3G/ธันวา เลาหศิริวงศ์
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 26, 2012 9:11 am
การประมูลใบอนุญาต 3G ย่านความถี่ 2.1 กิกะเฮิรตซ์ สิ้นสุดเมื่อวันที่ 16 ตุลาคมและคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค) ได้รับรองผลประมูลใบอนุญาต ด้วยมติ 4:1 นั้น ส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียนที่เกี่ยวข้องมีการเคลื่อนไหวอย่างมากทั้งก่อนและหลังการประมูล ในกรณีที่ดีที่สุด ประชาชนชาวไทยจะได้ใช้บริการ 3G ตั้งแต่ต้นปีหน้าซึ่งนับว่าเป็นประเทศเกือบสุดท้ายของโลกในการนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้เลยทีเดียว
ตลาดหลักทรัพย์ยังมีบริษัทจดทะเบียนอีกมากมายหลายอุตสาหกรรม นักลงทุนจึงไม่จำเป็นต้องรอผลการประมูล ติดตั้งและนำมาใช้งานจริง แต่สามารถออกแบบ“ลงทุนแบบ 3G” ฉบับของตนได้ทันที ลองมาดูว่ามีองค์ประกอบที่สำคัญอะไรบ้าง
“G” ตัวที่หนึ่งคือ Growth หรือ การเติบโต ซึ่งนับว่าปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อราคาหุ้นโดยตรง หากเชื่อมั่นว่าบริษัทมีโอกาสเติบโตทางธุรกิจจากยอดขาย ส่วนแบ่งการตลาด และส่งผลดีต่อกำไรในอนาคต นักลงทุนมักจะให้ส่วนเพิ่มของราคา (Price Premium) สูงกว่าบริษัททั่วไป บริษัทโออิชิ (OISHI) ตั้งเป้าหมายเติบโตเฉลี่ย 28% ในห้าปีข้างหน้าจากธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม นักลงทุนที่มั่นใจในศักยภาพและโอกาสของบริษัทจึงพร้อมเข้าลงทุนซื้อขายในระดับสูงกว่า PE 40 เท่า โดยคาดหวังว่ากำไรที่เติบโตแบบก้าวกระโดดจะทำให้ซื้อขายที่ระดับ PE ต่ำลงในอนาคต นอกจากนี้ หุ้นเข้าใหม่และหุ้นกลุ่มพาณิชย์ที่นักลงทุนให้ส่วนเพิ่มของราคาสูงกว่าค่าเฉลี่ยตลาดมากได้แก่ OFM, TVD, VGI, SSC, BIGC, BJC, CPALL, GLOBAL, HMPRO, JUBILE, MAKRO และ ROBINS เป็นต้น
การให้ส่วนเพิ่มของราคาแต่ละหุ้นนั้นมีเหตุผลแตกต่างกัน เพราะมีปัจจัยด้าน “ความคาดหวัง” เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย หากบริษัทยังมี “Growth” ต่อเนื่อง นักลงทุนก็พร้อมที่จะให้ส่วนเพิ่มของราคาต่อไป การซื้อหรือถือหุ้นดังกล่าวต้องเพิ่มความระมัดระวังเพราะหากกิจการ “ไม่แข็งแกร่ง” เพียงพอ ราคาจะปรับตัวลงได้มากเพราะไม่ได้เผื่อสำหรับความผิดพลาดไว้เลย
“G” ตัวที่สองคือ Great หรือกิจการที่ยิ่งใหญ่ นอกจากผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค มีศักยภาพในการเติบโต ได้เปรียบในการแข่งขันอย่างยั่งยืน ยอดขายและกำไรที่เติบโตขึ้นต่อเนื่องและอีกยาวนาน และสถานะการเงินแข็งแกร่ง บริษัทยังต้องมีนวัตกรรม การบริหารจัดการบุคลากรและการพัฒนา รับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวม เป็นบรรษัทภิบาลที่ดีอีกด้วย
จากหนังสือ “Good to Great” เขียนโดย จิม คอลลินซ์ ในปี ค.ศ. 2001 ได้กล่าวถึงบริษัทที่โดดเด่นสามารถเปลี่ยนจากบริษัทธรรมดาเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ โดยหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญคือ การมี “ผู้นำองค์กร” ที่มุ่งมั่นในการสร้างความสำเร็จอันยิ่งใหญ่และยั่งยืนด้วยความเป็นมืออาชีพ ความอ่อนน้อมถ่อมตน และการบริหารจัดการทรัพยากรและเทคโนโลยี
ตลาดหุ้นในประเทศไทยยังไม่ให้ส่วนเพิ่มของราคาของกิจการที่ยิ่งใหญ่ (Greatness Premium) นัก อาจเป็นเพราะบริษัทส่วนใหญ่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์มานาน ราคาหุ้นที่ซื้อขายเป็นราคาที่เหมาะสม ในยามสภาวะปกติ นักลงทุนมักให้ความสำคัญกับกำไรจากส่วนต่างของราคามากกว่า อย่างไรก็ตาม ยามสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำหรือตลาดขาลง กิจการเหล่านี้มักจะเป็นกิจการที่รอดพ้นวิกฤติเนื่องจากประสบการณ์และความทนทานต่อวัฎจักรธุรกิจ ถึงวันนั้นนักลงทุนจะให้ความสำคัญเรื่องนี้มากขึ้น
“G” ตัวที่สามคือ Greed หรือความโลภ นักลงทุนทุกคนต้องประสบการความผันผวนของตลาด ขาขึ้น ขาลง ตกใจ หรือตกต่ำ วอร์เรน บัฟเฟตต์เคยกล่าวไว้หากเผชิญกับสภาวะดังกล่าวว่า “จงกลัวในขณะที่คนอื่นโลภ(กล้า) และจงโลภ(กล้า) เมื่อเวลาที่คนอื่นกลัว” แม้เป็นคำพูดที่ง่ายแต่ยากมากในทางปฏิบัติเพราะเป็นการกระทำที่ฝืนความรู้สึกในภาวะตลาดช่วงนั้นอย่างยิ่ง
คำถามที่มีบ่อยคือ จะรู้ได้อย่างไรว่าคนอื่นกำลังโลภหรือกำลังกลัว คำตอบก็คือ ยามตลาดกังวลและมีแต่ข่าวร้าย หุ้นมักจะถูกขายออกมา และเมื่อราคาตกต่ำมีส่วนลด (Discount) ถึงระดับที่มีส่วนต่างความปลอดภัย (Margin of Safety) จะเป็นช่วงเวลาต้องโลภหรือต้องกล้าซื้อหุ้นที่ “Growth” และ “Great” ในทางตรงข้าม เมื่อราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมากเพราะนักลงทุนมีความมั่นใจและกล้าที่จะให้ส่วนเพิ่มเกินปัจจัยพื้นฐานของกิจการ นั่นคือโอกาสในการทำกำไรของนักลงทุนบางคนเช่นกัน
ในฐานะ Value Investor ที่เน้นลงทุนระยะยาว การซื้อหุ้นมีราคาส่วนลดและมีส่วนต่างความปลอดภัยสูง จะมีโอกาสได้ผลตอบแทนในการลงทุนอย่างงาม เพราะเมื่อเหตุการณ์กลับเข้าสู่สภาวะปกติ หุ้นที่มีคุณสมบัติของ “Growth” และ “Great” จะกลับมาซื้อขายในระดับที่มีส่วนเพิ่มของราคา นั่นคือ การได้กำไรจากผลรวมของทั้งส่วนลดและส่วนเพิ่ม นั่นเอง