะสั้นตามข่าว ระยะยาวตามผลกำไร

เจ้ามือตัวปลอมคือ เรา เจ้ามือตัวจริงคือ ผลประกอบการ


สุขสันต์วันปีใหม่ หุ้นดีก้เหมือนคนดี แม้ในระยะสั้นคนดีไม่มีคุณค่า แต่ระยะยาว

คุณค่าจะมาแก่ผู้ที่อดทนได้มากพอ

ผมไม่เห็นว่า RML มันจะปั่นนะครับ

เราควรรู้ก่อนว่ารายได้และกำไรมันจะมาจากไหน

พอจะรู้จัก เดอะริเวอร์ กับ 185 ราชดำริ บ้างไหมครับ

ตัวอื่นไม่ comment เพราะไม่รู้จักเหมือนกัน

เม่าเสาะกราว เขียน:ผมก็ถือ pae นะครับ
ถือมานานมากไม่รู้เรียกวิ่งร้อยเมตรหรือมาราธอนเหมือนกัน
มีทั้งช่วงเจอเพิ่มทุน
เจองบขาดทุน
เจอทั้งเวลาได้งานเยอะๆแต่ไม่ออกข่าว
เจอทั้งเพื่อนๆพี่ๆที่ตามดูไซด์งานจึงรู้ว่างบขาดทุนจากอะไร
เจอทั้งประธานบริษัท ที่ยังให้ความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน
เจอทั้งคนซื้อหุ้นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะ
เจอทั้งแรงต่อว่าตอนช่วงราคาหุ้นตกเอาๆ. (ทั้งที่ได้งานใหญ่)
พอหุ้นขึ้นมาก็บอกอีกว่ามันเป็นหุ้นปั่น


สุดท้ายผมก็ถือต่อไปในหุ้นที่เราเข้าใจและศึกษามา
อย่างที่ว่าพี่ pak ว่า

image.jpg

งบขาดทุน
แถมมีหุ้นเพิ่มทุนบักโกรก
แต่ลากราคาไป 4-5 เด้ง
แปลกดีนะเออ

Outliers เขียน:ผมไม่เห็นว่า RML มันจะปั่นนะครับ

เราควรรู้ก่อนว่ารายได้และกำไรมันจะมาจากไหน

พอจะรู้จัก เดอะริเวอร์ กับ 185 ราชดำริ บ้างไหมครับ

ตัวอื่นไม่ comment เพราะไม่รู้จักเหมือนกัน

..."The River" สวยมากๆครับ ^ ^

"มูลค่าที่แท้จริง" คำๆนี้เป็น subjective มากๆ เนื่องด้วยถ้าอนาคตมีความไม่แน่นอนมาก เราก็จะหาค่าดังกล่าวได้ยาก

ผมคิดว่าการคิด upside และ downside นอกจากต้องมีข้อมูลปัจจุบันที่ถูกต้องแล้ว เรายังต้องสร้าง scenario ต่างๆที่เป็นไปได้ในอนาคต พร้อมๆกับตรวจสอบอยู่ตลอดเวลา กฏของการลงทุนในธุรกิจ turn around สำหรับผมคือ

1. ห้ามยุ่งเด็ดขาด หากเราไม่มีข้อมูลมากพอ
2. ดูกฏข้อที่ 1

กับตัวผมถือคติอาจารย์ buffet ไว้อย่างเข้มงวดก็คือ turn around stock all most never turn around และกฏข้อที่1 ของการลงทุนของผมก็คือ อย่าขาดทุน และกฏข้อที่ 2 ของการลงทุนก็คือ ให้ดูกฏข้อแรกอีกครั้ง

หุ้น turn around คือหุ้นที่ทั้งสามารถทำให้เรากำไรได้มากและขาดทุนได้มากเช่นกัน
หุ้น turn around คือหุ้นที่สามารถพลิกจากขาดทุนมาเป็นกำไรได้ หรือพลิกจากแทบจะไม่มีกำไรมาเป็นกำไรมหาศาล ทีนี้มันอยู่ที่ว่าจะพลิกกลับมากำไรได้ 1-2 ไตรมาส หรือสามารถกลับมามีกำไรอยู่ในระดับสูงไปได้ยาวนาน

หากกลับมามีกำไรได้ ครั้งเดียวหรือ 1-2 ไตรมาส และมีคนประโคมข่าว มีนักเทคนิคเข้ามาเล่นก็สามารถมีราคาขึ้นมาได้หลายๆเด้ง แล้วหลังจากนั้นละครับ น่าสยองขวัญไหม
หากสามารถกลับมามีกำไรระดับสูงต่อเนื่องได้ยาวนาน ก็อาจยืนราคาในระดับหลายเด้งไปได้อีกต่อเนื่อง ปีเตอร์ ลินซ์ ถึงกล่าวว่าให้ลืมราคาในอดีตเมื่อจะซื้อหุ้นเพราะคุณอาจพลาดหุ้น 5 เด้งไปเพราะว่ามันขึ้นมา 2 เด้งแล้ว

ปัญหาก็คือว่ามีหุ้นกำลังจะ turn around ที่เป็นข่าวอยู่มากมาย บางตัวก็ขึ้นไปตามข่าวแล้วพอกำไรไม่ได้เป็นตามนั้นก็ตกลงมา แต่ถ้าเราศีกษาหุ้นตัวนั้นมาอย่างลึกซึ้งจริงๆ ก็สามารถจะเจอหุ้น turn around ที่เป็น หุ้น under value ได้ มีกองทุน value investors ระดับโลกที่มีเงินลงทุนมหาศาลที่เน้นการลงทุนเฉพาะหุ้น turn around ที่ได้รับผลตอบแทนระดับสูงต่อเนื่องหลายสิบปีก็มี เพียงแต่ต้องศีกษาและรู้จริงเกี่ยวกับหุ้น turn around จริง ไม่ใช่แต่เพียงอ่านข่าวว่าหุ้นตัวนี้จะ turn around แน่ก็ซื้อโดยไม่ดูว่าจะ turn จริงหรือเปล่าและราคามารองรับแล้วหรือยัง

ณ ปัจจุบัน หุ้นปั่น ก็คงต้องเป็นหุ้นที่มีกำไรเปลี่ยนแปลงไปมาก หรือคาดว่าจะมีกำไรเปลี่ยนไปมาก หรือจะมีข่าวดีใหญ่จึ่งจะสามารถนำมาใช้ได้ แต่คำว่าหุ้นปั่นคงใช้ในความหมายที่ไม่ดี ผิดกฏระเบียบตลาดหลักทรัพย์ ถ้าใครสักคนหรือกลุ่มหนึ่งที่มีเงินพอสมควร ตกลงกันที่จะมาซื้อๆขายๆหลายๆครั้งอย่างผิดปกติทำให้หุ้นตัวหนึ่งให้มีราคาสูงขึ้นเรื่อย ให้เห็นว่ามีการซื้อขายเกิดขึ้นมากมาย จนถึงระดับหนึ่งก็ตกลงว่าจะขายทิ้ง ทำให้คนที่มาซื้อหุ้นที่ระดับราคาสูงขาดทุน หากมีหลักฐานชัดเจนก็ผิดกฏหมายและถูกลงโทษตามตลาดหลักทรัพย์

ดังนั้นหากจะลงทุนในหุ้น turn around คงต้องศีกษาให้ละเอียดจริงๆ ถึงธรรมชาติของหุ้นในกลุ่มนี้ และลงรายละเอียดให้ลึกที่สุดเกี่ยวกับหุ้นตัวที่เราสนใจ ถึงจะมีกำไรและสามารถปกป้องเงินทุนของเราไว้ได้ครับ

kraikria เขียน:กฏของการลงทุนในธุรกิจ turn around สำหรับผมคือ

1. ห้ามยุ่งเด็ดขาด หากเราไม่มีข้อมูลมากพอ
2. ดูกฏข้อที่ 1

ชอบครับ
ผมขออนุญาตนำไปใช้เพื่อ "เตือนตนเองและผู้อื่น" เวลาไปพูดที่ไหนด้วยนะครับ
"รวบรัด สั้น และตรงประเด็น" ดีมากๆเลยครับ

มาติดตามเซียนๆวิเคราะห์เผื่อมีโอกาสหยิบชิ้นปลามันบ้าง

ถ้าวัดกันที่ผลตอบแทนรายปี

อยากได้ผลตอบแทนสูงเสียดฟ้า บางทีก็ต้องไปข้องเกี่ยวกับหุ้นปั่นบ้าง

หลายคนได้มาเป็นร้อยปูเซ็งภายในไม่กี่เดือน ก็เพราะพวกนี้
เลยคิดว่าตัวเองเก่ง

ถ้า Turnaround ได้เพราะเปลี่ยนโมเดลธุรกิจก็โอเค
แต่บางทีซื้อไปตอนยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ผมถือว่าวัดดวงล้วนๆ

ได้กำไรเพราะดวง ก็ไม่ต่างอะไรจากเก็งเลขท้ายหรอกครับ

เฮียคลายเครียดท่านกล่าวไว้ได้ดีมากครับ

http://www.pantip.com/topic/30002671

เหมือนเป็นกระแสจริงๆนะครับช่วงนี้ อะไรๆก็หุ้นturn

กระทู้แบบนี้ กับปีก่อนหน้านี้ ตั้งแต่หลังหมดยุคซัพไพร์ม ก็มีกระแสหุ้นวัฎจักร มาหุ้นเติบโต ตอนนี้ มาหุ้นเทินอะราวกันแล้ว (สงสัยหุ้นเติบโต มันโตไม่ทันใจ)

ผมว่าความเห็นติเพื่อก่อ มันดีนะ ถ้าไม่ใช่ติเพื่อกัด หรือจะใส่ความเห็นแบบคุณ biker คนอ่านก็ได้ประโยชน์แหละ

อย่าโลภเกินความรู้

1. ไม่รู้ก็อย่าไปเล่น
2. ไม่รู้ก็ศึกษาเพิ่มจะได้รู้

ที่สำคัญคือ เงินใครกรุณารับผิดชอบตัวเอง เวลาขาดทุน เสียเงินก็ให้ได้วิชา อย่ามัวโทษทุกอย่างยกเว้นตัวเอง

Turn around ใช้หลักการดันโด
คือ. มันลงได้อีกแค่ไหน. แล้วถ้ามันหยุดลงแล้ว. มันตายหรือเปล่า
คนยังต้องใช้งานหรือไม่ละ

ผมใช้หลักนี้บ่อยๆในช่วงหลัง
รวมถึงตอนเพิ่มทุน IEC ที่ผมมองแล้ว
ถ้ามันมันล้มละลายไป ก็ยังเหลือมูลค่าอยู่ดีแต่จะเป็นทศนิยมเท่าไรก็คิดเอาเอง
(ภาพที่ติดตาผมคือ เช็คของพี่เอ็นโดหรือพี่คลายเครียด เป็นจองธนาคารแห่งหนึ่งที่ตั้แถวสวนมะลิ
กิจการควบรวมส่วนดีไปแล้ว และเลิกกิจการไปแล้ว ผู้ถือหุ้นก็ได้เงินคืน แต่ทศนิยมตำแหน่งที่5 หรือกว่านั้น)
ถ้าตามกฏหมายไทย คือมูลค่าของหุ้นสามัญต่ำสุดได้แค่ 1 สตางค์เท่านั้น
ดังนั้น เคสนี้ผมคิดแค่นี้จริงๆ. ไม่มองลึกแบบ ถอดรากถอนโค่น
ขึ้น 1 ช่องใน Set index คือกำไร 100% แต่ลดลงมิได้ เพราะ
0 สตางค์คือซื้อขายมิได้ และไม่มีหน่วยเงินไทยรองนับด้วย

หุ้นที่ list มาทั้งหมดเนี่ย ผมเองแทบไม่ได้สนใจเลยด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร
แต่มีอยู่ 1 ตัวที่พอจะรู้จักคือ RML

ที่รู้จักเพราะเราเห็น backlog ชัดๆของกิจการ และรู้รายได้ค่อนข้างแน่นอนในระยะเวลา 1 ปีข้างหน้า
แต่เราก็ต้องลุ้นกำไรอยู่ดี เพราะเราไม่แน่ใจค่าใช้จ่ายที่จะต้องเกิดขึ้น

แต่ถ้ามองภาพระยะยาว ยังคงไม่ชัดเจนครับ เพราะฉะนั้นตัวนี้ คงต้องเก็งผลประกอบการระยะสั้น

ความคิดเห็นดีๆทั้งนั้นเลย

ขออนุญาตแปะลิงค์ไว้ในกระทู้ที่ผมตัังไว้ในห้องสินธรด้วยครับ


http://www.pantip.com/topic/30002671

คลายเครียด เขียน:ความคิดเห็นดีๆทั้งนั้นเลย

ขออนุญาตแปะลิงค์ไว้ในกระทู้ที่ผมตัังไว้ในห้องสินธรด้วยครับ


http://www.pantip.com/topic/30002671

สงสัยท่านเอ็นโดไม่เห็นข้างบน
ช้าไปละครับ มีครเห็นกระทู้เอามาแปะก่อนละครับ

เม่าเสาะกราว เขียน:เฮียคลายเครียดท่านกล่าวไว้ได้ดีมากครับ

http://www.pantip.com/topic/30002671

romee เขียน:เหมือนเป็นกระแสจริงๆนะครับช่วงนี้ อะไรๆก็หุ้นturn

กระทู้แบบนี้ กับปีก่อนหน้านี้ ตั้งแต่หลังหมดยุคซัพไพร์ม ก็มีกระแสหุ้นวัฎจักร มาหุ้นเติบโต ตอนนี้ มาหุ้นเทินอะราวกันแล้ว (สงสัยหุ้นเติบโต มันโตไม่ทันใจ)

ผมว่าความเห็นติเพื่อก่อ มันดีนะ ถ้าไม่ใช่ติเพื่อกัด หรือจะใส่ความเห็นแบบคุณ biker คนอ่านก็ได้ประโยชน์แหละ

ไม่ใช่หุ้นเติบโตมันโตไม่ทันใจสิครับ มันโตไม่ทันกับ PE ที่ตลาดให้กันอยู่วันนี้ต่างหาก
ในขณะที่หุ้น วัฏจักร ยังคงรอคอยเวลาของมัน ความอดทน ของนักลงทุนจะเอาชนะในที่สุด

หุ้น turnaround จึงกลายเป็นหุ้นที่น่าลงทุนที่สุด แต่หากจะลงทุนต้องมี ข้อมูลที่มากพอ
ต้องรู้ว่าความเสี่ยง คือ อะไร และ คุ้มที่จะเสี่ยงหรือไม่ อีกทั้งจะป้องกันความเสี่ยงอย่างไร
หุ้นชนิดนี้ จะหอมหวานที่สุด แต่ก็จะขมที่สุดเช่นเดียวกัน หากอ่านพลาด ยังไม่รวมตกเป็น
เหยื่อ หุ้นปั่น ถ้าโดนเข้าไปอีกนี่เรียกว่า นรก 3-4 เด้ง
ถ้าจะเล่นหุ้น turnaround ผมจะดูว่า บริษัท turnaround ด้วยอะไร biz model เปลี่ยน?
เปลี่ยนขนาดไหน? ผบห เปลี่ยน ประวัติเป็นอย่างไร? มีแนวโน้มสีเทาๆ หลีกเลี่ยงเลย

ลงทุนในหุ้น เรานิยมในหุ้นเราได้ แต่อย่าหลงไปกับหุ้นที่เราลงทุน ละกันครับ ขอให้ประสบความสำเร็จทุกท่านครับ

Ii'8N เขียน:

คลายเครียด เขียน:ความคิดเห็นดีๆทั้งนั้นเลย

ขออนุญาตแปะลิงค์ไว้ในกระทู้ที่ผมตัังไว้ในห้องสินธรด้วยครับ


http://www.pantip.com/topic/30002671

สงสัยท่านเอ็นโดไม่เห็นข้างบน
ช้าไปละครับ มีครเห็นกระทู้เอามาแปะก่อนละครับ

เม่าเสาะกราว เขียน:เฮียคลายเครียดท่านกล่าวไว้ได้ดีมากครับ

http://www.pantip.com/topic/30002671

แฮะ แฮะเห็นแล้วครับ
แต่ผมเห็นว่า กระทู้นี้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับหุ้นปั่นได้ดีมากครับ
ก็เลยขอเอาไปตัดแปะครับ

ปั่นไม่ปั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ

ผมคิดว่า
ถ้ายึดมั่นในหลักการของ value investor
สาระสำคัญคือการมองเห็นเบาะที่รองรับ
ในตัวของกิจการครับ

สำหรับในบางกิจการนั้น
นักลงทุนบางคนจะมองเห็นเบาะ
แต่นักลงทุนบางคนกลับมองเห็นเป็นหุบ

สิ่งที่นักลงทุนควรจะแลกเปลี่ยนกัน คือ
เบาะที่ว่า คือ อะไร และ มันอยู่ที่ตรงไหน

ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ที่จะมีคนเห็นด้วย
และไม่เห็นด้วย

อย่างน้อย การถกกัน ยอมเป็น value สำหรับคนอ่าน

ช่วยให้เพื่อนนักลงทุนไม่ตกเป็นเหยื่อ
ของหุ้นต้มตุ๋น

บทความเก่าๆของผม ที่เขียนไว้ตั้งแต่ปีที่แล้วครับ


บทความเรื่อง : ความเชื่อ ความหวัง ความฝัน และ ความจริง
By pak , 6 ส.ค. 2554
"อย่าไปรักหุ้นนะ เดี๋ยวเจ็บตัว"
ประโยคที่ผมอ่าน และเก็บมานั่งขบคิดถึงประโยคนี้อยู่หลายวันทีเดียว

สำหรับบางบริษัทฯ...
ไม่ว่าจะปี 2538 , ปี 2540 จนถึงปีปัจจุบัน นั้น
ไม่ว่า Set หรือราคาหุ้นจะเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน
แต่ผู้ถือหุ้นใหญ่ก็ยังเป็นคนเดิมอยู่!!!
บ้างถือหุ้นในจำนวนและสัดส่วนที่เท่าเดิม ,บ้างเพิ่มมากขึ้น และบ้างก็ลดลง

ผมถามตัวเองว่า "หัวใจของเค้า...รู้สึกเช่นไร?"
และผมพยายามเรียนรู้ที่จะรู้สึกให้คล้ายเช่นนั้น

หุ้น...บางคนเรียกว่า "Share" หรือ "Stock"
แต่สำหรับผมแล้ว
หุ้น...มันหมายถึง "หุ้นส่วน" และผมเรียกมันว่า "Partnership"

ดังนั้น ผมจึงไม่เคย "เล่นหุ้น"
แต่ผมคิดเสมอว่า...
ผมกำลังตัดสินใจ เป็น Partnership กับบริษัทฯที่ผมมองเห็นโอกาสในการเติบโตในอนาคต

"ความเชื่อ"...คือ สิ่งที่อยู่ในใจ เป็นผลมาจากการสังเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดที่เรามี ทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ

"ความหวัง"...คือ อนาคตที่เราวาดไว้ อันเนื่องมาจากความเชื่อ

"ความฝัน"...คือ สิ่งที่ผลักดันให้เราก้าวเดินไปข้างหน้า โดยใช้ความเชื่อและความฝัน

และ "ความจริง"....คือ การเฉลยข้อสอบของ "ความเชื่อ" ของเรา ว่ามันเป็นความเชื่อที่ถูก หรือ ความเชื่อที่ผิดกันแน่?

ในกระดานการซื้อขายของหุ้น
มี 361 วัน...ที่เราเทรดกันด้วยความเชื่อ ความหวัง และความฝัน
แต่จะมีเพียง 4 วันเท่านั้น...ที่เราจะเทรดกันด้วยความจริง นั่นก็คือวันที่ประกาศผลประกอบการออกมานั่นเอง!!!

ไม่เกิน 5 วันทำการแล้วนะครับ...."ความจริง" ทั้งหมดจะประกาศออกมา
การเฉลยข้อสอบครั้งนี้ คงจะต้องมีทั้งคนสมหวังและผิดหวัง

ท้ายที่สุด นี้...
เวลามีคนถามผมว่า "ถือหุ้นอะไรอยู่บ้าง?"
ผมมักจะตอบว่า
ผมมีหุ้นของบริษัท A อยู่จำนวน XXX หุ้น ติดเป็นสัดส่วน YYY% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด
โดยไม่คำนึงถึง "ราคาบนกระดาน" และ "ต้นทุนของตัวเอง" เพราะมันเป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้ว

วันและเวลาที่ผ่านไป ผมค่อยๆเรียนรู้และสร้างวิธีคิดของตัวเอง
จนทำให้...
"ราคาที่เปลี่ยนแปลง(บนกระดาน)"...ไม่(ค่อย)สามารถสร้างความหวั่นไหวให้จิตใจของผมได้อีกต่อไปแล้ว
แต่ "ผลประกอบการ" ต่างหาก...ที่ทำให้หัวใจของผมสั่นไหว จนแทบเกินห้ามใจ ^ ^

ม้าแข่ง...ที่ผมเลือกไว้
ผู้บริหาร...ที่ผมเลือกที่จะไว้ใจและเชื่อมั่น
บริษัท...ที่ผมเลือกที่จะรัก และลงเรือลำเดียวกันในรูปแบบของ Partnership
ถ้าผมไม่จำเป็นต้องใช้เงินจริงๆ...ผมคงไม่ขายความเป็นเจ้าของของตัวเอง
ถ้าผมไม่มีบริษัทฯที่เย้ายวนมากกว่า ราคาถูกกว่า และผมอยากเป็นเจ้าของมากกว่า...ผมก็คงไม่ขายความเป็นเจ้าของในบริษัทฯเดิมของผมทั้ง 3 แห่งเช่นกัน

เขียน วกไป วนมา ก็ทำให้คิดถึงเพลงอยู่ 2 เพลง คือ
เพลงแรกของบิ๊กแอส ที่ร้องว่า "รู้ว่าเสี่ยง...แต่คงต้องขอลอง(Long)"
และเพลงที่สองของชรินทร์ ที่ร้องเริ่มต้นว่า...
"ฉันรักเธอ รักเธอ ด้วยความไหวหวั่น"
และร้องจบท้ายด้วยว่า "ฉันจะบินมาตายตรงหน้าตัก ให้ยอดรักเช็ดเลือดและน้ำตา..."

เพราะผมมีแนวคิดว่า...
ถ้าเราเป็น Partnetship ร่วมกันแล้ว...ถ้าโตเราก็โตด้วยกัน ถ้าเจ็บเราก็เจ็บด้วยกัน

บางคนเปรียบเปรยว่า "การเลือกภรรยา" ก็เหมือน ซื้อล็อตเตอรี่
ผมเชื่อว่า "การเลือกบริษัทฯที่จะลงทุน"...มันก็มีความเสี่ยงไม่แพ้กัน

สรุปว่า ผมขอเลือกที่จะ "รัก" บริษัทฯที่ผมจะลงทุนนะขอรับ
(^_^)


ปล.
คำเตือน
1) รักธุรกิจที่ดีได้ แต่อย่ามีอคติจนเกินไป
หมั่นดูสติ ตรวจสอบอารมณ์ตัวเองไปด้วย
Credit : K.thaloengsak

2) "Please mind the gap between doi(ดอย) & platform"