‘ดร.นิเวศน์’แนะลงทุนอาหาร-ค้าปลีก 5-10 ปี
โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 30, 2012 5:06 am
‘นิเวศน์’แนะอาหาร-ค้าปลีก
Source - ข่าวหุ้น (Th)
Tuesday, October 30, 2012 04:05
กรุงเทพฯ--30 ต.ค.--ข่าวหุ้น
‘นิเวศน์’แนะอาหาร-ค้าปลีก
กลุ่มหุ้นทนทุกสภาพศก.-ผลตอบแทนงาม
เซียนหุ้นพันล้านแนะเก็บหุ้นกลุ่มอาหาร-ค้าปลีกเข้าพอร์ตยาว 5-10ปี สร้างผลตอบแทนดีต่อเนื่อง เน้นลงทุนหุ้นที่ได้รับอานิสงส์จากการใช้ชีวิตประจำวันเป็นหลัก เพราะเชื่อว่าหุ้นดังกล่าวเติบโตได้ในทุกช่วงเศรษฐกิจ
นายนิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้เชี่ยวชาญการลงทุน หรือเซียนหุ้นพันล้าน เปิดเผยว่า สำหรับ หลักทรัพย์เด่นที่เหมาะแก่นักลงทุนในการเข้าลงทุนแบบระยะยาว 5-10 ปีขึ้นไป นอกจากหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์แล้ว มองว่า ยังมีหุ้นกลุ่มอาหารและหุ้นกลุ่มค้าปลีกที่เป็นอีกหนึ่งกลุ่มหลักทรัพย์ที่ นักลงทุนจำเป็นต้องหาจังหวะเข้าไปลงทุนให้ได้
เนื่องจากอัตราการเจริญเติบโตของประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่ามีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับภาครัฐบาลมีการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง โดยผ่านนโยบายต่างๆ ส่งผลให้อัตราการจับจ่ายใช้สอยของภาคประชาชนปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม และเชื่อว่าภาครัฐบาลคงจะมีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจในรูปแบบต่างๆ อีก
ดังนั้น หุ้นกลุ่มอาหารและกลุ่มค้าปลีกจึงได้รับอานิสงส์ตามไปด้วย แต่การเติบโตของหุ้นกลุ่มดังกล่าวจะเป็นไปในลักษณะโตต่อเนื่องแบบระยะยาว 5-10 ปีขึ้นไป โดยส่วนตัว มองว่า การที่ประชากรมีรายได้เพิ่มมากขึ้นทำให้ความต้องการสินค้าต่างๆ ก็เพิ่มขึ้นด้วย
แต่การเลือกหลักทรัพย์ในกลุ่มดังกล่าวเพื่อลงทุนแบบระยะยาวนั้น นักลงทุนต้องคำนึงถึงการใช้ชีวิตประจำวันเป็นหลัก เพราะสินค้าในท้องตลาดมีหลากหลาย สินค้าบางอย่างจะได้รับความนิยมเฉพาะบางเทศกาลเท่านั้น หรือไม่ก็ได้รับความนิยมตามช่วงรายได้ที่เพิ่มขึ้นหรือตามการกระตุ้นของภาครัฐบาลเท่านั้น
ทั้งนี้ หากนักลงทุนเน้นลงทุนในหลักทรัพย์ที่เป็นกลุ่มสินค้าที่ได้รับความนิยมในทุกช่วงของปี นักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนดีต่อเนื่องแบบระยะยาวมาก เพราะกลุ่มสินค้าเหล่านี้ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นไปในทิศทางใด ความต้องการของสินค้านั้นๆ ก็ยังมีความจำเป็นอยู่ ประกอบกับการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐบาล รวมถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจภายในตัวเอง ความต้องการสินค้าเหล่านี้ก็จะเพิ่มขึ้นมากไปอีก
“การเลือกลงทุนในหลักทรัพย์แบบระยะยาว สิ่งสำคัญที่นักลงทุนควรมองเป็นพิเศษ คือหุ้นกลุ่มอาหารและค้าปลีก เพราะหุ้นสองกลุ่มนี้ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่อัตราความต้องการมีอย่างต่อ เนื่อง เพียงแต่โอกาสที่จะหนุนให้เติบโตมีมากน้อยแค่ไหนเท่านั้นเอง และหุ้นที่เลือกก็ต้องเป็นหุ้นที่มองว่ามีความจำเป็นต่อชีวิตประจำวันของเรา จริงๆ เพราะหุ้นเหล่านี้ไม่ว่าประเทศจะเดินไปในแนวทางไหน ความต้องการสินค้านั้นๆ ยังคงมีอยู่ ฉะนั้นหากมีจังหวะดี แนะเข้าลงทุนได้” นายนิเวศน์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าประเทศไทยจะเป็นประเทศที่มีการจับจ่ายใช้สอยเพื่อการบริโภคและอุปโภคค่อนข้างมาก แม้ว่าประชากรภายในประเทศไม่สูงเท่าประเทศเวียดนาม จีน หรือกระทั่งประเทศอินเดีย แต่กำลังการซื้อของคนไทยนั้นมีสูงกว่าประเทศเหล่านี้ ทำให้การอุปโภคบริโภคภายในประเทศค่อนข้างดีมาก
นายนิเวศน์ กล่าวว่า สำหรับการก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือAECอย่างเต็มรูปแบบในปี 2558 นั้น ถ้ามองในมุมบวกถือว่าเป็นเรื่องดีต่อตลาดทุนต่างๆ หลายประเทศในกลุ่มอาเซียน เนื่องจากจะทำให้P/E(Price to Earnings Ratio) ของราคาหุ้นประเทศเหล่านั้นมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นได้
ที่สำคัญหลายประเทศในกลุ่มอาเซียนมีแผนที่จะเปิดกระดานหุ้นอาเซียนขึ้น โดยนักลงทุนต่างๆ ที่อยู่ในกลุ่มประเทศดังกล่าวสามารถซื้อขายหุ้นประเทศนั้นๆ โดยผ่านกระดานอาเซียนนี้อย่างไม่มีข้อจำกัด รวมไปถึงหลักทรัพย์คุณภาพดีของแต่ละประเทศที่จะถูกคัดเลือกให้เข้ามาซื้อขายผ่านกระดานดังกล่าวมีจำนวนมากขึ้นด้วย
ทั้งนี้ จะช่วยส่งผลมายังนักลงทุนที่จะสามารถเข้าลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีศักยภาพดีเพื่อเป็นอีกช่องทางในการสร้างผลตอบแทนระดับสูงในอนาคต
สำหรับหลักทรัพย์ขนาดเล็กจะได้ประโยชน์หรือเสียเปรียบในการเข้าสู่AECหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของบริษัทนั้นๆ ว่าจะสามารถปรับกลยุทธ์พัฒนาธุรกิจให้สามารถรับมือกับการแข่งขันทางการค้าที่จะมีความเสรีมากขึ้นได้มากน้อยแค่ไหน--จบ--
Source - ข่าวหุ้น (Th)
Tuesday, October 30, 2012 04:05
กรุงเทพฯ--30 ต.ค.--ข่าวหุ้น
‘นิเวศน์’แนะอาหาร-ค้าปลีก
กลุ่มหุ้นทนทุกสภาพศก.-ผลตอบแทนงาม
เซียนหุ้นพันล้านแนะเก็บหุ้นกลุ่มอาหาร-ค้าปลีกเข้าพอร์ตยาว 5-10ปี สร้างผลตอบแทนดีต่อเนื่อง เน้นลงทุนหุ้นที่ได้รับอานิสงส์จากการใช้ชีวิตประจำวันเป็นหลัก เพราะเชื่อว่าหุ้นดังกล่าวเติบโตได้ในทุกช่วงเศรษฐกิจ
นายนิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้เชี่ยวชาญการลงทุน หรือเซียนหุ้นพันล้าน เปิดเผยว่า สำหรับ หลักทรัพย์เด่นที่เหมาะแก่นักลงทุนในการเข้าลงทุนแบบระยะยาว 5-10 ปีขึ้นไป นอกจากหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์แล้ว มองว่า ยังมีหุ้นกลุ่มอาหารและหุ้นกลุ่มค้าปลีกที่เป็นอีกหนึ่งกลุ่มหลักทรัพย์ที่ นักลงทุนจำเป็นต้องหาจังหวะเข้าไปลงทุนให้ได้
เนื่องจากอัตราการเจริญเติบโตของประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่ามีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับภาครัฐบาลมีการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง โดยผ่านนโยบายต่างๆ ส่งผลให้อัตราการจับจ่ายใช้สอยของภาคประชาชนปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม และเชื่อว่าภาครัฐบาลคงจะมีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจในรูปแบบต่างๆ อีก
ดังนั้น หุ้นกลุ่มอาหารและกลุ่มค้าปลีกจึงได้รับอานิสงส์ตามไปด้วย แต่การเติบโตของหุ้นกลุ่มดังกล่าวจะเป็นไปในลักษณะโตต่อเนื่องแบบระยะยาว 5-10 ปีขึ้นไป โดยส่วนตัว มองว่า การที่ประชากรมีรายได้เพิ่มมากขึ้นทำให้ความต้องการสินค้าต่างๆ ก็เพิ่มขึ้นด้วย
แต่การเลือกหลักทรัพย์ในกลุ่มดังกล่าวเพื่อลงทุนแบบระยะยาวนั้น นักลงทุนต้องคำนึงถึงการใช้ชีวิตประจำวันเป็นหลัก เพราะสินค้าในท้องตลาดมีหลากหลาย สินค้าบางอย่างจะได้รับความนิยมเฉพาะบางเทศกาลเท่านั้น หรือไม่ก็ได้รับความนิยมตามช่วงรายได้ที่เพิ่มขึ้นหรือตามการกระตุ้นของภาครัฐบาลเท่านั้น
ทั้งนี้ หากนักลงทุนเน้นลงทุนในหลักทรัพย์ที่เป็นกลุ่มสินค้าที่ได้รับความนิยมในทุกช่วงของปี นักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนดีต่อเนื่องแบบระยะยาวมาก เพราะกลุ่มสินค้าเหล่านี้ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นไปในทิศทางใด ความต้องการของสินค้านั้นๆ ก็ยังมีความจำเป็นอยู่ ประกอบกับการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐบาล รวมถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจภายในตัวเอง ความต้องการสินค้าเหล่านี้ก็จะเพิ่มขึ้นมากไปอีก
“การเลือกลงทุนในหลักทรัพย์แบบระยะยาว สิ่งสำคัญที่นักลงทุนควรมองเป็นพิเศษ คือหุ้นกลุ่มอาหารและค้าปลีก เพราะหุ้นสองกลุ่มนี้ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่อัตราความต้องการมีอย่างต่อ เนื่อง เพียงแต่โอกาสที่จะหนุนให้เติบโตมีมากน้อยแค่ไหนเท่านั้นเอง และหุ้นที่เลือกก็ต้องเป็นหุ้นที่มองว่ามีความจำเป็นต่อชีวิตประจำวันของเรา จริงๆ เพราะหุ้นเหล่านี้ไม่ว่าประเทศจะเดินไปในแนวทางไหน ความต้องการสินค้านั้นๆ ยังคงมีอยู่ ฉะนั้นหากมีจังหวะดี แนะเข้าลงทุนได้” นายนิเวศน์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าประเทศไทยจะเป็นประเทศที่มีการจับจ่ายใช้สอยเพื่อการบริโภคและอุปโภคค่อนข้างมาก แม้ว่าประชากรภายในประเทศไม่สูงเท่าประเทศเวียดนาม จีน หรือกระทั่งประเทศอินเดีย แต่กำลังการซื้อของคนไทยนั้นมีสูงกว่าประเทศเหล่านี้ ทำให้การอุปโภคบริโภคภายในประเทศค่อนข้างดีมาก
นายนิเวศน์ กล่าวว่า สำหรับการก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือAECอย่างเต็มรูปแบบในปี 2558 นั้น ถ้ามองในมุมบวกถือว่าเป็นเรื่องดีต่อตลาดทุนต่างๆ หลายประเทศในกลุ่มอาเซียน เนื่องจากจะทำให้P/E(Price to Earnings Ratio) ของราคาหุ้นประเทศเหล่านั้นมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นได้
ที่สำคัญหลายประเทศในกลุ่มอาเซียนมีแผนที่จะเปิดกระดานหุ้นอาเซียนขึ้น โดยนักลงทุนต่างๆ ที่อยู่ในกลุ่มประเทศดังกล่าวสามารถซื้อขายหุ้นประเทศนั้นๆ โดยผ่านกระดานอาเซียนนี้อย่างไม่มีข้อจำกัด รวมไปถึงหลักทรัพย์คุณภาพดีของแต่ละประเทศที่จะถูกคัดเลือกให้เข้ามาซื้อขายผ่านกระดานดังกล่าวมีจำนวนมากขึ้นด้วย
ทั้งนี้ จะช่วยส่งผลมายังนักลงทุนที่จะสามารถเข้าลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีศักยภาพดีเพื่อเป็นอีกช่องทางในการสร้างผลตอบแทนระดับสูงในอนาคต
สำหรับหลักทรัพย์ขนาดเล็กจะได้ประโยชน์หรือเสียเปรียบในการเข้าสู่AECหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของบริษัทนั้นๆ ว่าจะสามารถปรับกลยุทธ์พัฒนาธุรกิจให้สามารถรับมือกับการแข่งขันทางการค้าที่จะมีความเสรีมากขึ้นได้มากน้อยแค่ไหน--จบ--