เดจาวู/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ต.ค. 07, 2012 8:12 pm
โค้ด: เลือกทั้งหมด
โลกในมุมมองของ Value Investor 7 ตุลาคม 55
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เดจาวู
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับตัวขึ้นมากนับจากต้นปีที่ 1025 จุด กลายเป็น 1311 จุดเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2555 หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้นถึงเกือบ 28% นั้น ต้องถือว่าเป็นการเพิ่มขึ้นมาก เพราะถ้านับจากปี 2540 ซึ่งเป็นปีวิกฤติเศรษฐกิจจนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 16 ปีนั้น มีเพียง 4 ปีเท่านั้นที่ดัชนีตลาดปรับขึ้นมาสูงกว่านี้ และนี่ทำให้คนจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะที่เป็น VI มีความรู้สึกว่าตลาดหุ้นอาจจะมีราคาที่แพงเกินพื้นฐาน และมีโอกาสที่จะปรับตัวลงแรงได้ เหนือสิ่งอื่นใด ค่า PE ของตลาดหลักทรัพย์นั้นสูงลิ่วถึง 18 เท่า นอกจากนั้น ยุโรปและโลกเองก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังซบเซาลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนตัวผมเองนั้น ก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าตลาดจะปรับตัวลงแรงไหมในระยะเวลาอันใกล้ แต่โดยความสัตย์จริง ผมเองก็กลัวๆ อยู่เหมือนกัน เพราะลึกๆ แล้ว ผมมีอาการบางอย่างที่ฝรั่งเรียกว่า De’Ja’vu นั่นก็คือ เกิดภาพหลอนจากความรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่เคยพบมาก่อน เป็นสิ่งที่ฝังใจจากประสบการณ์ที่ผ่านมาในช่วงก่อนวิกฤติเศรษฐกิจที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยแทบจะล่มสลาย มาดูว่าอะไรที่ทำให้ผมรู้สึกอย่างนั้น
ปรากฏการณ์แรกเลยที่ทำให้ผมนึกแบบนั้นก็คือ เรื่องของหุ้น IPO นั่นก็คือ ในช่วงที่หุ้นบูมแรงเป็นกระทิงก่อนปี 2540 นั้น มีหุ้นที่เข้าจดทะเบียนในตลาดมากเป็นพิเศษ แน่นอนหุ้นส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดเล็กที่ไม่ได้มีจุดเด่นอะไรนักและมักจะมีผลประกอบการที่กระท่อนกระแท่นจนถึงปีที่จะเข้าตลาดที่ผลงานจะ “ก้าวกระโดด” และมี “อนาคต” ที่สดใส แต่หุ้น IPO เหล่านั้น เมื่อเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ในวันแรก ราคาของมันก็ปรับตัวขึ้นมหาศาล ส่วนใหญ่ก็หลายสิบเปอร์เซ็นต์ บางบริษัทก็ปรับขึ้นหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ ยิ่งไปกว่านั้นปริมาณการซื้อขายหุ้นก็สูงมาก ส่วนใหญ่สูงกว่าจำนวนหุ้นที่ขายให้กับประชาชนทั้งหมด หุ้น IPO เป็นสิ่งที่ทุกคนอยากได้โดยที่ไม่ได้สนใจว่าบริษัททำอะไรและขายหุ้นในราคาเท่าไร อาการแบบนี้กำลังเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ และนี่ก็คือสัญญาณแรกที่บอกว่าตลาดหุ้นกำลังร้อนแรงเกินกว่าปกติ
เรื่องที่สองก็คือ การเทคโอเวอร์กิจการอื่นของบริษัทจดทะเบียน ในช่วงก่อนวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 นั้น บริษัทในตลาดหุ้นที่ “ก้าวหน้าและก้าวร้าว” หลายกลุ่ม ใช้กลยุทธ์การซื้อกิจการอื่นทั้งในและนอกตลาดหลักทรัพย์จำนวนมากเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มของตน ซึ่งทำให้ขนาดของกิจการโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด กิจการส่วนใหญ่อาจจะอยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน แต่บางทีก็เทคโอเวอร์บริษัทที่เพียงแต่มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือบางครั้งก็อาจจะแตกต่างกันไปเลยก็มีแม้ว่าจะมีจำนวนไม่มากนัก
ทุกครั้งที่มีการประกาศเทคโอเวอร์ ราคาหุ้นก็ดีดตัวขึ้นมารับข่าว ตลาดเชื่อว่าการเทคโอเวอร์จะทำให้กำไรของบริษัทเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ตลาดเชื่อว่าคนที่เทคโอเวอร์นั้นมีศักยภาพที่โดดเด่น การเทคโอเวอร์นั้นไม่กระทบฐานะทางการเงินมากนัก เหตุผลก็เพราะหนี้ที่เพิ่มขึ้นนั้น “ไม่มากเกินไป” บางบริษัทที่เทคโอเวอร์เองก็ไม่ได้ใช้เงินสด แต่เป็นการ “แลกหุ้น” กัน นั่นก็คือ บริษัทออกหุ้นใหม่เอาไปให้กับผู้ถือหุ้นของบริษัทที่ถูกเทค หุ้นที่ออกใหม่นี้มีราคาขึ้นไปอีก ดังนั้นทุกฝ่ายได้ประโยชน์ การเทคโอเวอร์จึงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซักระยะหนึ่งเราก็มี Takeover King หรือ “ราชันย์นักเทคโอเวอร์” ที่สร้างกลุ่มบริษัทที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ อย่างรวดเร็วและดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรมาหยุดได้ ในขณะนี้ แม้ว่าเราจะยังไม่ถึงจุดนั้น แต่สัญญาณกระแสการเทคโอเวอร์ก็เริ่มมาและเร่งตัวขึ้นอย่างน่าจับตามอง
เรื่องที่สามซึ่งก็น่าจะเกี่ยวกับสองข้อแรกก็คือ ในช่วงก่อนปีวิกฤตินั้น ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของไทยยังอยู่ในระดับที่ดีใช้ได้ การเติบโตยังอยู่ในระดับ 5-6% แต่การส่งออกของประเทศก็เริ่มชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด เหตุผลในขณะนั้นน่าจะอยู่ที่ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นบ้างหรือไม่ผมก็ไม่แน่ใจ แต่สิ่งที่ค่อนข้างมั่นใจก็คือ สินค้าไทยแข่งขันไม่ค่อยได้ นอกจากนั้นเรายังมีการนำเข้ามหาศาลเพื่อ “ลงทุน” ในเครื่องจักรอุตสาหกรรมที่มีการแข่งกันขยายโรงงานกันมากมาย ทำให้ไทยขาดดุลการค้าค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์ต่างก็พูดกันว่าคงไม่มีปัญหา เพราะการขาดดุลไม่ใช่เกิดขึ้นจากการซื้อสินค้ามาบริโภค แต่เป็นการนำเข้าสินค้าทุนที่จะทำให้เกิดการขยายตัวของการผลิตเพื่อส่งออกที่จะทำให้ดุลการค้าของเราดีขึ้นในอนาคต พูดง่ายๆ ดูไปแล้วเศรษฐกิจของไทยยังแข็งแกร่ง ไม่มีอะไรน่ากลัว
มองในภาวะปัจจุบัน ตัวเลขการเติบโตของการส่งออกของเราก็ดูเหมือนว่าจะลดลงมากจากที่ประมาณการไว้เมื่อตอนต้นปี ภาวะความถดถอยของเศรษฐกิจโดยเฉพาะในยุโรปก็ยังมีโอกาสที่จะกลายเป็นวิกฤติได้อีก อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้เราก็ยังมีข้อ “ปลอบใจ” ตัวเองว่า เศรษฐกิจภายในของเราน่าจะดีเนื่องจากเรามีการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำขึ้นมาอย่าง “มโหฬาร” ที่จะทำให้การบริโภคภายในประเทศคึกคัก นอกจากนั้น การใช้จ่ายของภาครัฐที่มีการทุ่มเงินมหาศาลในการลงทุนโดยเฉพาะในสาธารณูปโภคซึ่งรวมถึงการป้องกันน้ำท่วมและการคมนาคม น่าจะทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยอยู่ในขั้นดีแม้ว่าภาคการส่งออกจะย่ำแย่
พูดมาถึงจุดนี้อาจจะทำให้เกิดความรู้สึกว่าตลาดหุ้นไทยในขณะนี้น่ากลัวพอสมควรในแง่ของตลาดหุ้น เพราะเรารู้ว่าตลาดหุ้นในช่วงก่อนวิกฤติปี 2540 นั้น หลังจากที่ขึ้นไปสูงลิ่วแล้วก็ปรับตัวลดลงต่อเนื่องจนถึงวิกฤติในที่สุด แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นว่าจะเป็น “ตัวช่วย” ที่จะทำให้เราสามารถหลีกเลี่ยงความเลวร้ายทางเศรษฐกิจและตลาดหุ้นในครั้งนี้ได้ก็คือ เรื่องของฐานะทางการเงินของบริษัทต่างๆ รวมถึงบุคคลธรรมดาที่มีเงินและเป็นผู้เล่นในตลาดหุ้นในขณะนี้ นั่นก็คือ ในช่วงก่อนวิกฤตินั้น บริษัทต่างๆ โดยเฉพาะที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นต่างก็มีหนี้สินมหาศาลอันเป็นผลจากการขยายงานที่ “เกินตัว” ไปมากเนื่องจากคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะดีและความต้องการของสินค้าจะเพิ่มขึ้นมากซึ่งทำให้เมื่อเกิดปัญหาบริษัทต่างก็แทบเอาตัวไม่รอด ในขณะที่ในปัจจุบัน ฐานะทางการเงินของบริษัทส่วนใหญ่ค่อนข้างเข้มแข็งและต่างก็ป้องกันความเสี่ยงจากเรื่องของค่าเงินที่อาจจะเป็นอันตรายได้
ในส่วนของนักลงทุนในตลาดหุ้นเองนั้น ในช่วงก่อนวิกฤติ พวกเขามักเป็นนักธุรกิจผู้ประกอบการขนาดย่อม หรือไม่ก็เป็นคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมการเงินที่มีอยู่ไม่มากนัก ส่วนกลุ่มที่เป็นนักลงทุนสถาบันในประเทศเองก็ยังมีอยู่ไม่มาก ดังนั้น เมื่อเกิดวิกฤติ พวกเขาก็มีปัญหาทางการเงินและต่างก็ต้องถอนตัวออกจากตลาดหุ้น แรงซื้อนั้นแทบไม่มี มีแต่แรงขาย ดังนั้น หุ้นจึงตกลงมาแรงและซบเซาไปนาน ในขณะที่ในปัจจุบันนั้น ดูเหมือนว่าเราจะมีนักลงทุนที่ “มีเงินและไม่มีหนี้” อยู่เป็นจำนวนมากทั้งที่เป็นบุคคลธรรมดาและนักลงทุนสถาบัน และมากขึ้นเรื่อยๆ เม็ดเงินของพวกเขาพร้อมที่จะเข้ามา “ช้อนหุ้น” ทุกครั้งที่หุ้นมีการปรับตัวลง พูดง่ายๆ ตลาดหุ้นเราไม่ “เปราะบาง” เหมือนในช่วงก่อนวิกฤติเศรษฐกิจ ดังนั้น “เดจาวู” ของผมก็อาจจะเป็นแค่ “ภาพหลอน” ที่ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด