วิธีมีรวยหุ้น!'ธวัชชัย เลิศรุ่งเรือง'ทั้งพอร์ตมีหุ้น'5 ตัว
โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 17, 2012 6:26 am
วิธีมีรวยหุ้น!'ธวัชชัย เลิศรุ่งเรือง'ทั้งพอร์ตมีหุ้น'ไม่เกิน 5 ตัว'
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, September 17, 2012 06:01
เขาเป็นผู้หนึ่งที่เคยเจ๊งหุ้น 'ฟินวัน' ของ ปิ่น จักกะพาก วันนี้เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากคนหนึ่งในกลุ่ม 'วีไอ' ธวัชชัย เลิศรุ่งเรือง วางเดินพันหนักในหุ้นไม่เกิน 5 ตัว
"เอก" ธวัชชัย เลิศรุ่งเรือง ไม่เพียงเป็นนักธุรกิจเจ้าของ 3 บริษัท ทำธุรกิจด้านโบรกเกอร์ประกันภัย โบรกเกอร์ประกันชีวิต และขายสินค้าทางโทรศัพท์ มีพนักงานในเครือประมาณ 350 คน เขายังเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากคนหนึ่งในกลุ่มวีไอ มีพอร์ตลงทุนใหญ่หลักร้อยล้านบาท
ธวัชชัย เล่าให้กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ฟังว่า ทุกวันนี้จะพยายามถือหุ้นให้เกิน 5 ตัว กลุ่มหุ้น ที่ชอบมากที่สุดคือ "กลุ่มสื่อสาร" ยิ่งมองข้ามไป ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ผลประกอบการค่อนข้าง โดดเด่นหากประมูล 3G ได้กลุ่มสื่อสารน่าจะมีอัตราเติบโตต่อปีสูงมาก อีกทั้งจากสัญญา "สัมปทาน"จะเปลี่ยนเป็น "ใบอนุญาต" ผลตอบแทนที่จ่าย ให้รัฐจะลดลงเยอะมาก สำหรับบริษัทที่จะได้ประโยชน์สูงสุดก็ต้องเป็นบริษัทที่มีฐานลูกค้า ขนาดใหญ่ มีจุดเด่นในเรื่องฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ซึ่งไม่ขอเอ่ยชื่อว่าเป็นหุ้นตัวไหน
นอกจากนี้ก็ชอบหุ้น "กลุ่มอาหาร" เป็นอันดับสองหุ้นตัวที่ลงทุนอยู่ในระยะยาวผลประกอบการ ของเขาน่าจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 10% เป็นบริษัท ที่มีเงินสดเยอะมาก และยังมีทีมงานที่แข็งแกร่ง สุดท้ายที่ชอบ "กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน" บริษัทนี้ผลประกอบการขยายตัวทุกปีแต่อาจ ไม่สูงมากนัก ที่สำคัญเขามีฐานลูกค้าที่มั่นคงมาก และยังให้ผลตอบแทนในรูปของเงินปันผล 4-5% "กลุ่มท่องเที่ยวผมก็ชอบเมืองไทยมี"จุดแข็ง" ในเรื่องนี้ ในอดีตเคยถือหุ้นกลุ่มนี้อยู่แต่ปัจจุบันขายไปแล้ว เพราะมีปัจจัยเสี่ยงเยอะทั้งเรื่อง การเมือง ภัยธรรมชาติ และยังพบด้วยว่าพฤติกรรมนักท่องเที่ยวไม่นิยมพักในที่เดิมบ่อยๆ ชอบ เปลี่ยนสถานที่ไปเรื่อยๆ อีกกลุ่มที่ชอบคือ ธุรกิจประกันชีวิต อุตสาหกรรมนี้มีอัตราเติบโต ปีละ 15-20% โดยประกันประเภทสะสมทรัพย์ มีอัตราเติบโตมากที่สุด แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้ถือหุ้นแล้วตั้งแต่ คปภ. เปลี่ยนกติกาการตั้งสำรอง และ ออกกฎความเสี่ยงใหม่ รายละเอียดค่อนข้างมากและยังไม่มีความชัดเจน"
เซียนหุ้นวีไอรายนี้ กล่าวว่า กลุ่มหุ้นที่จะ ไม่เข้าไปยุ่งด้วยคือ "กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์" มี ความเสี่ยงสูงและเดาทางไม่ถูก ในอดีตเคยขาดทุนเพราะคิดว่าเข้าใจมันดี ครั้งหนึ่งเคยขาดทุนหุ้นไทยออยล์ (TOP) จะขยายโรงกลั่นเกือบ 2 เท่า แต่ปรากฎว่าค่าการกลั่นตกลงมาเยอะมาก นี่ยังไม่พูดถึงสต็อกน้ำมันที่ค่อนข้างมีรายละเอียด ซับซ้อน เป็นหุ้นตัวหนึ่งที่เคยได้บทเรียนราคาแพง
"คนที่ลงทุนหุ้นคอมมูนิตี้แล้วได้กำไรเยอะ เขาจะต้องรู้ในสิ่งที่คนอื่นยังไม่รู้ ถือเป็นเรื่อง ที่มีค่ามาก แต่ถ้ารู้ในสิ่งที่ทุกคนรู้หมดแล้ว มันก็จะไม่มีค่าอะไรเลย"
ธวัชชัย เล่ากลยุทธ์การลงทุนส่วนตัว ทำอย่างไรถึงประสบความสำเร็จ...
ข้อแรก...เราต้องเข้าใจตัวธุรกิจนั้นให้ มากที่สุด จะเข้าใจได้ต้องย้อนดูข้อมูลบริษัท และงบการเงินในอดีต 3-4 ปี ยาวกว่านั้นจะดีมาก ว่าบริษัทนี้มีอัตราการเติบโตเป็นอย่างไร ส่วนตัวจะให้ความสำคัญประเด็นนี้มากที่สุด
ข้อสอง...คาดการณ์ (เดา) ผลประกอบการ 3-4 ปีข้างหน้า การทำแบบนี้จะทำให้เราสามารถตรวจสอบผลประกอบการของบริษัทนั้นได้ ทุกไตรมาส ถ้าออกมาใกล้เคียงกับที่เราคาดการณ์ก็ดีไป กรณีแตกต่างกันมากก็ต้องไปค้นหาเหตุผลว่ามีอะไรผิดพลาด "ตัวผมเองจะชอบประเมิน "กำไรสุทธิ ต่อหุ้นในอนาคต" สมมติเดาว่า ปีนี้ จะมีกำไรต่อหุ้น 1 บาท ปีหน้าจะขึ้นเป็น 2 บาท ผ่านมา 1 ไตรมาสตัวเลขเกิด "ติดลบ" ผมก็จะกลับมาดูว่าเพราะอะไร ถ้าปัญหาที่เกิดแค่ชั่วคราวก็ไม่เป็นไร แต่หากมองเป็นปัญหาระยะยาวก็จะขายหุ้นนั้นออกไป"
ข้อสาม...ดูราคาหุ้นปัจจุบันเทียบกับพื้นฐานของบริษัท หุ้นที่จะซื้อค่า P/E ไม่จำเป็นต้องต่ำเสมอไป จะซื้อที่ระดับ "เหมาะสม" เทียบกับตลาดโลก หรือธุรกิจที่ใกล้เคียงกันถ้าเจอหุ้นดี และถูกด้วยยิ่งดี ส่วนใหญ่หุ้นที่ดีในภาวะ ตลาดปกติไม่ค่อยถูก จะถูกก็ต่อเมื่ออยู่ในช่วง วิกฤติ
"ลงทุนแบบนี้อย่าไปคาดหวังผลตอบแทน 30-40% ทุกปี ต้องเปลี่ยนมาคิดว่าขอเพียง ผลตอบแทนเติบโตเท่ากับบริษัทที่เราเป็นเจ้าของก็พอ ถ้าผู้บริหารบอกว่าปีนี้ บริษัทจะขยายตัว 15% เราก็หวังผลตอบแทนแค่นั้น แล้วก็ถือ ยาวๆ อยู่กับบริษัทที่ดีๆ เดี๋ยวผลตอบแทนก็ มาเอง"
ข้อสี่...เลือกหุ้นที่ผลตอบแทนเงินปันผล 4% ขึ้นไป ส่วนตัวเลขอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ก็ดูบ้าง แต่ไม่ได้ให้ความสำคัญมากเท่าไร ขอแค่ไม่อยู่ในโซนอัตรายก็พอ เพราะบางธุรกิจจำเป็นต้องมี D/E สูงถึง 1.5 เท่า นั่นเป็นเพราะเขาต้อง กู้เงินมาสร้างผลประกอบการ ฉะนั้นตัวเลขนี้ มองแค่ผ่านตาพอ
สำหรับราคาปิดต่อมูลค่าทางบัญชี (P/BV) ตัวนี้ก็เฉยๆ แต่หลายคนชอบ เพราะมันสามารถ บ่งบอกถึงต้นทุนแท้จริงของเจ้าของว่าอยู่ที่ เท่าไร ซึ่งการนำต้นทุนของเราไปเทียบกับของเจ้าของ "ผมรู้สึกว่ามันแปลกๆ" ธุรกิจบางตัว มันไม่ได้ถูกตีมูลค่าเพราะหามูลค่าได้ยาก ฉะนั้นใครอยากดูก็เน้นต่ำๆ ก็ดี แต่ส่วนตัว ยังไม่เคยเห็นหุ้นดีๆ ค่า P/BV ตัวไหนต่ำเลย
ธวัชชัย กล่าวว่า ตั้งแต่เปลี่ยนมาลงทุนแบบนี้พอร์ตเติบโตเฉลี่ยปีละ 20% ถ้าทำได้ปีละ 15-20% ส่วนตัวก็มีความสุขแล้ว เมื่อก่อน เคยคิดเล่นๆ ว่าภายใน 5 ปีข้างหน้าอยากมีมูลค่าพอร์ตเท่าไร ความจริงมันไม่สำคัญเท่าไร ต่อให้คุณมีเงิน 1,000 ล้านบาท หรือ 5,000 ล้านบาท มันก็เท่านั้น
"คนที่ลงทุนหุ้น 100% มีเท่าไรเขาก็ลงทุนเกือบหมด สุดท้ายไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไร ตัวผมเองก็นำเงินไปซื้อที่ดินบ้าง แต่ไม่คิดจะนำไปทำธุรกิจส่วนตัวอย่างอื่นที่ไม่ชำนาญ ตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ลงทุนในตลาดหุ้น ทำให้ ผมรู้ซึ้งว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไม่ได้แตกต่างอะไรจากการลงทุนในบริษัทส่วนตัว มันใกล้กันมาก จะต่างก็ตรงลงทุนหุ้นหากเราเบื่อก็เลิกเล่น หากเป็นเจ้าของบริษัทมันทำแบบนั้นไม่ได้"
ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เซียนหุ้นรายนี้พบแต่เรื่องดีๆ ในตลาดหุ้นระหว่างทางที่เขาลงทุน เขาจะแบ่งเงินไปช่วยเหลือสังคม โดยเฉพาะช่วยเรื่องทุนการศึกษาเด็กด้อยโอกาส และให้รางวัลกับตัวเองโดยพาครอบครัวไปเที่ยวต่างประเทศ พร้อมเก็บเกี่ยวสิ่งที่พบเห็นเอามาต่อยอดเรื่องการลงทุน และธุรกิจส่วนตัว
ธวัชชัย กล่าวทิ้งท้ายว่า อยากให้ทุกคนเปลี่ยนมุมมองเป็น "ลงทุนนานๆ" การลงทุนระยะยาวไม่ได้แปลว่า "ซื้อแล้วไม่ขาย"
...ผมจะถือหุ้นหนึ่งตัวไปจนกว่าจะรู้สึกว่า ไม่สามารถคาดการณ์ผลประกอบการบริษัท นั้นได้แล้ว หรือพบว่า "ราคาแพงโอเวอร์" เชื่อเถอะ!! ถ้าคุณเลือกถือหุ้นบริษัทดีๆ โอกาสทำกำไรเฉลี่ยปีละ 15% มันไม่ใช่เรื่องยาก เลย
'ตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ลงทุนในตลาดหุ้น ผมรู้ซึ้งว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไม่ได้แตกต่างจากการลงทุนในบริษัทส่วนตัวจะต่างก็ตรงลงทุนหุ้นเราเบื่อก็เลิกเล่น แต่เป็นเจ้าของบริษัทมันทำแบบนั้นไม่ได้'
บรรยายใต้ภาพ
ธวัชชัย เลิศรุ่งเรือง--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
Source - เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th)
Monday, September 17, 2012 06:01
เขาเป็นผู้หนึ่งที่เคยเจ๊งหุ้น 'ฟินวัน' ของ ปิ่น จักกะพาก วันนี้เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากคนหนึ่งในกลุ่ม 'วีไอ' ธวัชชัย เลิศรุ่งเรือง วางเดินพันหนักในหุ้นไม่เกิน 5 ตัว
"เอก" ธวัชชัย เลิศรุ่งเรือง ไม่เพียงเป็นนักธุรกิจเจ้าของ 3 บริษัท ทำธุรกิจด้านโบรกเกอร์ประกันภัย โบรกเกอร์ประกันชีวิต และขายสินค้าทางโทรศัพท์ มีพนักงานในเครือประมาณ 350 คน เขายังเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากคนหนึ่งในกลุ่มวีไอ มีพอร์ตลงทุนใหญ่หลักร้อยล้านบาท
ธวัชชัย เล่าให้กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ฟังว่า ทุกวันนี้จะพยายามถือหุ้นให้เกิน 5 ตัว กลุ่มหุ้น ที่ชอบมากที่สุดคือ "กลุ่มสื่อสาร" ยิ่งมองข้ามไป ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ผลประกอบการค่อนข้าง โดดเด่นหากประมูล 3G ได้กลุ่มสื่อสารน่าจะมีอัตราเติบโตต่อปีสูงมาก อีกทั้งจากสัญญา "สัมปทาน"จะเปลี่ยนเป็น "ใบอนุญาต" ผลตอบแทนที่จ่าย ให้รัฐจะลดลงเยอะมาก สำหรับบริษัทที่จะได้ประโยชน์สูงสุดก็ต้องเป็นบริษัทที่มีฐานลูกค้า ขนาดใหญ่ มีจุดเด่นในเรื่องฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ซึ่งไม่ขอเอ่ยชื่อว่าเป็นหุ้นตัวไหน
นอกจากนี้ก็ชอบหุ้น "กลุ่มอาหาร" เป็นอันดับสองหุ้นตัวที่ลงทุนอยู่ในระยะยาวผลประกอบการ ของเขาน่าจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 10% เป็นบริษัท ที่มีเงินสดเยอะมาก และยังมีทีมงานที่แข็งแกร่ง สุดท้ายที่ชอบ "กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน" บริษัทนี้ผลประกอบการขยายตัวทุกปีแต่อาจ ไม่สูงมากนัก ที่สำคัญเขามีฐานลูกค้าที่มั่นคงมาก และยังให้ผลตอบแทนในรูปของเงินปันผล 4-5% "กลุ่มท่องเที่ยวผมก็ชอบเมืองไทยมี"จุดแข็ง" ในเรื่องนี้ ในอดีตเคยถือหุ้นกลุ่มนี้อยู่แต่ปัจจุบันขายไปแล้ว เพราะมีปัจจัยเสี่ยงเยอะทั้งเรื่อง การเมือง ภัยธรรมชาติ และยังพบด้วยว่าพฤติกรรมนักท่องเที่ยวไม่นิยมพักในที่เดิมบ่อยๆ ชอบ เปลี่ยนสถานที่ไปเรื่อยๆ อีกกลุ่มที่ชอบคือ ธุรกิจประกันชีวิต อุตสาหกรรมนี้มีอัตราเติบโต ปีละ 15-20% โดยประกันประเภทสะสมทรัพย์ มีอัตราเติบโตมากที่สุด แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้ถือหุ้นแล้วตั้งแต่ คปภ. เปลี่ยนกติกาการตั้งสำรอง และ ออกกฎความเสี่ยงใหม่ รายละเอียดค่อนข้างมากและยังไม่มีความชัดเจน"
เซียนหุ้นวีไอรายนี้ กล่าวว่า กลุ่มหุ้นที่จะ ไม่เข้าไปยุ่งด้วยคือ "กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์" มี ความเสี่ยงสูงและเดาทางไม่ถูก ในอดีตเคยขาดทุนเพราะคิดว่าเข้าใจมันดี ครั้งหนึ่งเคยขาดทุนหุ้นไทยออยล์ (TOP) จะขยายโรงกลั่นเกือบ 2 เท่า แต่ปรากฎว่าค่าการกลั่นตกลงมาเยอะมาก นี่ยังไม่พูดถึงสต็อกน้ำมันที่ค่อนข้างมีรายละเอียด ซับซ้อน เป็นหุ้นตัวหนึ่งที่เคยได้บทเรียนราคาแพง
"คนที่ลงทุนหุ้นคอมมูนิตี้แล้วได้กำไรเยอะ เขาจะต้องรู้ในสิ่งที่คนอื่นยังไม่รู้ ถือเป็นเรื่อง ที่มีค่ามาก แต่ถ้ารู้ในสิ่งที่ทุกคนรู้หมดแล้ว มันก็จะไม่มีค่าอะไรเลย"
ธวัชชัย เล่ากลยุทธ์การลงทุนส่วนตัว ทำอย่างไรถึงประสบความสำเร็จ...
ข้อแรก...เราต้องเข้าใจตัวธุรกิจนั้นให้ มากที่สุด จะเข้าใจได้ต้องย้อนดูข้อมูลบริษัท และงบการเงินในอดีต 3-4 ปี ยาวกว่านั้นจะดีมาก ว่าบริษัทนี้มีอัตราการเติบโตเป็นอย่างไร ส่วนตัวจะให้ความสำคัญประเด็นนี้มากที่สุด
ข้อสอง...คาดการณ์ (เดา) ผลประกอบการ 3-4 ปีข้างหน้า การทำแบบนี้จะทำให้เราสามารถตรวจสอบผลประกอบการของบริษัทนั้นได้ ทุกไตรมาส ถ้าออกมาใกล้เคียงกับที่เราคาดการณ์ก็ดีไป กรณีแตกต่างกันมากก็ต้องไปค้นหาเหตุผลว่ามีอะไรผิดพลาด "ตัวผมเองจะชอบประเมิน "กำไรสุทธิ ต่อหุ้นในอนาคต" สมมติเดาว่า ปีนี้ จะมีกำไรต่อหุ้น 1 บาท ปีหน้าจะขึ้นเป็น 2 บาท ผ่านมา 1 ไตรมาสตัวเลขเกิด "ติดลบ" ผมก็จะกลับมาดูว่าเพราะอะไร ถ้าปัญหาที่เกิดแค่ชั่วคราวก็ไม่เป็นไร แต่หากมองเป็นปัญหาระยะยาวก็จะขายหุ้นนั้นออกไป"
ข้อสาม...ดูราคาหุ้นปัจจุบันเทียบกับพื้นฐานของบริษัท หุ้นที่จะซื้อค่า P/E ไม่จำเป็นต้องต่ำเสมอไป จะซื้อที่ระดับ "เหมาะสม" เทียบกับตลาดโลก หรือธุรกิจที่ใกล้เคียงกันถ้าเจอหุ้นดี และถูกด้วยยิ่งดี ส่วนใหญ่หุ้นที่ดีในภาวะ ตลาดปกติไม่ค่อยถูก จะถูกก็ต่อเมื่ออยู่ในช่วง วิกฤติ
"ลงทุนแบบนี้อย่าไปคาดหวังผลตอบแทน 30-40% ทุกปี ต้องเปลี่ยนมาคิดว่าขอเพียง ผลตอบแทนเติบโตเท่ากับบริษัทที่เราเป็นเจ้าของก็พอ ถ้าผู้บริหารบอกว่าปีนี้ บริษัทจะขยายตัว 15% เราก็หวังผลตอบแทนแค่นั้น แล้วก็ถือ ยาวๆ อยู่กับบริษัทที่ดีๆ เดี๋ยวผลตอบแทนก็ มาเอง"
ข้อสี่...เลือกหุ้นที่ผลตอบแทนเงินปันผล 4% ขึ้นไป ส่วนตัวเลขอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ก็ดูบ้าง แต่ไม่ได้ให้ความสำคัญมากเท่าไร ขอแค่ไม่อยู่ในโซนอัตรายก็พอ เพราะบางธุรกิจจำเป็นต้องมี D/E สูงถึง 1.5 เท่า นั่นเป็นเพราะเขาต้อง กู้เงินมาสร้างผลประกอบการ ฉะนั้นตัวเลขนี้ มองแค่ผ่านตาพอ
สำหรับราคาปิดต่อมูลค่าทางบัญชี (P/BV) ตัวนี้ก็เฉยๆ แต่หลายคนชอบ เพราะมันสามารถ บ่งบอกถึงต้นทุนแท้จริงของเจ้าของว่าอยู่ที่ เท่าไร ซึ่งการนำต้นทุนของเราไปเทียบกับของเจ้าของ "ผมรู้สึกว่ามันแปลกๆ" ธุรกิจบางตัว มันไม่ได้ถูกตีมูลค่าเพราะหามูลค่าได้ยาก ฉะนั้นใครอยากดูก็เน้นต่ำๆ ก็ดี แต่ส่วนตัว ยังไม่เคยเห็นหุ้นดีๆ ค่า P/BV ตัวไหนต่ำเลย
ธวัชชัย กล่าวว่า ตั้งแต่เปลี่ยนมาลงทุนแบบนี้พอร์ตเติบโตเฉลี่ยปีละ 20% ถ้าทำได้ปีละ 15-20% ส่วนตัวก็มีความสุขแล้ว เมื่อก่อน เคยคิดเล่นๆ ว่าภายใน 5 ปีข้างหน้าอยากมีมูลค่าพอร์ตเท่าไร ความจริงมันไม่สำคัญเท่าไร ต่อให้คุณมีเงิน 1,000 ล้านบาท หรือ 5,000 ล้านบาท มันก็เท่านั้น
"คนที่ลงทุนหุ้น 100% มีเท่าไรเขาก็ลงทุนเกือบหมด สุดท้ายไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไร ตัวผมเองก็นำเงินไปซื้อที่ดินบ้าง แต่ไม่คิดจะนำไปทำธุรกิจส่วนตัวอย่างอื่นที่ไม่ชำนาญ ตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ลงทุนในตลาดหุ้น ทำให้ ผมรู้ซึ้งว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไม่ได้แตกต่างอะไรจากการลงทุนในบริษัทส่วนตัว มันใกล้กันมาก จะต่างก็ตรงลงทุนหุ้นหากเราเบื่อก็เลิกเล่น หากเป็นเจ้าของบริษัทมันทำแบบนั้นไม่ได้"
ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เซียนหุ้นรายนี้พบแต่เรื่องดีๆ ในตลาดหุ้นระหว่างทางที่เขาลงทุน เขาจะแบ่งเงินไปช่วยเหลือสังคม โดยเฉพาะช่วยเรื่องทุนการศึกษาเด็กด้อยโอกาส และให้รางวัลกับตัวเองโดยพาครอบครัวไปเที่ยวต่างประเทศ พร้อมเก็บเกี่ยวสิ่งที่พบเห็นเอามาต่อยอดเรื่องการลงทุน และธุรกิจส่วนตัว
ธวัชชัย กล่าวทิ้งท้ายว่า อยากให้ทุกคนเปลี่ยนมุมมองเป็น "ลงทุนนานๆ" การลงทุนระยะยาวไม่ได้แปลว่า "ซื้อแล้วไม่ขาย"
...ผมจะถือหุ้นหนึ่งตัวไปจนกว่าจะรู้สึกว่า ไม่สามารถคาดการณ์ผลประกอบการบริษัท นั้นได้แล้ว หรือพบว่า "ราคาแพงโอเวอร์" เชื่อเถอะ!! ถ้าคุณเลือกถือหุ้นบริษัทดีๆ โอกาสทำกำไรเฉลี่ยปีละ 15% มันไม่ใช่เรื่องยาก เลย
'ตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ลงทุนในตลาดหุ้น ผมรู้ซึ้งว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไม่ได้แตกต่างจากการลงทุนในบริษัทส่วนตัวจะต่างก็ตรงลงทุนหุ้นเราเบื่อก็เลิกเล่น แต่เป็นเจ้าของบริษัทมันทำแบบนั้นไม่ได้'
บรรยายใต้ภาพ
ธวัชชัย เลิศรุ่งเรือง--จบ--
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ